March 10, 2018
Motortrivia Team (10167 articles)

Mercedes-AMG Motorsport สร้างประวัติศาสตร์ร่วมขบวนทีมแชมป์ 4 สมัย


Posted by : FascinatorFJ.

 

●   ร้อนแรงต่อเนื่องสำหรับเมอร์เซเดส ทีมแข่งสัญชาติเยอรมันที่เพิ่ง คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ติดต่อกันมาได้ นั่นทำให้ค่ายศรเงินกลายเป็นทีมที่ 4 ในประวัติศาสตร์ เอฟวัน เท่านั้น ที่สามารถคว้าแชมป์โลกติดต่อกันได้ถึง 4 สมัย แต่จะมีทีมไหนกันบ้าง? ลงไปอ่านกันได้เลยครับ

McLaren F1 Team

แม็คลาเรน (1988 – 1991)
●   แม็คลาเรนมีการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในยุค 80 เมื่อ รอน เดนนิส ได้เข้ามาร่วมบริหารทีม เขาพา จอห์น บาร์นาร์ด หัวเรือใหญ่ฝ่ายเทคนิคสมัยที่ทำทีมแข่งเอฟทูมาด้วย และนั่นทำให้แม็คลาเรนกลับมาคว้าแชมป์โลกประเภททีมได้อีกครั้งในรอบ 10 ปี หรือในปี 1984 และยังสามารถป้องกันแชมป์โลกในปีถัดมาได้อีกด้วย ในปี 1986 อแลง พรอสต์ ก็สามารถคว้าแชมป์โลกให้ตัวเองได้สำเร็จอีกครั้ง แต่ทางทีมต้องสูญเสียแชมป์โลกไปให้กับวิลเลียมส์ 2 ปี นั่นทำให้แม็คลาเรนมีการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ (1) พวกเขาเจรจารับการสนับสนุนจากเครื่องยนต์ฮอนด้า (2) ดึงตัว ไอร์ตัน เซนน่า มาจากโลตัส

●   มันเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงแต่ก็ถือว่าทางทีมได้ประโยชน์จากสิ่งที่พวกเขาทำไป รถของแม็คลาเรนในปี 1988 นั้นเรียกได้ว่าแทบจะเพอร์เฟคต์เลยทีเดียว MP4/4 นั้นพานักแข่งของพวกเขาทั้งสองคว้าชัยแบบ 1-2 ไปได้ถึง 10 สนาม และยังคว้าชัยทั้งหมดในปีนั้นได้ถึง 15 จาก 16 สนาม MP4/5A และ MP4/5B ที่ถูกใช้ในปี 1989 และ 1990 นั้น ถึงแม้จะไม่เพอร์เฟคต์เทียบเท่ารุ่นพี่ของมัน แต่มันก็ต่างช่วยให้ พรอสต์ และ เซนน่า คว้าแชมป์โลกให้กับตนเองและทีมอีกคนละ 1 ครั้ง

●   ในปี 1991 เริ่มจะเป็นปีที่ลำบากของแม็คลาเรน เนื่องจากเครื่องยนต์ฮอนด้าเริ่มอ่อนกำลังกว่าคู่แข่ง แต่ถึงกระนั้น เซนน่า ก็ยังคงคว้าชัยชนะเปิดฤดูกาลมาได้ 4 สนาม ก่อนที่จะเพลี่ยงพล้ำให้กับวิลเลียมส์ไปบ้างในช่วงกลางฤดูกาล แต่เขาก็ยื้อไว้ได้สำเร็จและคว้าแชมป์โลกครั้งสุดท้ายของเขากับปิดฉากแชมป์โลกประเภททีมปีที่ 4 ให้กับแม็คลาเรน

Scuderia Ferrari Formula 1

เฟอร์รารี (1999 – 2004)
●   เขาว่าเป็นแฟนเฟอร์รารีต้องอดทนครับ ก่อนที่ค่ายม้าลำพองจะประสบกับสภาวะร้างราแชมป์โลกในปัจจุบัน ในยุค 90 พวกเขาก็เคยประสบกับปัญหานี้มาก่อน พวกเขาต้องมองแม็คลาเรนและวิลเลียมส์สลับกันคว้าแชมป์โลกโดยที่ไม่สามารถคว้าชัยชนะได้เลยตั้งแต่ปี 1991 – 1993 ในปี 1996 เฟอร์รารีจึงได้ฟอร์มทีมใหม่ ลูก้า ดิ มอนเตเซโมโล ซึ่งขึ้นมาเป็นประธานทีม และ ฌอง ท็อดต์ ทีมบอส ได้ดึงตัว มิคาเอล ชูมัคเกอร์ แชมป์โลก 2 สมัย ในตอนนั้นเข้ามาร่วมทีม ซึ่ง ชูมัคเกอร์ ก็ได้มาพร้อมกับพ่อมดจอมวางแผน รอส บรอว์น และพ่อมดนักออกแบบ โรรี เบิร์น ก่อกำเนิดเป็นดรีมทีมที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้

●   ถึงแม้ว่าตัวรถในปี 1996 ของเฟอร์รารีจะยังไม่สมบูรณ์อย่างเห็นได้ชัด ชูมัคเกอร์ ก็พารถคันนั้นคว้าชัยชนะมาได้ 3 ครั้ง ก่อนที่เขาจะขยับเข้าใกล้ลุ้นแชมป์โลกมากขึ้นในปี 1997 และ 1998 ในปี 1999 นั้น ชูมัคเกอร์ ขาหักจากอุบัติเหตุในการแข่งขันบริติชกรังด์ปรีซ์ และต้องปล่อยให้ เอดดี้ เออไวน์ เพื่อนร่วมทีม ขึ้นมากุมชะตากรรมในการลุ้นแชมป์โลกแทน ซึ่ง เออร์ไวน์ ก็เกือบจะคว้าแชมป์โลกให้กับตัวเองได้ อย่างไรก็ตามแชมป์โลกประเภททีมได้ตกเป็นของเฟอร์รารีในที่สุดหลังจากที่ต้องรอมาตั้งแต่ปี 1979

●   เมื่อเข้าสู่ยุค 2000 เฟอร์รารีก็ไร้เทียมทานหาผู้ใดต้าน เริ่มจากค่อยๆ แย่งแชมป์โลกและชัยชนะมาได้ทีละน้อยๆ จากแม็คลาเรนในปี 2000 จนถึง 2001 เมื่อเข้าสู่ปี 2002 พวกเขาชนะถึง 15 จาก 17 สนาม ถึงแม้ว่าการแข่งขันจะกลับมาตื่นเต้นเมื่อปี 2003 มีการลุ้นแชมป์โลกกันมากถึง 3 คน จาก 3 ค่าย แต่ปี 2004 ก็กลับมาเป็นปีสุดยอดของเฟอร์รารีอีกครั้ง พวกเขาชนะ 15 จาก 18 สนาม และเป็นชัยชนะของ ชูมัคเกอร์ ที่เป็นสถิติชนะ 13 ครั้ง ในหนึ่งฤดูกาล ซึ่งเป็นการทิ้งท้ายความยิ่งใหญ่ของเฟอร์รารีที่น่าจดจำ

Aston Martin Red Bull Racing

เรดบูลล์ (2010 – 2013)
●   เรดบูลล์ได้ศึกษาความยิ่งใหญ่ของเฟอร์รารี และนั่นนำไปสู่การดึงตัวคีย์แมนต่างๆ มาเข้าร่วมทีมหลังจากที่ซื้อกิจการจากจากัวร์หลังจบปี 2004 ที่ปรึกษาทีม เฮลมุท มาร์โค, ทีมบอส คริสเตียน ฮอร์เนอร์, ผู้เชี่ยวชาญด้านแอโรไดนามิกส์ ปีเตอร์ โปรโดรโม และที่สำคัญ นักออกแบบอัจฉริยะ เอเดรียน นิวอี้ ชิ้นส่วนต่างๆ ได้ถูกนำมาจัดเข้าที่เรียบร้อยภายในปี 2006

●   ในช่วงแรกนั้นทางทีมมีความคืบหน้าในการพัฒนารถอย่างช้าๆ จนกระทั่งกฎใหม่ในปี 2009 ออกมาและเรดบูลล์จับทางถูกได้ก่อนใคร นั่นส่งผลให้พวกเขาคว้าชัยชนะครั้งแรกของทีมได้และไล่บี้ บรอว์น จีพี จนถึงสนามสุดท้ายของฤดูกาล ปี 2010 RB6 นั้นก็สามารถพาพวกเขาถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ โดยทั้งทีมและ เซบาสเตียน เวทเทล คว้าแชมป์โลกครั้งแรกร่วมกัน

●   ในปี 2011 พวกเขาศึกษาการใช้ประโยชน์จาก ท่อไอเสียเป่าดิฟฟิวเซอร์และการจูนเครื่องยนต์ให้ปล่อยไอเสียตลอดเวลา นั่นจึงทำให้ปีนี้เป็นปีที่พวกเขาคว้าแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่ เวทเทล นั้นคว้าโพลไปได้ถึง 15 ครั้ง ทุบสถิติเดิมของ ไนเจล แมนเซล และทางทีมคว้าโพลมาได้ถึง 18 ครั้ง และชัยชนะอีก 12 ครั้ง ในปี 2012 นั้นมีการเปลี่ยนกฎให้ปล่อยท่อไอเสียนั้นถูกย้ายขึ้นมาอยู่ส่วนบนของบอดี้รถ นั่นทำให้เรดบูลล์เป๋ไปในช่วงแรก แต่ก็ยังคงสามารถป้องกันแชมป์โลกทั้งด้านนักขับและผู้ผลิตไว้ได้เป็นปีที่ 3 ก่อนที่ปีสุดท้าย เวทเทล จะฟาดชัยชนะเรียบ 13 ครั้ง ทำสถิติเทียบเท่าชัยชนะต่อฤดูกาลของ ชูมัคเกอร์ และคว้าชัยชนะได้ 9 สนามติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติใหม่

Mercedes-AMG Petronas Motorsport

เมอร์เซเดส (2014 – 2017)
●   เข้าสู่ยุคใหม่ไฮบริด เทอร์โบ ในปี 2014 ยุคนี้เป็นยุคที่เมอร์เซเดสครองเมือง ด้วยชัยชนะนับตั้งแต่ปี 2014 – 2016 รวม 47 ครั้ง ใน 55 สนาม และยังทำโพลอีก 52 โพล ซึ่งเมอร์เซเดสนั้นเริ่มวิจัยเครื่องยนต์ตัวนี้มาตั้งแต่ปี 2011 และได้คิดค้นนวัตกรรมเทอร์ไบน์แยกฝั่งที่ค่ายอื่นๆ คิดตามไม่ทัน มันมีประสิทธิภาพที่ดีถึงขนาดสร้างความมั่นใจให้ ลูวอิส แฮมิลตัน ลูกหม้อของแม็คลาเรนที่ละทิ้งรังเก่ามาซบพวกเขาได้

●   นอกจากทีมเทคนิคฝ่ายเครื่องยนต์ที่นำโดย แอนดี้ โคเวล แล้ว ทีมเทคนิคฝ่ายชาสซีส์ซึ่งนำโดย แพ็ดดี้ โลว์ ก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน ชาสซีส์ของเมอร์เซเดสนั้นสามารถสร้าง ดาวน์ฟอร์ซ ได้ดีที่สุดจึงทำให้ทีมรวมแชมป์โลกเรียบตั้งแต่ปี 2014 – 2016 คว้าชัยชนะ 16 จาก 19 สนาม ทั้งในปี 2014 และ 2015 รวมทั้งคว้าชัยชนะ 19 จาก 21 สนาม ในปี 2016 ก่อนที่จะเริ่มถูกเฟอร์รารีไล่บี้ขึ้นมาได้ในปี 2017 แต่พวกเขาก็ยังสามารถคว้าชัยชนะมาได้ถึง 12 จาก 20 สนามอยู่ดี   ●


ที่มา :
•   www.espn.co.uk/f1.