August 1, 2017
Motortrivia Team (10167 articles)

2018 Tesla Model 3 ราคาคันจริงอาจไม่ถูกอย่างที่คิด

เรื่อง : AREA 54

●   ต้นเดือนกรกฎาคม 2017 ที่ผ่านมา เทสล่าได้ปล่อยรถไฟฟ้าราคาประหยัด Tesla Model 3 ลอทแรกออกมาจากโรงงานในฟรีมอนท์ 30 คัน โดยสามารถกดราคาจำหน่ายได้ต่ำจริง (เมื่อเทียบกับ Tesla Model S) เบื้องต้นแบ่งการจำหน่ายเป็น 2 รุ่นย่อยคือ รุ่นพื้นฐาน Model 3 Standard และรุ่นย่อยเกรดเพิ่มระยะทาง Model 3 Long Range ที่วิ่งได้ไกลขึ้น ซึ่งราคานั้นพุ่งขึ้นไปมากพอดู นอกจากนี้รุ่นพื้นฐานจะไม่มีออปชั่นอย่างระบบกึ่งอัตโนมัติ AutoPilot มาให้ ยังผลให้ผู้ที่ต้องการออปชั่นต่างๆ ที่ควรมี ต้องจ่ายเพิ่มในราคาสูงอยู่ดี

●   ก่อนจะไปถึงรายละเอียดราคาและบรรดาออปชั่น ปัจจุบันแผนงานการผลิต Model 3 ที่แน่นอนนั้นเผยออกมาแล้ว โดยในปี 2017 นี้เทสล่าจะเริ่มทำตลาดรุ่นย่อยเกรด Long Range มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลักก่อน พูดง่ายๆ ขายรุ่นแพงกว่าก่อน กำหนดส่งมอบคือเดือนตุลาคม 2017 เป็นต้นไป จากนั้นรุ่นพื้นฐานราคาต่ำสุดจึงจะ “เริ่มผลิตแบตเตอรี่” ในเดือนพฤศจิกายน 2017 ดังนั้นใคร (ในต่างประเทศ) ที่อยากครอบครองรถไฟฟ้าราคาประหยัดของเทสล่ายังคงต้องรอต่อไปอีกสักพักใหญ่ครับ

●   จากนั้นในปี 2018 เทสล่าจะเริ่มผลิต Model 3 รุ่นย่อยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ all-wheel drive ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือราวๆ เดือนมีนาคม 2018 เป็นต้นไป พ้นจากช่วงนี้การส่งออกรุ่นพวงมาลัยซ้ายไปยังตลาดโลกจะเริ่มขึ้นหลังช่วงเดือนกรกฎาคม 2018 ก่อนจะปิดท้ายแผนงานในเฟสแรกของการทำตลาด Model 3 ด้วยการผลิตรุ่นพวงมาลัยขวาในช่วงปี 2019… ทว่างานหนักจริงๆ ที่รออยู่ก็คือ เทสล่ามียอดจอง Model 3 ล่าสุด (กรกฎาคม 2017) ถึง 500,000 คัน… มองทางไหนก็ไม่มีทางผลิตได้ทันความต้องการ

รุ่นย่อย Standard และ Long Range

●   จบเรื่องระยะเวลาในการผลิต/จำหน่าย มาดูสเปคพื้นฐานของรุ่น entry-level กันก่อนครับ:

●   Tesla Model 3 รุ่นพื้นฐาน  :  มากับจอทัชสกรีนไซส์แท๊บเลทขนาด 15 นิ้ว, ระบบ Keyless entry, Wi-Fi และ LTE, ระบบสั่งการด้วยเสียง, กล่องคอนโซลกลางพร้อม USB 2 พอร์ท, แอร์ Dual Zone, เบาะผ้า ส่วนของสำคัญอย่างชุดระบบความปลอดภัยมี ถุงลมนิรภัย 8 ใบ, ระบบ Collision Avoidance ตรวจจับด้วยเรดาห์เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะทางด้านหน้า และระบบ Automatic emergency braking ช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน

●   แบตเตอรี่ของ Model 3 รุ่นพื้นฐานวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 354 กม. ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขระยะทางอย่างเป็นทางการของ EPA อย่างไรก็ตาม นอกจากตัวเลขระยะทาง เทสล่ายังไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขกำลังและแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้า (มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง) หรือแม้แต่ความจุของแบตเตอรี่แพค แต่ก็ยังหยอดสมรรถนะโดยรวมมาให้นิดหน่อย เช่น อัตราเร่ง 0-96 กม. ภายใน 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 209 กม./ชม.

●   ทั้งหมดนี้คือ Model 3 รุ่นมาตรฐานซึ่งมีราคาหน้าโรงงานเริ่มต้นที่ 35000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.17 ล้านบาทครับ

●   Tesla Model 3 รุ่นย่อยเกรด Long Range  :  เพิ่มความจุแบตเตอรี่แพคเป็น 75 กิโลวัทท์-ชม. ระยะทางในการขับเพิ่มเป็น 498 กม. อัตราเร่ง 0-96 กม. ภายใน 5.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กม./ชม. ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 44,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.47 ล้านบาท

ราคาของออปชั่นเสริม

●   มาถึงออปชั่น… ผู้แปลขอตัดออปชั่นประเภท เบาะหนัง, เครื่องเสียง, สีรถ, กล่องคอนโซลกลางพร้อมช่องใส่สมาร์ทโฟน 2 เครื่อง, หลังคากระจก ฯลฯ ซึ่งเป็นของฟุ่มเฟือยไปเลยนะครับ (รวมๆ แล้วประมาณ 5,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.7 แสนบาท ไม่รวมสีรถ +1,000 หรือราว 3.4 หมื่นบาท) มาว่ากันที่ออปชั่นสำคัญอย่างระบบขับเคลื่อน “กึ่งอัตโนมัติ” AutoPilot อันประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นวิ่งในเลนตัวเองอัตโนมัติ, ฟังก์ชั่นเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อเส้นทางจากไฮเวย์ไปสู่อีกไฮเวย์หนึ่ง และฟังก์ชั่นจอดรถอัตโนมัติ

●   เทสล่าระบุว่า ฮาร์ดแวร์ในระบบ AutoPilot นั้น (เทสล่าเรียกว่า HW2 หรือ Hardware version 2) เป็นชุดฮาร์ดแวร์ล่าสุด MY2016 ที่ประกอบด้วยกล้อง 8 ตัว, เรดาห์สำหรับตรวจจับวัตถุทางด้านหน้า, เซนเซอร์อัลตร้าโซนิค 12 จุด ประมวลผลด้วย NVIDIA Drive PX 2 AI ทั้งหมดนี้ “รองรับการอัพเกรดซอฟท์แวร์เพื่อใช้งานระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคต” หมายความว่าระบบ AutoPilot ทุกวันนี้เป็นเพียง ระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ Level 3 ตามมาตรฐาน SAE และจะได้รับการอัพเกรดเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 5 ในอนาคต (อีกนานครับ อย่างน้อยก็ต้องหลังปี 2020)

●   ราคาของอออปชั่น AutoPilot Level 3 คือ 5,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.7 แสนบาทครับ ส่วนออปชั่นอัพเกรดซอฟท์แวร์ในอนาคตคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ดอลลาร์ หรือราว 1 แสนบาทเป็นอย่างต่ำ

●   ในระยะแรกจึงยังไม่มีใครได้ขับ Model 3 เวอร์ชั่นเปลือยๆ ครับ อย่างน้อยต้องซื้อรุ่น Long Range กันก่อน… ถามจริงๆ สมมุติหากพวกเรา (คนไทย) มีเงิน และมีโอกาสซื้อ คุณผู้อ่านจะซื้อ Model 3 รุ่นย่อยใด? และจะเลือกติดตั้ง AutoPilot เพิ่มหรือไม่?… หากซื้อรุ่น Long Range + AutoPilot ก็จะมีราคาเริ่มต้นประมาณ 49,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.64 ล้านบาท และหากใครต้องการความหรูก็ต้องเพิ่มอีก 5,000 ดอลาร์เป็น 54,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1.8 ล้านบาท

●   ดังนั้น… ซื้อเทสล่าแต่ไม่มี AutoPilot ก็คงจะกระไรอยู่ ส่วนใหญ่ก็น่าจะยอมจ่ายเพิ่มกัน

●   เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าของแบรนด์อื่นๆ แบบรุ่นท๊อปออปชั่นครบ อาทิ Hyundai IONIQ ราคา 36,000 ดอลลาร์ (ราว 1.2 ล้านบาท), Nissan Leaf ราคา 39,640 ดอลลาร์ (ราว 1.3 ล้านบาท) หรือ Chevrolet Bolt ราคา 42,760 ดอลลาร์ (ราว 1.5 ล้านบาท) จะเห็นว่า Tesla Model 3 ไม่ใช่รถที่มีราคาถูกนัก… เว้นแต่จะต้องถูกนับเป็น รถในเครือเทสล่าที่มีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับรถของเทสล่าด้วยกันเอง   ●

Update 1 : เผยตัวเลขความจุแบตเตอรี่แพคจากข้อมูลของ EPA

9 August, 2017 AT 9:59 AM

●   เว็บไซท์ Inside EVs เผยข้อมูลเบื้องต้นจากเอกสารการทดสอบรถของ EPA แบบไม่เป็นทางการ ซึ่งระบุว่าความจุแบตเตอรี่แพคของ Model 3 รุ่น Long Range นั้นไม่ใช่ 75 กิโลวัทท์-ชม. แต่เป็น 85.5 กิโลวัทท์-ชม. ซึ่งเมื่อคำนวณจากค่าเฉลี่ยระยะทางในการวิ่งของของรุ่นพื้นฐาน เท่ากับว่า Model 3 รุ่นพื้นฐาน หรือรุ่น Standard ราคาประหยัดในอนาคตนั้นมีความจุแบตเตอรี่แพคประมาณ 55 กิโลวัทท์-ชม. และมีกำลังสูงสุด 258 แรงม้า (HP รุ่นมอเตอร์เดี่ยว RWD)

●   ตัวเลขความจุนี้ มีการคำนวณมาจากชุดตัวเลขในเอกสารที่ระบุว่า แบตเตอรี่ของ Model 3 มีค่า Ah (แอมป์ชั่วโมง) หรือปริมาณการจ่ายไฟใน 1 ชม. เท่ากับ 230 Ah และมีแรงดันไฟฟ้า 350 โวลท์ เมื่อแปลงมาเป็นหน่วยกิโลวัทท์-ชม. จะได้ตัวเลขเท่ากับ 85.5 ซึ่งตัวเลขนี้มากกว่าที่ Elon Musk เคยคาดเอาไว้ว่า Model 3 ไม่น่าจะติดตั้งแบตเตอรี่ได้มากกว่า 75 กิโลวัทท์-ชม. อันเป็นเหตุให้สื่อฯ ส่วนใหญ่ยึดเอาตัวเลขนี้เป็นหลักมาโดยตลอด

●   ตัวเลขความจุแบตเตอรี่ชุดนี้ มากกว่ารุ่นพี่อย่าง Model S รุ่นพื้นฐานในปัจจุบัน “Model S 75” ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง แบตเตอรี่แพคความจุ 75 กิโลวัทท์-ชม. ครับ (รุ่นท๊อป “Model S P100D” มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ใช้แบตเตอรี่ 100 กิโลวัทท์-ชม.) โดย Model S 75 นั้นวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 387 กม. ที่ความเร็วเฉลี่ยไม่เกิน 112 กม./ชม. และติดตั้งล้อแสตนดาร์ด 19 นิ้ว… ทั้งนี้ หากใครต้องการความสวยงามด้วยการเพิ่มออปชั่นล้อเป็น 21 นิ้ว ระยะทางในการวิ่งจะลดลงเหลือ 378 กม. ที่ความเร็วเฉลี่ยเท่ากัน

●   แบตเตอรี่น้อยกว่า ทำไมจึงวิ่งได้ไกลกว่า? นั่นเป็นเพราะ Model 3 มีน้ำหนักตัวเพียง 1,740 กก. ซึ่งเบากว่า Model S อยู่ราว 367 กก. ดังนั้นอัตราส่วนการรับภาระจึงน้อยกว่านั่นเอง แต่หากมีใครคิดว่า ถ้าอย่างนั้นซื้อ Model 3 Standard ซึ่งมีราคาถูกกว่า Model S ไม่ดีกว่าหรือ ก็คงต้องบอกว่า เหมือนเราคิดจะซื้อ BMW 3 Series กับ 5 Series นั่นแหละครับ ตัวรถเป็นคนละคลาสกัน

●   อย่างไรก็ตาม เราคงต้องรอข้อมูลจากเว็บไซท์อย่างเป็นทางการของเทสล่าอีกสักพักใหญ่ๆ ครับ ถึงตอนนั้นจะมีเครื่องมือในการคำนวณระยะทาง ออปชั่นล้อ และความเร็วเฉลี่ยที่จะส่งผลต่อระยะทางมาให้เห็นกันชัดๆ   ●

2018 Tesla Model 3