May 17, 2018
Motortrivia Team (10161 articles)

Tesla และการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ พร้อมไลน์ผลิตแบตเตอรี่ Gigafactory ในเซี่ยงไฮ้

เรื่อง : AREA 54

●   จีนเป็นหนึ่งในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่าง Tesla, Inc. มองหาโอกาสในการเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจังมาโดยตลอด ล่าสุดมีความเป็นไปได้ว่าเทสล่าใกล้จะได้ฤกษ์เปิดโรงงานผลิตแบตเตอรี่ หรือที่เราคุ้นชินกันในชื่อ Gigafactory ในพื้นที่เซี่ยงไฮ้แล้ว หลังจากที่มีการเปิดบริษัทลูกใหม่ในจีนเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา

●   เทสล่าเตรียมดำเนินกิจการในจีนผ่านบริษัทใหม่ Tesla (Shanghai) Co Ltd ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเทสล่า ฮ่องกง (Tesla Motors HK Limited) โดยมีการคาดกันว่า หากแผนงานนี้เกิดขึ้นจริง เทสล่า เซี่ยงไฮ้ น่าจะได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลจีนได้อนุมัติจัดตั้งเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ หรือ SFTZ : Shanghai Free Trade Zone เพื่อเปิดเสรีด้านการลงทุนมาตั้งแต่ช่วงปี 2013 นั่นเอง ซึ่งโรงงาน Gigafactory แห่งใหม่น่าจะรับหน้าที่ผลิตทั้งแบตเตอรี่แพคและตัวรถ เพื่อขจัดปัญหาภาษีนำเข้าซึ่งทำให้เทสล่าลงแข่งขันในตลาดนี้ได้อย่างทุลักทุเลมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ตลาดไฟฟ้าในจีน (สำหรับผู้ผลิตรถที่ทำธุรกิจในลักษณะบริษัทร่วมทุน) นั้นเปิดกว้างสุดๆ ในปัจจุบัน

●   อย่างไรก็ตาม ทางเทสล่าหรือพานาโซนิค ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของเทสล่ายังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดส่วนนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ โฆษกของเทสล่าให้ข่าวกับรอยเตอร์ว่า ยังไม่มีอะไรใหม่ (ความคืบหน้า) ในเวลานี้สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งในเบื้องต้น เทสล่า เซี่ยงไฮ้ จะเป็นบริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบรนด์เทสล่า ดูแลเรื่องการสต็อคอะไหล่ และให้การรับประกับแบตเตอรี่แพคเท่านั้น

image © thedrive.com.

●   เทสล่านั้นลงแข่งขันในตลาด NEV หรือ New energy vehicles ในประเทศจีนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี 2014 ผ่านโชว์รูมในกรุงปักกิ่ง โดยเป็นการจำหน่ายในลักษณะรถนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งตัวรถต้องเจอกับข้อจำกัดทางกฏหมายมากมาย เช่น ในช่วงแรกนั้น เทสล่าได้รับการอนุมัติให้จำหน่าย Tesla Model S แบบ “กรณีพิเศษ” ด้วยการจำหน่ายรถใหม่พ่วงป้ายทะเบียนใหม่แบบจำกัดจำนวนเพียง 3,000 คันเท่านั้น ข้อดีคือผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องยุ่งยากในประมูลป้ายทะเบียนใหม่ ซึ่งราคาต่อป้ายอาจมีมูลค่าสูงถึง 9.3 หมื่นหยวน หรือราวๆ 4.8 แสนบาท หากเทสล่าสามารถจำหน่าย Model S จนหมดลอทนี้ ก็ค่อยว่ากันอีกทีเป็นกรณีไป และเทสล่าต้องยอมจำหน่าย Model S ในราคาที่สูงลิ่วถึง 734,000 หยวน หรือประมาณ 3.9 ล้านบาทในรุ่นเริ่มต้นจากอัตราภาษีนำเข้าด้วย

●   ในช่วงปี 2014 นั้น มีรายงานว่าตัวเลขการส่งออก Model S จากสหรัฐฯ ไปยังโชว์รูมต่างๆ ทั่วโลกมีจำนวนประมาณ 28,000 คัน ทว่าตัวเลขการจำหน่ายในจีนจากข้อมูลการจดทะเบียนรถใหม่มีเพียง 432 คันเท่านั้น ในขณะที่ตัวเลขการจำหน่ายรถกลุ่ม NEV ในประเทศจีนมีจำนวนถึง 74,763 คัน ซึ่งนั่นทำให้เทสล่าต้องเจรจากับทางการจีนหลายต่อหลายครั้ง และยังไม่มีทางออกใดที่ดีไปกว่าการลงทุนตั้งฐานการผลิตในจีน

●   ตลาดไฟฟ้าในจีนเปิดขนาดไหน? ดูได้จากตัวเลขในปี 2014 ซึ่งจากตัวเลขการจำหน่ายรถกลุ่ม NEV 74,763 คันนั้น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเบตเตอรี่มีจำนวนถึง 45,048 คัน ในขณะที่ตัวเลข 29,715 คันที่เหลือเป็นของรถ plug-in hybrid… ดังนั้นการที่รถอย่าง Model S แชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพียง 432 คัน นับเป็นการสูญเสียโอกาสในการแข่งขันที่ Elon Musk ต้องหาทางแก้ให้ได้ในระยะยาว ไม่เช่นนั้นรถรุ่นใหม่อย่าง Tesla Model 3 ที่มีแววจะกลายเป็นแชมป์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลกก็จะเสียโอกาสไปด้วยอย่างน่าเสียดาย

●   ปัจจุบันตัวเลขการจำหน่ายรถในกลุ่ม NEV ของจีนนั้น ช่วงปี 2017 ที่ผ่านมาก้าวกระโดดไปอยู่ที่ 777,000 คันกันเลยทีเดียว เทียบกับปี 2016 นี่เป็นตัวเลขที่มีอัตราการเติบโตถึง 53% ครับ   ●

image © teslarati.com.

UPDATE 1 : เรียบร้อย…Gigafactory แห่งแรกนอกแผ่นดินสหรัฐฯ

11 July, 2018 AT 12:59 AM

●   ข่าวลือในแวดวงรถยนต์ยังคงมีมูลเสมอ… เทสล่าประกาศบรรลุข้อตกลงร่วมกับจีนเป็นที่เรียบร้อยในการเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ Gigafactory บนแผ่นดินจีน หลังจากที่ Tesla Model S และ Model X จะต้องโดนภาษีเพิ่มขึ้นอีก 20% หากยังต้องมีการฝืนจำหน่ายแบบรถนำเข้าต่อไป

●   เว็บไซท์ cnbc.com มีรายงานว่า ตัวแทนของเทสล่าระบุว่าโรงงานแห่งนี้จะเริ่มต้นก่อสร้างภายในเวลาอันใกล้ เนื่องจากต้องรอการอนุมัติเอกสารสำคัญต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน กรอบเวลาหลวมๆ คือราว 2 ปีข้างหน้า (2020) เทสล่าจึงจะสามารถดำเนินการผลิตรถยนต์นอกประเทศได้ หลังจากนั้นจะใช้เวลาอีกราว 2-3 ปี จึงจะสามารถเดินสายการผลิตแบบเต็มกำลังในระดับ 500,000 คันต่อปี และนั่นทำให้หุ้นของเทสล่าขึ้นไปอีก 2% หลังจากที่มีข่าวว่าการเจรจาในเบื้องต้นผ่านไปด้วยดี

●   เทสล่ายังไม่ปล่อยรายละเอียดอื่นๆ ออกมาในเวลานี้ ทว่าสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง Goldman Sachs วิเคราะห์ว่า ในการเปิดโรงงานผลิตรถยนต์โดดๆ ในลักษณะที่ไม่พึ่งพาเจ้าของพื้นที่ในรูปแบบบริษัทร่วมทุนนั้น (เช่นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ในเวลานี้) เทสล่าน่าจะต้องใช้เงินลงทุนอย่างต่ำๆ ไม่น้อยกว่า 4 – 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.4 – 1.7 แสนล้านบาท เพื่อแลกกับการป้องกันเทคโนโลยีการผลิตรั่วไหล

●   อย่างไรก็ตาม เทสล่านั้นไม่ใช่บริษัททุนหนาอีกต่อไป มีข่าวอย่างต่อเนื่องว่าเทสล่ากำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ซึ่ง Sergio Marchionne CEO ของ Fiat Chrysler Automobiles เคยออกมาทำนายเอาไว้ว่า เทสล่าจะต้องพบปัญหาอย่างแน่นอนจากยอดจองอันสูงลิบของ Tesla Model 3 เขามองว่าเทสล่าไม่มีทางผลิตรถเป็นจำนวนมากขนาดนั้นได้ ที่สำคัญมันไม่มีทางทำกำไรได้จากการผลิตรถจำนวนมากขนาดนั้น (ในกรณีที่เทสล่าสามารถผลิตได้จริง… ซึ่งคงยากครับ)

●   เทสล่าเองก็ดูเหมือนว่าจะจำใจรับในชะตากรรมนั้น ช่วงต้นปีที่ผ่านมา Elon Musk ประกาศว่าบริษัทไม่สามารถจำหน่าย Model 3 ในราคาที่ต่ำขนาดนั้นได้ ไม่อย่างนั้นบริษัทจะต้องปิดตัวลงอย่างแน่นอน นั่นทำให้ในเวลาต่อมาลูกค้าที่จอง Model 3 ล่วงหน้ามีการถอนจองพร้อมทั้งขอเงินคืนไปราวๆ 1 ใน 4 ของยอดจองทั้งหมด และการผลิต Model 3 ที่ล่าช้ากว่ากำหนดยังทำให้เทสล่าต้องสูญเงินไปเปล่าๆ เฉลี่ยแล้วคิดเป็นนาทีละถึง 7,430 ดอลลาร์ หรือราว 2.5 แสนบาทด้วย

●   ต้องรอดูกันต่อไปว่า การผลิตรถยนต์ในประเทศที่มีกำลังซื้อสูงสุดอย่างจีน จะช่วยให้สถานการณ์ทางการเงินของเทสล่าดีขึ้นหรือไม่… อย่างน้อยการที่หุ้นของเทสล่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันทีหลังมีข่าวการประกาศตั้งโรงงาน นั่นน่าจะสร้างความมั่นใจให้แผนงานนี้ของเทสล่าได้ไม่น้อย   ●

UPDATE 2 : เตรียมผลิต Model 3 และ Model Y ในเบื้องต้น

28 October, 2018 AT 12:59 PM

●   สำนักข่าว รอยเตอร์ มีรายงานว่า โรงงานในจีนของเทสล่ากำลังเตรียมการผลิตรถ 2 รุ่นหลักในเบื้องต้น ประกอบด้วยรถราคาประหยัด (ที่สุดของแบรนด์) อย่าง Tesla Model 3 และรถครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ Tesla Model Y ซึ่งน่าจะมีภาพลักษณ์ในลักษณะ Model X ย่อส่วนนั่นเอง

●   แม้ว่าโฆษกของเทสล่าจะยังไม่มีการตอบรับชัดๆ กับข่าวนี้ แต่รอยเตอร์ระบุว่า การผลิตรถทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวสมเหตุสมผล และไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เนื่องจากสายการผลิต Model 3 และ Model Y นั้นมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า Model S และ Model X เมื่อรวมกับค่าแรงในจีนที่มีอัตราต่ำกว่า และการขายรถแบบปลอดภาษีนำเข้า โรงงานแห่งนี้ของเทสล่าน่าจะสร้างผลกำไรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเมื่อรถทั้ง 2 รุ่นลงสู่ตลาด

●   สำหรับ Model Y นั้น เรายังไม่มีข้อมูลมากนักในเวลานี้ ตัวรถน่าจะแชร์แพลทฟอร์มมาจาก Model 3 (เดิมมีข่าวว่าจะใช้แพลทฟอร์มของ Model X) และอาจจะมีประตูสไตล์ falcon wing แบบเดียวกับ Model X… อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่แน่ชัดสุดมาจากปากของ Elon Musk เองในระหว่างงานการประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงต้นปีว่า Model Y น่าจะเปิดตัวเป็นทางการได้ภายในช่วงเดือนมีนาคม 2019 และขึ้นสายผลิตได้ภายในปี 2020

●   ส่วนโรงงานในจีนจะมีกำลังการผลิตรวมของรถทั้ง 2 รุ่นประมาณ 2.5 แสนคันต่อปี   ●