April 8, 2018
Motortrivia Team (10069 articles)

Nissan ตั้งเป้าจำหน่ายรถไฟฟ้า 1 ล้านคันภายในปีงบประมาณ 2022

Press Release

 

●   นิสสัน มอเตอร์ ประกาศแผนการเพิ่มจำนวนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมเพิ่มขีดความสามารถด้านการพัฒนา ระบบขับขี่เคลื่อนอัตโนมัติ และเร่งการพัฒนาระบบเชื่อมต่อสำหรับรถยนต์ ตามแผนงานระยะกลางของบริษัท หรือ Nissan M.O.V.E. to 2022

●   หนึ่งในเป้าหมายของนิสสันคือ การจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจำนวน 1 ล้านคัน  ครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และแบบระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบ e-Power ภายในปีงบประมาณ 2022 ซึ่งแผนงานระยะกลางของนิสสัน หรือ Nissan M.O.V.E. to 2022 มีเป้าหมายดังนี้:

•    พัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ 8 รุ่น ต่อยอดจาก Nissan Leaf.
•    เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อทำตลาดจีนภายใต้แบรนด์ที่แตกต่างกัน
•    พัฒนา K-Car ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับตลาดญี่ปุ่น
•    พัฒนารถครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้าสู่ตลาดโลก โดยพัฒนาจากรถต้นแบบ Nissan IMx Concept.
•    เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้แบรด์อินฟินิตี ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นไป
•    ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ProPILOT ในรถ 20 รุ่น สำหรับ 20 ตลาด
•    ขยายการเชื่อมต่อให้สมบูรณ์ 100% สำหรับนิสสันรุ่นใหม่, อินฟินิตี และดัทสัน สำหรับตลาดหลัก

●   มร. ฟิลลิปเป ไคลน์ (Philippe Klein) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวางแผนธุรกิจ (Nissan’s Chief Planning Officer) กล่าวว่า “กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีของเรามุ่งเน้นสร้างจุดยืนให้นิสสันเป็นผู้นำวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีรถยนต์ และเปลี่ยนวิวัฒนาการในการดำเนินธุรกิจ เรามุ่งมั่นนำเสนอ Nissan Intelligent Mobility ภายใต้หลักการสำคัญ 3 ด้านคือ ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า, ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และการเชื่อมต่อพร้อมการบริการเพื่อการเดินทางรูปแบบใหม่”

●   มร. ไคลน์ เปิดแถลงการณ์กับสื่อมวลชนพร้อมด้วย มร. ทาคาโอะ อาซามิ รองประธานอาวุโส (Senior Vice Presidents) และ มร. โอกี เรดซิก (Ogi Redzic) ซึ่งเป็นผู้นำการพัฒนาโครงการระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและการเชื่อมต่อของกลุ่มพันธมิตร (Alliance) ในงานแถลงข่าว และยืนยันว่าแผนงานระยะกลางมีเป้าหมายเพิ่มรายได้ต่อปีให้สูงขึ้น 30% ไปอยู่ที่ 16.5 ล้านล้านเยน ภายในช่วงสิ้นปีงบประมาณ 2022 และยังมีเป้าหมายเพิ่มอัตราส่วนผลกำไรจากการปฏิบัติงาน 8% และกระแสเงินสหมุนเวียนรวมที่ 2.5 ล้านล้านเยน

●   นอกจากนี้ มร. ไคลน์ ยังกล่าวว่า นิสสันจะนำทรัพยการด้านโครงสร้างพื้นฐานรถยนต์ และระบบขับเคลื่อนในกลุ่ม เรโนลต์-นิสสัน-มิตซูบิชิ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามเป้าหมายของบริษัทด้วย

ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า

●   มร. ไคลน์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าคือ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในกลุ่ม C-segment โดยพัฒนาต่อยอดจาก Nissan Leaf เพื่อนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยร่วมมือกับบริษัทร่วมทุนของกลุ่มพันธมิตรที่มีชื่อว่า eGT New Energy Automotive และรถเอนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า ในกลุ่ม A-segment ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้นั้น จะเป็นการพัฒนาร่วมกับกลุ่มพันธมิตร และกลุ่มของตงฟง มอเตอร์ (Dongfeng)

●   นอกจากนี้ยังมีแผนการพัฒนาต่อยอดเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีก 2 รุ่นภายใต้แบรนด์ เวนูเซีย (Venucia) และเดินหน้าขยายเทคโนโลยี e-Power ซึ่งปัจจุบันใช้งานอยู่ใน Nissan Note และ Nissan Serena ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบัน Nissan Note e-Power มียอดขายมากกว่า 129,000 คัน ในปีแรกที่ออกจำหน่ายในญี่ปุ่น โดยลูกค้ามากกว่า 2 ใน 3 เลือกใช้รุ่น e-Power มากกว่ารุ่นปกติ

●   นิสสันคาดการณ์ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ที่ใช้ระบบ e-Power จะมียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 40% ของยอดขายทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นและยุโรปภายในปี 2022 และเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2025 โดยคาดการณ์ว่ายอดขายในสหรัฐอเมริกาจะอยู่ที่ประมาณ 20 – 30% ในปี 2025 ขณะที่ยอดขายในจีนน่าจะอยู่ที่ 35 – 40%

●   ด้านอินฟินิตี จะนำระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ามาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ ทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบแบบแบตเตอรี่ หรือรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยี e-Power ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2021 โดยภายในปี 2025 อินฟินิตีคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจะมีสัดส่วนถึง 50% ของยอดขายทั่วโลก

ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ

●   สำหรับกลยุทธ์ด้านระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ นิสสันประกาศแผนงานติดตั้งเทคโนโลยี ProPILOT ในรถยนต์ 20 รุ่นใน 20 ตลาดภายในปี 2022 โดยคาดว่ารถยนต์ที่ติดตั้งเทคโนโลยี ProPILOT จะมียอดขาย 1 ล้านคันภายในปี 2022 หลังจากนั้นจะมีการยกระดับเทคโนโลยี ProPILOT ให้สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติบนถนนหลวงที่มีหลายช่องจราจร และสามารถจัดการในเรื่องจุดหมายปลายทางได้ โดยคุณสมบัติใหม่ของเทคโนโลยีนี้จะถูกแนะนำเป็นโครงการนำร่องในญี่ปุ่นภายใน 1 ปี

●   มร. อาซามิ กล่าวว่า “ด้วยประวัติศาสตร์การนำเสนอเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลกของนิสสัน เราจะพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติอย่างต่อเนื่องเพื่อนำเสนอความสะดวกสบายในการเดินทางที่ไม่ต้องใช้มือควบคุมและไม่จำเป็นต้องมองถนนในทุกสภาพแวดล้อม ปัจจุบันเรามีรถยนต์ที่มีศักยภาพการขับขี่แบบกึ่งอัตโนมัติอยู่บนถนนมากกว่าบริษัทรถยนต์รายอื่นๆ และนิสสันมุ่งมั่นเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆนี้ เพื่อส่งมอบคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้า”

การเชื่อมต่อและการบริการเพื่อการเดินทาง

●   มร. เรดซิก ประกาศเป้าหมายของการนำเสนอระบบการเชื่อมต่อแบบสมบูรณ์แบบ 100% ไว้ในรถยนต์นิสสันรุ่นใหม่, อินฟินิตี และดัทสันทุกรุ่นที่ออกจำหน่ายในตลาดสำคัญ โดยเริ่มจากการเปิดตัวระบบ Alliance Connected Cloud

●   “อัลลายแอนซ์ คอนเน็กเต็ด คลาวด์ จะทำให้รถยนต์ทุกแบรนด์ในกลุ่มพันธมิตรสามารถผสมผสานการจัดการข้อมูลทั้งในอนาคต ปัจจุบัน และในอดีตของรถยนต์ที่มีการเชื่อมต่อถึงกัน ทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวและรถยนต์ที่ใช้งานอยู่บนท้องถนนแล้ว” มร. เรดซิก กล่าว “เทคโนโลยีนี้จะสนับสนุนการบริการของระบบอินโฟเทนเมนท์ และกลไกการสื่อสารที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้มีการปรับปรุงข้อมูลอัตโนมัติแบบ over the air สำหรับรถยนต์ทุกคัน”

●   ทั้งนี้ Alliance Connected Cloud จะช่วยเสริมพื้นฐานในการขยายระบบการเชื่อมต่อและการบริการเพื่อการเดินทางของนิสสัน รวมถึงการบริการรถยนต์ร่วมโดยสารขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งนิสสันเริ่มต้นทดสอบการบริการรถยนต์ร่วมโดยสารขับขี่อัตโนมัติที่มีชื่อว่า Easy Ride ร่วมกันพันธมิตรอย่าง DeNA ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2018 ที่ผ่านมา และยังมีเป้าหมายในการให้บริการเพื่อการพาณิชย์แก่ลูกค้าโดยตรงภายในช่วงต้นทศวรรษ 2020 ด้วย   ●