October 17, 2018
Motortrivia Team (10167 articles)

Mercedes เปิดตัวรถ 3 รุ่น พร้อมกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018

เรื่อง – ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ และเมอร์เซเดส ประเทศไทย

 

●   เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดตัวรถ 3 รุ่นใหม่ พร้อมชวนสื่อมวลชนทดสอบสมรรถนะ Mercedes-AMG แบบครบตระกูลเป็นครั้งแรกกับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พร้อมแนะนำผู้บริหารใหม่ มร. โรลันด์ เซบาสเตียน โฟลเกอร์ (Roland Sebastian Folger) ในฐานะประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

●   รถทั้ง 3 รุ่นที่เปิดตัวประกอบด้วย Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé รุ่นปรับโฉม ประกอบไทย ราคา 4,220,000 บาท, Mercedes-Benz C 200 Coupé AMG Dynamic รุ่นปรับโฉม ประกอบไทย ราคา 3,450,000 บาท และไฮไลต์ของงานกับซีดานพันธุ์ดุ Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC+ ราคา 12,790,000 บาท แรงที่สุดที่เคยมีมาในรถยนต์ตระกูล E-Class


มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด


●   สำหรับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับการทดลองขับสปอร์ตสมรรถนะสูงภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG ครบทั้งตระกูลในทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งสื่อมวลชนและลูกค้าจะได้เรียนรู้เทคนิคการขับแบบเต็มสมรรถนะ กับทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพ ดีกรีแชมป์การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์

●   มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ กล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เปิดตัว Mercedes-AMG ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เราได้นำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ พร้อมทำการตลาดที่หลากหลาย เพื่อตอกย้ำภาพการเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับแถวหน้าของโลกให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากความมุ่งมั่นดังกล่าว ส่งผลให้เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าที่สนใจรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูง ด้วยยอดขาย Mercedes-AMG ทั่วโลกสูงถึงกว่า 130,000 คัน เมื่อปี พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา”

●   “การส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ ‘ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ’ หรือ Driving Performance ถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ Mercedes-AMG คือต้องมีทั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เต็มเปี่ยมด้วยนวัตกรรมเพื่อมอบความเร้าอารมณ์ ซึ่งนอกจากผลิตภัณฑ์ที่ดีแล้ว การขับอย่างปลอดภัยและเต็มสมรรถนะของรถยนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้จัดกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเป็นการสานต่อปรัชญาในการมอบ ‘สิ่งที่ดีที่สุด’ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการขับรถยนต์แบบสปอร์ตสมรรถนะสูงให้แก่ทุกท่าน ด้วยการเชิญสื่อมวลชนกว่า 100 ชีวิต รวมถึงลูกค้าของ Mercedes-AMG และ Mercedes-Benz อีกกว่า 600 คน มาร่วมก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองไปพร้อมกับผู้ฝึกสอนมืออาชีพ ดีกรีแชมป์การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก ในระหว่างวันที่ 13-21 ตุลาคม 2561 นี้อีกด้วย”

●   มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ (Frank Steinacher) รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ช่วยให้แบรนด์ Mercedes-AMG ประสบความสำเร็จมากทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา เรามียอดขายที่เติบโตสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงประมาณ 350% เพื่อเป็นการรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืนของแบรนด์ ทางบริษัทฯ จึงได้มีการดำเนินกลยุทธ์ วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมแผนรองรับกลุ่มลูกค้า Mercedes-AMG ที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่สนใจรถยนต์กลุ่มนี้”

●   “ด้วยเหตุนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จึงได้เปิดตัวคอมมูนิตี้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์แกร่งในตระกูล เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่าง Mercedes-AMG Driving Experience 2018 เพื่อให้ทุกคนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกลุ่มรถยนต์ที่แรงที่สุดในโลก (World’s Fastest Family) ไปด้วยกัน รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีรุ่นล่าสุด ซึ่งเราเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน”

●   “สำหรับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 มีไฮไลท์พิเศษอยู่ที่ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกท่านจะได้มาร่วมกระตุ้นอะดรีนาลีนให้สูบฉีดเหมือนกำลังแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ต จากการสัมผัสและทดสอบรถยนต์ Mercedes-AMG ครบทั้งตระกูลเป็นครั้งแรก โดยในปัจจุบัน Mercedes-AMG มีรถยนต์ที่ทำตลาดในประเทศไทยทั้งหมด 11 รุ่น ทั้งประกอบในประเทศและนำเข้า ครอบคลุมตั้งแต่รถคอมแพคท์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ รถซีดานที่ใช้เครื่องยนต์หลากหลายแบบ หรือแม้แต่ SUV รถสไตล์คูเป้ รถเปิดประทุน (คาบริโอเลต์) และโรดสเตอร์ตระกูล AMG GT”

Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé

●   รถสมรรถนะสูงตระกูล 43 โฉมใหม่ ปรับภาพลักษณ์ สมรรถนะ อัตราการใช้พลังงาน และความสปอร์ตให้ใหม่ ตัวรถมากับกระจังหน้า AMG ก้านคู่ ตกแต่งด้วยสีเงินด้าน ฝากระโปรงหน้าใหม่ปรับโครงสร้างบังคับทิศทางลมให้ยกตัวขึ้นจากฝากระโปรงหน้า ออกแบบให้ช่วยควบคุมการไหลเวียนของลมที่ปะทะด้านหน้าของตัวรถให้ดียิ่งขึ้น ล้อแม็กน้ำหนักเบา AMG มีช่องลมและองศาก้านล้อที่ปรับปรุงอย่างละเอียดในอุโมงค์ลม เพื่อให้การไหลเวียนของอากาศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการพัฒนาล้อแม็กนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์ น้ำหนักรถ และความร้อนที่ระบบเบรก อันส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะและอัตราการใช้พลังงาน ฝากระโปรงหลังมาพร้อมกับโครงสร้างบังคับทิศทางลม และดิฟฟิวเซอร์ใหม่ ช่วยพัฒนาการไหลเวียนของอากาศด้านหลังตัวรถ ปิดท้ายด้วยท่อไอเสียใหม่ แบบ Two round twin tailpipe

●   ประตูเป็นแบบไร้ขอบ กรอบกระจกมองข้างสีดำแบบลอยตัวจากตัวถัง ขอบตกแต่งสีดำเงาบริเวณด้านข้างตัวรถและกรอบหน้าต่าง รอบคันเด่นด้วยชุด AMG Bodystyling (กันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้าง) ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED มีระบบไฟส่องสว่างขณะขับผ่าน 4 แยกหรือวงเวียน ระบบไฟส่องสว่างสำหรับการขับในเมือง และระบบไฟส่องสว่างสำหรับสภาวะอากาศเลวร้าย รวมถึงหลังคาพาโนรามิคซันรูฟระบบไฟฟ้า

●   ห้องโดยสารตกแต่งด้วย AMG matt Silver glass-fibre มาพร้อมเบาะ AMG Sport Seat หุ้มหนังแท้ มีระบบอุ่นเบาะและระบบทำความเย็นที่ปรับได้ 3 ระดับ พนักพิงหลังและปีกทั้ง 2 ข้างมีการเสริมเพื่อปกป้องด้านข้างของผู้ขับขณะขับด้วยความเร็วสูง พนักพิงศีรษะออกแบบเป็นพิเศษ สะดวกสบายด้วยมาตรวัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว แสดงผล 3 แบบในสไตล์ AMG คือ Classic, Sport และ Progressive พร้อมระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่ายและมีความยืดหยุ่นสูงในการควบคุม ผู้ขับสามารถเลือกคำสั่งต่างๆ ได้สะดวกรวดเร็ว และสอดคล้องกับสภาพการขับด้วยความเร็วสูง

●   พวงมาลัยใหม่ AMG Performance Steering Wheel ทรงสปอร์ตท้ายตัด หุ้มหนัง Nappa ออกแบบให้สามารถใช้คำสั่งหรือก้านควบคุมต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น คันเกียร์ที่คอพวงมาลัยชุบวัสดุโลหะ รองรับโหมดเกียร์ธรรมดา Touchpad 2 ข้าง ที่คอพวงมาลัยเป็นอุปกรณ์ใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาในรุ่นนี้ ด้านซ้ายใช้ควบคุมแผงมาตรวัดและ Cruise Control ส่วนด้านขวาใช้ควบคุมระบบมัลติมีเดีย สมาร์ทโฟน และระบบสั่งการด้วยเสียง ในขณะที่จอมัลติมีเดียขนาด 10.25 นิ้ว ทำงานร่วมกับ MB Audio 20 พร้อม Touchpad และ Controller พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® และมีระบบป้อนเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติสำหรับผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า

●   เทคโนโลยีชุดคำสั่ง AMG สำหรับบอกข้อมูล ได้แก่ หน้าจออุณหภูมิของเหลว (Warm-up) แสดงอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และแรงดันในโหมด Boost, หน้าจอการตั้งค่า (Setup) แสดงข้อมูลของโหมดการขับที่ใช้งานอยู่ การตั้งค่าระบบ กันสะเทือน โหมดการปล่อยไอเสีย การตั้งค่าระบบ ESP® และเกียร์ที่ใช้อยู่, หน้าจอแรงจี (G-Force) แสดงแรงจีปัจจุบันที่กดลงมาที่ตัวรถ เมื่อผู้ขับใช้ความเร็วใดๆ และให้คำแนะนำในการขับให้เหมาะสม, หน้าจอจับเวลา (Race Timer) สำหรับการจับเวลาโดยตัวผู้ขับเอง ซึ่งสามารถจับเวลาต่อรอบพร้อมทั้งแสดงรอบที่ใช้เวลาน้อยและมากที่สุดได้พร้อมกัน รวมถึงระยะที่ขับและความเร็วเฉลี่ย และ หน้าจอข้อมูลเครื่องยนต์ (Engine data) แสดงแรงบิดและกำลังเครื่องยนต์แบบ กราฟแท่ง รวมถึงแรงดันในโหมด Boost

●   ส่วนจอดิจิทัลสำหรับแสดงความเร็วและเกียร์ปัจจุบัน เมื่อเปิดการใช้งานโหมดเกียร์ธรรมดา สัญลักษณ์ตัว M สีเหลืองจะปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอ พร้อมระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีให้เลือก 5 โหมด คือ Comfort, Sport, Sport Plus, Individual และโหมดใหม่ คือ Slippery ช่วยกระจายกำลังให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ และเหมาะสมกับสภาพถนนที่เปียกเพราะฝนหรือหิมะ

●   Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบไทย ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 ความจุ 2,996 ซีซี. กำลังสูงสุด 390 แรงม้าที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 52.9 กก.-ม. ที่ 2,500 – 5,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ราคาจำหน่าย 4,220,000 บาท.

Mercedes-Benz C 200 Coupé AMG Dynamic

●   อีกหนึ่งรุ่นประกอบในประเทศ ได้รับการพัฒนาให้มีความสปอร์ต และเพิ่มประสบการณ์ในการขับที่ดียิ่งขึ้น ด้วยแผงมาตรวัดดิจิทัล และติดตั้งระบบกันสะเทือน DYNAMIC BODY CONTROL รวมทั้งเครื่องยนต์ 4 สูบที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี EQ Boost

●   ตัวรถมากับงานออกแบบด้านหน้าและด้านท้ายใหม่ ติดตั้งล้อแม็กน้ำหนักเบา ใช้เทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam และระบบกันสะเทือนแบบ AMG Sports Suspension Based on AIR BODY CONTROL

●   ห้องโดยสารใช้เบาะนั่งแบบสปอร์ต จอมัลติมีเดียส่วนกลางขนาด 10.25 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นใหม่ ไฟ Premium Ambient Light เลือกได้ถึง 64 สี ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Burmester® surround sound system และหลังคาแก้ว Panoramic Sliding Sunroof ส่วนระบบความปลอดภัยจะมากับระบบช่วยเหลือผู้ขับมากมายเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิ ระบบ ATTENTION ASSIST พร้อมถุงลมนิรภัย 7 ลูก 9 ตำแหน่ง เป็นต้น

●   พละกำลังมาจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1,497 ซีซี. พร้อมเทอร์โบ และอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 184 แรงม้าที่ 5,800 – 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 28.5 กก.-ม. ที่ 3,000 – 4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 239 กม./ชม. ราคาจำหน่าย 3,450,000 บาท.

Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC+

●   นิยามใหม่ของซีดานสมรรถนะสูง… ที่สุดของรถสมรรถนะสูงในตระกูล E-Class ซึ่ง Mercedes-AMG ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถในเซ็กเมนต์นี้ ผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุด พร้อมการมอบความเร็วที่เหนือกว่า ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 612 แรงม้า นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่เคยติดตั้งใน E-Class

●   ตัวรถมาพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยลดการทำงานที่สูญเปล่าของเครื่องยนต์ และเพิ่มอายุการทำงานของลูกสูบ นั่นคือระบบหยุดการของลูกสูบในบางจังหวะตามความเหมาะสม CDS (Cylinder Deactivation System) รวมถึงเพิ่ม AMG SPEEDSHIFT MCT (มัลติคลัทช์) และเกียร์ 9 จังหวะ พร้อมกับคลัทช์เปียก (wet start-off clutch) เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการตอบสนองให้คล่องตัวขึ้น

●   ห้องโดยสารมากับเบาะ AMG Performance Seat จอความละเอียดสูง COMAND® ขนาด 12.3 นิ้ว เลือกหน้าจอได้ 3 แบบ Classic, Sport และ Progressive ไฟแอมเบียนท์ในห้องโดยสารปรับได้ 64 สี และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® high-end 3D surround sound system ส่วนระบบความปลอดภัยมีอาทิ ระบบ AMG DYNAMIC SELECT, ระบบ PRE-SAFE®, ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า Distance Pilot DISTRONIC, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay, ระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth และจอ Head-up display

●   Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC+ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุ 3,982 ซีซี. เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 612 แรงม้าที่ 5,750 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 86.6 กก.-ม. ที่ 2,500 – 4,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ราคาจำหน่าย 12,790,000 บาท.

Mercedes-AMG Driving Experience 2018

●   กิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience จะแบ่งผู้เข้ารับการอบรมออกเป็นกลุ่มต่างๆ และแบ่งการทดสอบออกเป็น 4 สถานี พร้อมแบบฝึกหัดสุดท้าทายในการขับแบบเต็มสนาม โดยผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับประสบการณ์จริงจากการฝึกทักษะแต่ละด้าน และได้รับทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากสมรรถนะอันยอดเยี่ยม เทคโนโลยี และนวัตกรรมอันก้าวล้ำ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของแนวคิดในการผลิตรถยนต์ Mercedes-AMG ทุกรุ่น ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกทุกฐานแล้ว ผู้ขับจะมีความเข้าใจ และสามารถใช้ประโยชน์จากสมรรถนะและเทคโนโลยีอันทันสมัยที่มาพร้อมกับตัวรถได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านที่ผ่าน การฝึกอบรมฯ จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองจากทางบริษัทฯ อีกด้วย

●   สำหรับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 แบ่งออกเป็น 4 สถานี ประกอบด้วย:

●   สถานีที่ 1 “Brake and Swerve” เป็นการทดสอบระบบเบรก ระบบความปลอดภัยภายในรถยนต์ อันได้แก่ระบบ ESP® และระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) และเป็นการทดสอบความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของตัวผู้ขับเอง โดยผู้เข้าร่วมทดสอบจะได้ขับรถออกจากจุดเริ่มต้น รักษาความเร็วไว้ที่ประมาณ 80 กม./ชม. สังเกตสัญญาณไฟที่อยู่บนเสา ซึ่งจะติดขึ้นแบบสุ่มทางซ้ายหรือขวา เมื่อสัญญาณไฟติดทางไหนผู้เข้าร่วมทดสอบจะต้องเหยียบเบรก และหักเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางตามทิศทางของสัญญาณไฟนั้น

●   เมื่อผู้ขับกระทืบเบรกอย่างรุนแรง ไฟฉุกเฉินจะติดขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อเตือนผู้ขับรถที่ขับตามมาว่า มีการเบรกอย่างรุนแรง สถานีนี้มีการใช้รถยนต์หลากหลายประเภท สังเกตว่าแม้เป็นรถเอสยูวีทรงสูง ก็ยังสามารถเบรกและหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างปลอดภัย เมื่อกระทืบเบรกอย่างรุนแรง ระบบจะสร้างแรงเบรกที่หนักหน่วง และระบบช่วยการทรงตัวต่างๆ จะทำงานเพื่อให้ผู้ขับควบคุมรถได้ง่ายขึ้น ทำให้การขับแบบเปลี่ยนเลนกะทันหันทำได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย

●   สถานีที่ 2 “ESP® Exercise” เป็นการทดสอบโดยอิงจากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยการเปรียบเทียบสิ่งกีดขวางเป็นคนเดินถนนหรือรถที่พุ่งออกมาตัดหน้า ผู้ขับจะได้ทดสอบทั้งการควบคุมรถในสถานการณ์คับขัน และทักษะการใช้สายตาเพื่อกะระยะทาง ผู้เข้าร่วมทดสอบขับรถออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. แล้วกระชากพวงมาลัยเพื่อหลบสิ่งกีดขวางที่อยู่ ด้านขวามือโดยไม่เหยียบเบรก และหักพวงมาลัยกลับทางซ้ายเพื่อควบคุมรถกลับเข้าสู่ทิศทางเดิม

●   ครูฝึกบอกว่าไพลอนอันนิดเดียว แต่ช่องที่ทำไว้ให้หลบหลีกเป็นช่องใหญ่ ถ้าสายตาของผู้ขับมองทิศทางที่จะพารถไป มือก็จะพารถไปตามสายตา แต่ถ้าผู้ขับมองที่ไพลอนหรืออุปสรรคที่ขวางอยู่ ก็มีโอกาสที่รถจะชนไพลอน ซึ่งการฝึกมองทิศทางที่จะไปนี้ นำไปใช้ในการขับรถในชีวิตประจำวันได้ สำหรับระบบ ESP® ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะทำงานเมื่อตรวจพบว่าเมื่อใช้ความเร็วระดับหนึ่งแล้วมีการกระชากพวงมาลัยอย่างรุนแรง ระบบจะเบรกให้โดยอัตโนมัติ โดยจะเบรกในล้อที่จำเป็นเพื่อรักษาทิศทางของรถ ไฟเบรกจะติดขึ้นเพื่อเตือนผู้ขับรถที่ตามมา และลดความเร็วของรถยนต์ลง 30 กม./ชม.

●   สถานีที่ 3 “Motorkhana” เป็นสถานีที่จำลองมาจากกีฬามอเตอร์สปอร์ตชนิดหนึ่ง โดยสถานีนี้จะให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบได้ฝึกบังคับรถยนต์ในสนามจำลองเล็กๆ ที่มีอุปสรรคมากมายภายในเวลาที่รวดเร็วที่สุด และปลอดภัยที่สุด โดยไม่ชนสิ่งกีดขวางใดๆ เลย ออกจากเส้นสตาร์ตเจอกับสลาลมแบบกว้าง แต่ไม่เป็นเส้นตรง ต่อเนื่องด้วยโค้งขวากว้าง แต่ทางแคบเพราะถูกบีบด้วยไพลอนที่วางขนาบไว้ ทำให้ต้องใช้ความเร็วที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้รถสะกิดไพลอน พ้นโค้งขวาเข้าสู่ทางตรงและสลาลมสั้นๆ พุ่งเข้าสู่ช่วงหักหลบซ้ายแบบฉุกเฉิน ทางให้หลบบีบไว้ค่อนข้างแคบ จากนั้นเบรกให้หยุดนิ่งในกรอบที่กำหนด

●   ได้ขับคนละ 2 รอบโดยแต่ละรอบจะได้เปลี่ยนรถ 1 ครั้ง ใช้รถ Mercedes-AMG ก่อนออกตัวครูฝึกจะเดินมาชะโงกดูว่าปรับโหมดไหนไว้ เห็นว่าเป็นโหมด Sport+ ที่ผู้ขับคนก่อนปรับไว้ ก็ยกนิ้วโป้ง บอกว่า Good Good พอครูฝึกเดินไปที่อื่นก็แอบปรับลงมาแค่ Sport เพราะสถานีนี้ไม่ได้เน้นใช้ความเร็ว แต่ถ้าอยากทำเวลาให้ดีต้องขับแบบลื่นไหลต่อเนื่อง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าโหมด Sport ควบคุมรถง่ายกว่า

●   สถานีที่ 4 “Cornering Theory” เป็นสถานีทดสอบการเข้าโค้ง ที่จะใช้พื้นที่โค้งภายในสนามทั้งหมด 4 โค้ง ซึ่งแต่ละโค้งมีความกว้างและรัศมีที่แตกต่างกันไป ทุกโค้งจะมีไพลอนวางไว้เป็นสัญลักษณ์ ไพลอน 3 ตัวให้เบรก ไพลอน 1 ตัว ทั้งด้านในและด้านนอกโค้ง เป็นจุดที่ให้นำรถเข้าไปใกล้ บางโค้งในสนามช้างมีจุด Apex ที่ลึกเกือบปลายโค้ง เมื่อขับได้ตามไพลอนที่วางเป็นไกด์ไว้ ก็จะขับได้ตาม Racing Line ทำให้ใช้ความเร็วในโค้งในได้อย่างเหมาะสม เข้าโค้งได้อย่างมั่นคงปลอดภัยและกดคันเร่งชู๊ตออกจากโค้งได้เร็วขึ้น ตัวรถจะไม่โคลงมาก ขับผ่านโค้งได้เร็วและลื่นไหล ถ้าเข้าโค้งถูกต้องทุกโค้ง เวลาต่อรอบก็จะดีขึ้นด้วย

ลองขับ Mercedes-AMG GT C V8 4.0L Bi-Turbo 557 แรงม้า

●   หลังจากฝึกขับครบ 4 สถานีในช่วงเช้า ช่วงบ่ายเป็นการขับแบบเต็มรอบสนาม ทีมงานมอเตอร์ทริเวียได้รับโอกาสดี ได้ทดลองขับ Mercedes-AMG GT C ในสนามช้างแบบ ‘เกือบ’ เต็มรอบสนาม โดยมีหัวหน้าครูฝึกนั่งไปด้วย ตัวรถมองจากภายนอกช่วงหน้ารถยาว ท้ายสั้น ตำแหน่งผู้ขับนั่งอยู่ด้านหน้าของล้อหลัง สไตล์รถ Roadster แท้ๆ

●   Mercedes-AMG GT C ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี8 ความจุ 3,982 ซีซี อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 557 แรงม้า ที่ 5,750-6,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร หรือ 69.29 กก.-ม. ที่ 1,900-5,500 รอบต่อนาที เกียร์ AMG SPEEDSHIFT DCT 7 จังหวะ เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.7 วินาที ท๊อปสปีดประมาณ 317 กม./ชม. ราคา 16.8 ล้านบาท

●   ก่อนขับต้องใส่หมวกกันน๊อค เพราะจะได้ขับแบบเปิดประทุน ทำให้เข้า-ออกจากรถได้สะดวกแม้ใส่หมวกกันน๊อค และจะได้สัมผัสกับบรรยากาศในสนามแข่งระดับโลก เคล้าด้วยเครื่องยนต์ที่กระหึ่มทรงพลัง แค่เข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยก็เร้าใจแล้ว หลังจากซักซ้อมการให้สัญญาณต่างๆ กับหัวหน้าครูฝึกที่นั่งไปด้วย ก็เริ่มขยับรถออกจากพิต ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีกลุ่มรถ Mercedes-AMG ใช้สนามร่วมอยู่ด้วย

●   ออกจากพิตเข้าสู่ทางตรงช่วงแรกที่ยาวประมาณ 1 กม. ครูฝึกบอกให้กดคันเร่งได้ช่วงสั้นๆ เพราะต้องขับผ่านเสาของสถานี Brake and Swerv เมื่อลอดซุ้มแล้วครูฝึกให้กดคันเร่งอีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์คำรามเร้าใจ โดยส่วนตัวชอบเสียงของเครื่องยนต์ความจุสูงๆ มากกว่าเครื่องยนต์บล็อกเล็กรอบจัดอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ขับได้อย่างเพลิดเพลินโดยไม่ต้องใช้ความเร็วสูงจัดจ้าน สุดทางตรงเข้าโค้งขวาแรก ครูฝึกให้เริ่มแตะเบรก และเพิ่มแรงเบรกอีกนิดเมื่อเห็นว่าความเร็วยังสูงอยู่ จริงๆ รู้สึกว่ารถไปได้ แต่ให้เบรกไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย เมื่อขับเข้าตามไลน์ที่วางไพลอนไกด์ไว้ รู้สึกว่าตัวรถคล่องกว่าที่คิด เลี้ยวได้คมและมั่นคง เมื่อถึงปลายโค้งก็ได้ยินคำสั่งที่รออยู่ คือ คำว่า Gas ให้กดคันเร่งได้ แม้ระบบช่วยเหลือถูกเปิดใช้งานไว้หมด กับยางหลังขนาดเขื่อง 325/30 ZR20 แต่ก็ไม่กล้ากดคันเร่งแบบพรวดพราด ค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักลงบนคันเร่งทีละนิด แค่นี้ตัวรถก็แทบกระโจนออกจากโค้งแล้ว

●   ด้านหน้าเป็นทางตรงระยะพอสมควร ต่อเนื่องด้วยโค้งซ้ายกว้าง ครูฝึกให้หวดได้เต็มที่ ใจอยากจะผ่อนคันเร่งลดความเร็ว จะได้ซึมซับบรรยากาศแบบนี้นานขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ต้องทำตามคำสั่ง กดคันเร่งยังไม่ทันสุด เหลือบดูมาตรวัดความเร็วขึ้นไปแตะ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลมที่ผ่านหมวกกันน๊อคไม่แรงเท่าไร ยังไม่ต้องถึงขั้นเกร็งคอ จากนั้นผ่อนคันเร่งเล็กน้อย กดเบรกหนักนิดนึงก็กระชากความเร็วเหลือแค่ 120 กม./ชม. เข้าโค้งซ้ายกว้างได้แบบสบายมือ จากนั้นเบกรกหนักอีกนิด เพราะเป็นโค้งแคบ ครูฝึกบอกไลน์การเข้าโค้งให้ ทำให้ไปได้เร็วและมั่นคง ช่วงสุดท้ายเห็นกลุ่ม Mercedes-AMG อยู่ห่างๆ จึงเริ่มผ่อนคันเร่ง แต่ครูฝึกยังให้เร่งส่งท้ายได้อีกช่วง แต่นย้ำว่าไม่ต้องขับตามกลุ่มไป เพราะหมดรอบต้องแยกซ้ายเข้าพิต

●   นับเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ได้ขับ Mercedes-AMG GT C ในสนามแข่ง สามารถใช้ความเร็วสูงได้อย่างปลอดภัย ขับง่าย ไม่ต้องระวังรถคันอื่น เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามกระหึ่มเร้าใจทุกครั้งที่กดคันเร่ง เบรกทรงพลัง กระชากลดความเร็วได้อย่างทันใจและมั่นคง ช่วงล่างหนึบแน่นเหมาะกับการขับในสนาม และที่สำคัญคือ ตัวรถที่มีความสมดุลอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย ตอบสนองฉับไว ขับสนุกโดยที่ไม่ต้องใช้ความเร็วสูงจัดจ้าน

●   สนใจข้อมูลเพิ่มเติม เชิญได้ที่ www.mercedes-benz.co.th   ●


Mercedes-AMG Driving Experience 2018


Mercedes-AMG Driving Experience 2018 : Official