August 3, 2016
Motortrivia Team (10167 articles)

Mercedes-Benz GLE 500 e เปิดตัวรุกตลาดรถกรีนในไทย


ภาพ : จันทนา เจริญทวี

 

   เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เผยวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Mercedes-Benz electric Driving เปิดตัวแคมเปญการตลาด Define Tomorrow พร้อมภาพยนตร์โฆษณา “Loopbreaker” สื่อถึงความโดดเด่นของรถยนต์กลุ่ม electric Driving ใน 3 ด้าน คือ นวัตกรรมอันล้ำสมัย (Innovations), สมรรถนะอันทรงพลัง (High Performance) และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electric Drive)

  พร้อมกันนี้ เมอร์เซเดสได้เปิดตัว SUV รุ่นล่าสุด Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ที่มาพร้อมเทคโนโลยี plug-in hybrid โดยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC Exclusive ราคาจำหน่าย 4,490,000 บาท และ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ราคาจำหน่าย 4,990,000 บาท


มร. ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด


  มร. ไมเคิล เกรเว่ (Michael Grewe) ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะไม่หยุดนิ่งในการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั้งในวันนี้ และวันข้างหน้า เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงนำเสนอยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ ให้กับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์ในกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving นับเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงก้าวย่างสำคัญของเราบนเส้นทางสู่โลกของการขับขี่ที่ไม่มีการปล่อยไอเสีย และยังพิสูจน์ด้วยว่าไม่ได้มีเพียงรถยนต์ขนาดเล็กเท่านั้นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่เทคโนโลยีระบบส่งกำลังที่ก้าวล้ำก็ทำให้รถยนต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน”

  “บริษัทฯ วางแผนที่จะนำเสนอรถยนต์ Mercedes-Benz electric Driving ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นการปูรากฐานเพื่อนำไปสู่การพัฒนารถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลย (Zero Emission) ในอนาคต ตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคในฐานะเจ้าแห่ง ยนตรกรรมระดับพรีเมียมที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า พร้อมทั้งยังเป็นผู้นำการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานไว้เพื่อเป็น แนวทางการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025”

  “เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้นำเสนอรถยนต์รุ่น The S 500 e และ The C 350 e รถยนต์ซีดานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดออกสู่ตลาด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคทั้งในด้านเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และสมรรถนะอันทรงพลัง ล่าสุดบริษัทฯ จึงได้เปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีที่รวมความแข็งแกร่งและ ความสง่างามอย่างที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว เพื่อเติมเต็มกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นในกลุ่มนี้ ล้วนเป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งสำหรับ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มีกลุ่มเป้าหมายคือลูกค้าที่ชื่นชอบสมรรถนะอันทรงพลัง พร้อมทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ แต่ยังคงตอบโจทย์ทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อม และความประหยัดได้เป็นอย่างดี”


มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด


  มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ (Frank Steinacher) รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กลยุทธ์หลักเพื่อเตรียมพร้อมสู่การก้าวเข้าสู่โลกยานยนต์แห่งอนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปีนี้ คือสร้างการรับรู้ถึงสมรรถนะอันชาญฉลาดของรถยนต์ Mercedes-Benz electric Driving โดยนำเสนอผ่านแคมเปญการตลาด Define Tomorrow ผ่านภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบภาพยนตร์สั้น เรื่อง “Loopbreaker” โดยมี คุณชมพู่ อารยา เอ. ฮาร์เก็ต แบรนด์แอมบาสเดอร์เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นำแสดงภายใต้การกำกับของผู้กำกับมือทองอย่างคุณเป็นเอก รัตนเรือง”

  “Loopbreaker จะทำหน้าที่ถ่ายทอดนิยามใหม่ของ ยนตรกรรม Mercedes-Benz electric Driving ทั้งใน ด้านนวัตกรรมอันล้ำสมัย (Innovations) อย่าง โหมดการทำงานของรถยนต์ในกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving ที่มีให้เลือกถึง 4 แบบ คือ Hybrid, E-Mode, E-Save และ Charge หรือระบบควบคุมรถอัจฉริยะ ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อปรับการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสมที่สุด ด้านสมรรถนะอันทรงพลัง (High Performance)”

  “โหมดการขับขี่มี 5 รูปแบบ คือ Individual (I), Sport+ (S+), Sport (S), Comfort (C) และ Economy (E) พร้อมกำลังแรงม้าและแรงบิดจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ด้านเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electric Drive) ที่ผู้ขับขี่สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบโดยไม่มี การคายไอเสียด้วยโหมด E-Mode พร้อมทั้งสามารถลดอัตราการใช้พลังงานในรถยนต์ ผ่านการนำพลังงานที่เกิดขึ้นจากการเหยียบแป้นเบรกหรือปล่อยให้รถเคลื่อนที่โดยไม่อาศัยพลังงานจากเครื่องยนต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

   GLE 500 e 4MATIC Exclusive และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic มากับกระจังหน้าขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยสีเงินเสริมโครเมียมแบบ 2 แถบ พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตรงกลาง, กันชนด้านหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยโครเมียม, ขอบหน้าต่างแบบโครเมียม, ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ, ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟท้าย และไฟเบรก ดวงที่ 3 แบบ LED, กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, บันไดข้างสเตนเลสดีไซน์สปอร์ตพร้อมปุ่มยางกันลื่น

   GLE 500 e 4MATIC Exclusive ใช้ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey ส่วน GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ใช้ล้ออัลลอย AMG ขนาด 20 นิ้ว สี titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling ที่กันชนหน้า-หลัง, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า และมีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า (Electric panoramic sliding glass sunroof)

   ภายในทั้ง 2 รุ่น คอนโซลหน้าด้านบน และส่วนบนของแผงหุ้มประตูหุ้มหนัง Artico, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push start), ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนด้วย Bluetooth โดย GLE 500 e 4MATIC Exclusive ตกแต่งด้วยเบาะหุ้มหนัง, ระบบมัลติมีเดีย วิทยุ ซีดี MB Audio 20

   GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ตกแต่งด้วยเบาะหุ้มหนัง nappa, มีระบบ COMAND Online, ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon Logic 7, ฟังก์ชัน Apply CarPlay นอกจากนี้ห้องโดยสารของทั้ง 2 รุ่นยังมีเบาะผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ เบาะหลังพับได้ 1:3 / 2:3 ตามความต้องการ และมีฟังก์ชั่นไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี

   GLE 500 e 4MATIC สามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-in hybrid ได้ 4 แบบ ประกอบด้วย:

  HYBRID:  ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์เท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20% ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยที่มอเตอร์ไฟฟ้าไม่ทำงาน

  E-MODE:  ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ใช้ความเร็วสูงสุดได้ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งทำระยะทางได้สูงสุด 30 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) อย่างไรก็ตาม ผู้ขับจะต้องไม่กดแป้นคันเร่งลึกจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้าน เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที

  E-SAVE:  ขณะเริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับช่วงเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่

  CHARGE:  ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว แบตเตอรี่จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลย เพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่ และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า และเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ

  นอกจากนี้ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ยังมีระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ Individual ช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับ, Comfort เน้นความสะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, Slippery สำหรับวิ่งบนถนนลื่น, Sport และ Sport+ เพิ่มความเร้าใจในการขับให้มากยิ่งขึ้น

  ระบบความปลอดภัยใหม่ Mercedes-Benz Intelligent Drive ออกแบบโดยใช้พื้นฐานแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียว อาทิ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมฟังก์ชัน Electronic Traction System 4ETS, ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Electronic Stability Program – ESP), ระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC, ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind assist), ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-start Assist, ไฟเบรกกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light), ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock braking system – ABS), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Acceleration skid control –ASR), ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ (ATTENTION ASSIST), ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC), เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC), ระบบช่วยการนำรถ เข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) เป็นต้น

  GLE 500 e 4MATIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 สูบ เทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุกระบอกสูบ 2,996 ซีซี กำลังสูงสุด 333 แรงม้า เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 48.9 กก.-ม. ที่ 1,600-4,000 ต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม/ชม. อัตราการคาย CO2 เพียง 83 กรัม/กิโลเมตร

   การเก็บประจุไฟฟ้าเป็นหน้าที่ของแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ความจุ 8.7 กิโลวัตต์-ชม. น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ติดตั้งไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง มีระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง สามารถชาร์จไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง

–   Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC Exclusive ราคาจำหน่าย 4,490,000 บาท
–   Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ราคาจำหน่าย 4,990,000 บาท

หมายเหตุ : อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และ อัตราการปล่อย CO2 อ้างอิงจากการทดสอบตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป เพื่อจุดประสงค์ในการเปรียบเทียบความแตกต่างของรถยนต์ในแต่ละประเภทเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงกับรถยนต์คันใดคันหนึ่งโดยเฉพาะและไม่สามารถนำไปใช้เป็นข้อผูกมัดในการเสนอขายสินค้าได้


2016 Mercedes-Benz GLE 500 e