July 1, 2016
Motortrivia Team (10162 articles)

Connected Car และ 5 เหตุผลที่จะเปลี่ยนประสบการณ์การขับรถยนต์ในอนาคต


Press Release

 

   รายงานฉบับใหม่ของบริษัทที่ปรึกษาระดับนานาชาติ อิปซอสส์ บิสสิเนส คอนซัลติ้ง (Ipsos Business Consulting) เผยการเชื่อมต่อรถยนต์กับเทคโนโลยีการสื่อสาร หรือ Connected Car กำลังถูกมองว่าจะเปลี่ยนโฉมประสบการณ์การการขับรถยนต์ในอนาคตอย่างสิ้นเชิง โดยที่ผ่านมานั้น การขับรถนอกจากจะเป็นการใช้เวลาบนท้องถนนที่ยาวนานแล้ว ยังรวมไปถึงต้นทุนการดูแลรักษาที่สูง และความเครียดสะสมที่เป็นผลตามมา แต่อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังก้าวสู่ช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมี Connected car กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีความทันสมัยสูงสุด เป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

   “บริษัทรถยนต์ต่างๆ ไม่ควรที่จะมองข้ามผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้” มร.เพอร์ เฮนดริค คาร์สสัน (Per-Henrik Karlsson) หัวหน้าคณะที่ปรึกษาประจำเกาหลีใต้ของ อิปซอสส์ บิสสิเนส คอนซัลติ้งกล่าว “โดยปรกติแล้วบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ถูกมองว่าเป็นบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ แต่ในอนาคตอันใกล้ บริษัทเหล่านี้กำลังมองถึงการเปลี่ยนผ่านไปยังการเป็นบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น (Data Analytics) โดยรถยนต์จะกลายเป็นเครื่องมือสารชิ้นหนึ่งเหมือนกับแทบเล็ตและสมาร์ทโฟน แต่มีคุณสมบัติที่หลากหลายและซับซ้อนกว่า ความท้าทายครั้งสำคัญครั้งนี้อาจจะส่งผลกระทบถึงผู้เล่นรายใหญ่บางรายที่ปรับตัวไม่ทัน โดยอาจจะต้องเสียส่วนแบ่งการตลาดหรือถึงกับหายไปจากตลาดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้”  มร.คาร์สสัน กล่าว

   ในขณะที่ ลินน์ มอร์แกน (Lynn Morgan) หัวหน้าคณะที่ปรึกษาประจำภาคพื้นยุโรปของอิปซอสส์ บิสสิเนส คอนซัลติ้ง ให้ความเห็นเพิ่มเติม “การเข้ามามีบทบาทของ Connected Car, Connected Healthcare (การเชื่อมโยงข้อมูลทางการแพทย์และสุขภาพกับเทคโนโลยีการสื่อสาร) รวมไปถึงอินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันต่างๆ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งหลังจากยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เราได้เห็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์บางราย ได้มีการร่วมมือเชิงพันธมิตรกับบริษัทไอทีที่มีความสามารถในจัดการเชิงข้อมูลขนาดใหญ่, พันธมิตรในตลาดค้าปลีก รวมไปถึงผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ ผู้ผลิตบางรายได้มีการซื้อกิจการของบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เพื่อเตรียมยุทธศาสตรรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถือสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้บริโภคที่กำลังจะได้เห็นการพัฒนาในเชิงเทคโนโลยีครั้งใหญ่ ที่ครั้งนึงเคยเป็นแค่เรื่องแต่งในนิยายวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว”

  1. คุณจะปลอดภัยขึ้น ระบบขับขี่อัตโนมัติของรถยนต์จะลดจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เป็นอย่างมากรวมไปถึงการลดจำนวนสัญญาณไฟจราจรตามสี่แยก
  2. คุณจะมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น รถของคุณจะสามารถขับขี่และจอดได้โดยอัตโนมัติ คุณสามารถพักผ่อน อ่านหนังสือหรือแชทกับเพื่อนได้ระหว่างการเดินทาง เมื่อถึงจุดหมายก็เพียงแค่เดินออกจากรถและตรงไปในร้านอาหารเพื่อทานอาหารกับเพื่อนของคุณ ขณะที่รถไปจอดด้วยตัวเอง
  3. คุณจะมีเงินเพิ่มขึ้น บริษัทประกันจะหยุดตั้งคำถามถึงประวัติการขับขี่ของคุณเพื่อเพิ่มเบี้ยประกัน นอกจากนี้ยังสามารถนำรถเพื่อหารายได้จากเพิ่มจากช่องทางอื่นๆ อีกด้วย
  4. คุณจะไปโรงพยาบาลน้อยลง รถของคุณจะกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดที่คุณใช้และสามารถเป็น คลีนิกเคลื่อนที่ได้ด้วยแอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย ลองจินตนาการถึงการตรวจสุขภาพได้ระหว่างการเดินทางไปทำงานของคุณ
  5. คุณจะอยากเดินทางบ่อยขึ้น รถยนต์อัจฉริยะของคุณจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการให้บริการเดินทางที่ต้องการมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายและไร้ความกังวลใดๆในการเดินทางแต่ละครั้งแก่คุณ

ประเทศไทยจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร

   สำหรับมุมมองของเรื่องดังกล่าวในประเทศไทย คุณชูเกียรติ วงศ์ทวีรัตน์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของ อิปซอสส์ บิสสิเนส คอนซัลติ้ง กล่าวว่า “สำหรับประเทศไทยแล้ว ปัจจัยที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับเทคโนโลยี Connected Car คงเป็นเรื่องของการพัฒนาคุณภาพของถนน และระบบการเดินทางให้มีความสอดคล้องกับเทคโนโลยี รวมไปถึงวินัยการขับขี่รถยนต์ของคนไทยเอง การเข้ามามีบทบาทของ Connected Car โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ (autonomous vehicle) จะเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากมายในอนาคต จากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น”

   “แต่ในด้านของผู้ใช้รถใช้ถนนในเมืองไทยเองก็ต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงนิสัยการขับขี่ให้มีความเป็นระเบียบวินัยมากขึ้น เพื่อให้ท้องถนนมีความปลอดภัยเมื่อเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับถูกนำมาปรับใช้จริงบนถนน”  คุณชูเกียรติกล่าวเสริมว่า การส่งเสริมจากภาครัฐก็มีส่วนสำคัญในเรื่องนี้

   “ภาครัฐบาลเองอาจจะต้องมีการปรับตัวที่เร็วขึ้นในการออกนโยบายและกฏหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุดจากการพัฒนาเชิงเทคโนโลยีครั้งนี้ รวมไปถึงการตอกย้ำสถานะการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ของภูมิภาคอาเซียนในระยะยาว”  

ข้อมูลจาก : www.ipsosconsulting.com.