September 2, 2016
Motortrivia Team (10191 articles)

MICHELIN Pilot Sport Experience 2016 สัมผัสประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตกับมิชลิน


เรื่อง – ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

 

   MICHELIN Pilot Experience เกิดขึ้นจากความต้องการให้บุคคลทั่วไปและแฟนมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกได้รับรู้และสัมผัส ‘ความเป็นผู้นำในสนามแข่ง’ ซึ่ง MICHELIN ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยางสำหรับแข่งขัน และประยุกต์ใช้กับยางสำหรับใช้งานทั่วไปด้วย MICHELIN Pilot Experience เริ่มจัดครั้งแรกในยุโรป จากนั้นจึงเปิดตัวในเอเชียที่สนามแข่งขันนานาชาติ เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย ในปี 2006 และ ทีมงานมอเตอร์ทริเวียได้ร่วมงานนี้มาครั้งหนึ่งแล้วในปี 2011.

   ทิ้งช่วงไป 5 ปี ทีมงานมอเตอร์ทริเวียได้รับโอกาสดีอีกครั้ง ที่ได้เข้าร่วมงาน MICHELIN Pilot Sport Experience 2016 ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ณ ประเทศมาเลเซีย เริ่มออกเดินทางช่วงบ่ายวันที่ 28 จากสนามบินสุวรรณภูมิ มุ่งหน้าสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองแล้วนั่งรถกอล์ฟต่อไปยังล๊อบบี้โรงแรม Sama Sama ซึ่งอยู่ติดกับสนามบิน มีทางเชื่อมต่อกันไม่ต้องออกไปนอกตัวอาคาร จริงๆ ระยะทางก็ไม่ไกลเดินไม่เกิน 10 นาที ถึงโรงแรมแล้วแยกย้ายไปเก็บของ จากนั้นลงมารับประทานอาหารเย็น และขอความร่วมมืองดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะรุ่งขึ้นต้องขับรถเกือบทั้งวัน ที่ล๊อบบี้โรงแรมมีรถแข่ง ฟอร์มูล่า อี จอดโชว์อยู่ เป็นรถแข่งที่มิชลินสนับสนุนยางให้

   เช้าวันที่ 30 ลงทะเบียนรับ Wrist Band แบ่งกลุ่มตามสีที่เคาน์เตอร์ของ MICHELIN ที่ล๊อบบี้โรงแรม จากนั้นออกเดินทางจากโรงแรมโดยรถบัส มีเพื่อนๆ สื่อมวลชนจากต่างประเทศร่วมเดินทางไปด้วย ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ก็ถึงเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เข้าฟังการบรรยายสรุปกิจกรรมและข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย จากนั้นจึงเปลี่ยนใส่ชุดแข่งแบบครบชุด พร้อมรองเท้า ถุงมือ และหมวกกันน็อค และลงไปที่พิทด้านล่างเพื่อเข้าสู่ช่วงพิธีเปิด ให้เดินชมรถแข่งฟอร์มูล่า 4 และแลมบอร์กินี จีที3 จากนั้นประตูพิทเลื่อนขึ้นก็จะเห็นรถที่จะได้ขับในวันนี้จอดเรียงรายอยู่พร้อมทีมงาน หลังจากถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็แยกย้ายกันทำกิจกรรมตามสี

Michelin Pilot Sport 4

ทดลองขับบนถนนแห้งและเปียก
   อุ่นเครื่องเบาๆ ด้วยเรื่องการผลิตยาง ที่วัตถุดิบเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น เพราะการผลิตยางคุณภาพดี ต้องขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและขั้นตอนการผลิตด้วย ต่อด้วยการย้อนประวัติการผลิตยางรุ่นต่างๆ ของมิชลิน และเซอร์ไพรส์ที่ทีมงานมิชลินอุบไว้ก็คือ ยางรุ่นใหม่ล่าสุด MICHELIN Pilot Sport 4 ที่เตรียมเปิดตัวในเมืองไทยภายในปีนี้ พัฒนามาจากยางของรถฟอร์มูลา อี ซึ่งจัดการแข่งขันหมุนเวียนในหลายประเทศ มีสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่มิชลินใช้ยางเพียงรุ่นเดียวสำหรับการแข่งขันในทุกประเทศ ยางสำหรับรถฟอร์มูล่า อี จึงต้องเป็นยางที่มีคุณสมบัติเด่นรอบด้าน ซึ่งก็ตรงกับแนวคิดในการพัฒนายางสำหรับใช้งานทั่วไป ที่ต้องเจอกับสภาพอากาศที่แตกต่างกัน

   เซอร์ไพรส์ถัดมา คือ การได้ทดลองขับรถ ออดี้ เอ6 TFSI Quattro ใส่ยาง Pilot Sport 4 ขนาด 245/40/18 เปรียบเทียบกับยางคู่แข่งด้วยการขับสลาลมบนถนนเปียกและแห้งที่ความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมทั้งการเบรกจาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนถนนเปียก ได้ขับคันละ 2 รอบ เริ่มต้นด้วยการนั่งในรถเพื่อดูไลน์สนาม เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงที่เบรกจาก 100-0 เจ้าหน้าที่ที่นั่งไปด้วยจะบอกให้เหยียบเบรก ผู้ขับแค่มองทางข้างหน้าอย่างเดียว ด้านข้างมีป้ายบอกระยะทางเพื่อให้เห็นความแตกต่าง

   เริ่มต้นด้วยการขับรถที่ใส่ยางคู่แข่ง ทำเอาเสียความมั่นใจไปเล็กน้อย เพราะใช้ความเร็วเกิน ประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกือบจะควบคุมรถไม่อยู่ ต้องแตะเบรกลดความเร็ว เป็นอันว่าสลาลมรอบแรกฟาล์วไป หันไปถามอินสตรัคเตอร์ที่นั่งไปด้วยว่าผมใช้ความเร็วเกินใช่ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าใช่ และให้ใช้ความเร็วตามสบาย ไม่ต้อง 60 เป๊ะก็ได้ แต่ขอให้ใช้ความเร็วเท่ากันทุกรอบ วนรถไปจอดนิ่งแล้วกดคันเร่งสุด เกือบถึงป้าย STOP เจ้าหน้าที่ก็ไม่บอกให้เบรก พอหัวรถถึงป้าย STOP จึงตัดสินใจกระทืบเบรกเอง ในรถทุกคันมี Performance Box วัดระยะเบรกได้ สอบถามว่าขอข้อมูลตัวเลขได้ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้

   ขับรถที่ใส่ยางคู่แข่งรอบ 2 กดคันเร่งแล้วชำเลืองดูว่าความเร็วถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว ก็พยายามเลี้ยงคันเร่งไว้ ขับผ่านไพลอนทั้งบนถนนเปียกและแห้งได้โดยสวัสดิภาพ จากนั้นลองเบรกอีกครั้งแล้วจึงสลับมาขับรถคันที่ใส่ยาง Pilot Sport 4 ขับ 2 รอบโดยพยายามรักษาความเร็วให้เท่าเดิม รู้สึกว่าช่วงสลาลมจะควบคุมรถง่ายกว่าเล็กน้อย และเมื่อดูจากป้ายบอกระยะก็จะเห็นว่าระยะเบรกสั้นกว่าพอสมควร

Formula 4

เกียร์ Paddle Shift ขับง่ายขึ้น
   ต่อเนื่องด้วยการขับรถ ฟอร์มูล่า 4 เป็นรถล้อเปิด เครื่องยนต์ 160 แรงม้า ตัวรถเบาหวิวเพียง 470 กิโลกรัม ทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใส่ยางสลิค ด้านหน้า 20/54-13 ด้านหลัง 22/54-13 เวลาจะเข้าไปนั่งต้องมีขั้นตอนเล็กน้อย เริ่มจากการก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปเหยียบในรถตรงบริเวณที่นั่ง จากนั้นใช้มือสองข้างจับขอบตัวรถไว้ ยกข้างอีกข้างเข้ามาในรถแล้วสอดขาทั้ง 2 ข้างไปด้านหน้าและหย่อนตัวลงนั่ง

   เมื่อ 5 ปีที่แล้วจำได้ว่าเกียร์เป็นแบบคันโยกอยู่ทางขวามือ แต่สำหรับปีนี้เป็นเกียร์ Paddle Shift ฝั่งขวาเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูง ฝั่งซ้ายเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ สตาร์ตเครื่องยนต์แล้วเหยียบคลัตช์ ดึง Paddle Shift ทั้ง 2 ข้างพร้อมกันต่อเนื่องด้วยการดึง Paddle Shift ฝั่งขวาเพื่อเข้าเกียร์ 1 จากนั้นกดคันเร่งให้รอบสูงสักนิดประมาณ 2,000 รอบต่อนาที แล้วค่อยๆ ผ่อนคลัตช์เพื่อออกตัว หลังจากนั้นไม่ต้องเหยียบคลัตช์อีกเลยตลอดการขับ จนกว่าจะขับกลับเข้ามาจอด ช่วงขับออกตัวจะยากสักนิด มีอาการกระตุกบ้างเพราะไม่ชินกับระยะและน้ำหนักคลัตช์ รวมทั้งต้องเลี้ยงคันเร่งใช้ความเร็วต่ำเพราะเป็นช่วงที่ขับออกจากพิท พอพ้นช่วงพิทไปแล้วจึงกดคันเร่งได้มากขึ้น อาการกระตุกก็หมดไป

   รถแข่งรุ่นนี้ปกติจะมีการหล่อเบาะนั่งให้พอดีตัวผู้ขับ แต่เนื่องจากต้องเปลี่ยนกันขับหลายคน จึงใช้วิธีเอาเบาะมารองหลังให้หากรู้สึกว่านั่งห่างเกินไป ท่านั่งจะเป็นแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน ตัวจมลงไปในรถเกือบหมด โผล่มาแต่หัว บรรยากาศรอบด้านต่างจากการขับรถทั่วไปโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกในการขับก็แตกต่างเช่นกัน ทั้งการหมุนพวงมาลัย การเหยียบคันเร่งและเบรก รวมทั้งการเปลี่ยนเกียร์ที่ออกแนวหนักแน่นดุดันสไตล์รถแข่ง บนทางโค้งต้องออกแรงฝืนร่างกายต้านแรงเหวี่ยง ส่วนบนทางตรงก็รู้สึกถึงลมที่ปะทะหมวกกันน็อคและเหมือนจะมีแรงยกหมวกขึ้นนิดๆ

   ตลอดการขับจะมีรถนำ และในสนามก็มีไพลอนวางบอกไลน์ขับที่ถูกต้องไว้ทั้งจุดเบรก จุด Apex ขาเข้า และจุดที่จะพารถออกจากโค้ง ก็พยายามขับไปตามจุดที่กำหนดไว้ เพราะรู้ว่าเจ้าหน้าที่ในรถนำกำลังจับตาดูอยู่ ใจจริงอยากขับชิลๆ เก็บเกี่ยวความรู้สึกในการขับรถล้อเปิดที่ไม่ได้มีโอกาสขับบ่อยนัก

Citroen DS3 R1

จุใจกับทางฝุ่น
   เมื่อ 5 ปีที่แล้วไม่ได้ขับรถแรลลี่เนื่องจากฝนตกหนักจึงต้องงดไป สำหรับครั้งนี้แม้ท้องฟ้าจะอึมครึม แต่ฝนไม่ตก จึงได้ลองขับรถ ซีตรอง ดีเอส3 อาร์1 มีกำลัง 125-130 แรงม้า น้ำหนักรถ 1,180 กิโลกรัม เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใส่ยางแรลลี่ขนาด 14/62-15 แก้มยางแข็งกว่ายางรถทางเรียบมาก เพราะต้องเผื่อไว้สำหรับการตกหลุมหรือโดดเนิน การขับเหมือนรถทั่วไป เพียงแต่ในสนามนี้จะใช้แค่เกียร์ 2 เท่านั้น ออกตัวด้วยเกียร์ 1 แบบนุ่มนวล เพราะจุดปล่อยรถอยู่ใกล้เต๊นท์ ถ้ากระชากออกอาจมีเศษหินปลิวได้ สนามนี้มีเจ้าหน้าที่นั่งไปด้วย สื่อสารกันผ่าน Intercom

   ออกตัวไปแล้วเข้าเกียร์ 2 ตลอดการขับ มีทั้งโค้งกว้างและแคบ ขึ้นเนินลงเนิน แต่ไม่ถึงกับโดดเนิน บางโค้งถ้าเจ้าหน้าที่ที่นั่งไปด้วยมองว่าอาจจะเข้าโค้งยากก็จะช่วยดึงเบรกมือให้ การขับไม่ได้กำหนดจำนวนรอบ แต่ใช้วิธีจับเวลา ถ้าขับเร็วก็จะได้ขับหลายรอบ ผมเน้นขับสบายๆ เหมือนเดิม มีบางครั้งที่เจ้าหน้าที่ช่วยดึงเบรกมือให้ รถก็สะบัดเข้าโค้งได้ง่ายขึ้น รถไม่มีแอร์และต้องปิดกระจกหมดป้องกันฝุ่น ทำให้ขับได้ไม่กี่รอบก็เริ่มเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ได้รับคำสั่งให้กลับเข้าพิท ได้ขับกันแบบจุใจอีกหลายรอบ จึงได้เข้าพิทไปพักแล้วออกมาขับอีกหลายรอบ

Renault Clio IV

ปิดท้ายด้วยการหมุน!!
   ย้ายมาใช้สนามอีกฝั่งเพื่อขับรถ 2 รุ่นสุดท้าย รุ่นแรกเป็น ออดี้ เอ6 ที่ขับในช่วงเช้า ใส่ยางมิชลิน Pilot Sport 4 เหมือนเดิม แต่คราวนี้ขับในสนามแข่ง มีเจ้าหน้าที่นั่งไปด้วยเพื่อคอยบอกไลน์ ซึ่งในสนามก็มีไพลอนวางบอกจุดไว้ให้แล้ว ผมใช้ความเร็วปกติเพราะอยากจับอาการของยางรุ่นใหม่ว่าเป็นอย่างไร โดยรวมก็คงความนุ่มเงียบตามสไตล์มิชลิน และมีการยึดเกาะถนนที่ดี ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะใส่อยู่ในรถสมรรถนะสูงด้วย

   รถรุ่นสุดท้ายที่จะได้ขับคือ เรโนลต์ คลีโอ โฟร์ เป็นรถแข่งทัวริ่ง เครื่องยนต์ 220 แรงม้า น้ำหนัก 1,080 กิโลกรัม เกียร์ซีเควนเชียล ใส่ยางสลิค ด้านหน้า 20/61-17 ด้านหลัง 22/61-17 เริ่มต้นด้วยการเหยียบคลัตช์ กดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วกดปุ่ม Gear ค้างไว้และดึง Paddle Shift ฝั่งขวาเพื่อเข้าเกียร์ 1 จากนั้นเร่งรอบประมาณ 3,000 รอบต่อนาที แล้วผ่อนคลัตช์จนสุด การเปลี่ยนเกียร์จากนี้จะใช้ Paddle Shift เท่านั้นและไม่ต้องเหยียบคลัตช์

   ขับด้วยความเร็วปกติ ไม่ได้ซัดแบบเต็มเหนี่ยว เพราะรู้สึกว่าสมาธิไม่ค่อยดีนัก แล้วก็เกิดเหตุจนได้ ช่วงจังหวะกำลังเข้าโค้งซ้าย แว่บเดียวรถก็หมุน 180 องศา รู้สึกตัวก่อนรถจะหมุนเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว สาเหตุไม่ใช่เพราะรถหรือยางไม่ดี แต่เป็นที่ตัวคนขับเองที่ผิดพลาด กับโค้งนี้ซึ่งเป็นโค้งยาก ต้องลดความเร็วลงมากๆ แต่กลับเบรกเบาเกินไป ทำให้ความเร็วก่อนเข้าโค้งสูงเกินไป (เจ้าหน้าที่อธิบายภายหลังว่า อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อชินกับน้ำหนักในการเหยียบเบรกของรถทั่วไป ว่าออกแรงเหยียบแค่นี้ก็พอแล้ว แต่รถแข่งไม่มีหม้อลมเบรก ต้องออกแรงเหยียบมากกว่าปกติ) แล้วก็หมุนพวงมาลัยเร็วเกินไป ทำให้รถหมุน โชคดีที่ไม่หมุนไปฟาดกำแพง เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่มีรถตามมาแล้วก็รีบสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วกลับรถขับเข้าพิท นึกอยู่ว่าถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนถนนสาธารณะคงจะเสียหายหนัก

Lamborghini Gallardo GT3

600 ม้าพาเพลิน
   ปิดท้ายกิจกรรมด้วย Hot Lap มีรถให้จับฉลากเลือก 2 คัน คือ แลมบอร์กินี รถแข่งจีที3 และ ฟอร์มูลา เลอมังส์ ผมได้นั่งแลมบอร์กินี เครื่องยนต์ วี10 5,200 ซีซี 600 แรงม้า ใส่ยางสลิคมิชลิน S9H ด้านหน้า 30/65-18 ด้านหลัง 31/71-18 ภายในเป็นรถแข่งแท้ มีโรลบาร์กับอุปกรณ์ที่จำเป็น ขับไหลๆ ออกจากพิทก็รู้สึกตื่นเต้นกับเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าใจ แต่พอพ้นปากทางพิท ผู้ขับที่เป็นนักแข่งมืออาชีพก็กดคันเร่งสุด รถพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ติด มุ่งเข้าหาโค้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะเบรก กว่าจะเบรกก็เข้าไปในโค้งลึกมาก เบรกแล้วเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำกดคันเร่งต่อ รถไต่โค้งด้วยความเร็วสูง รู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงด้านข้างจนต้องฝืนตัวไว้ รถเข้าโค้งได้คมกริบและนิ่งมั่นคง เร็วแบบสุดๆ แต่ไม่น่ากลัว เป็นประสบการณ์ที่สะใจจริงๆ  

ขอบคุณ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง


MICHELIN Pilot Sport Experience 2016 : MT


MICHELIN Pilot Sport Experience 2016 : Official