October 4, 2018
Motortrivia Team (10167 articles)

ทดลองขับ Cayenne E-Hybrid ขุมกำลังใหม่ Porsche E-Performance

เรื่องภาพ : สันติภพ นิ่มเล็ก

 

●   ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการได้จัดกิจกรรม Porsche Cayenne E-Hybrid Driving Experience 2018 โดยทีมงาน Motortrivia มีโอกาสร่วมทดสอบสมรรถนะ SUV พรีเมียม ยอดนิยมสายพันธุ์ปอร์เช่ The new Cayenne E-Hybrid ที่ติดตั้งขุมพลัง E-performance พร้อมเสริมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ในวันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561 ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่คอยดูแลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ซึ่งสมรรถนะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามชมกันต่อไป

●   มร. ปีเตอร์ โรห์เวอร์ (Peter Rohwer) กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย เผยว่า “หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนไทยจะได้สัมผัสกับสมรรถนะอันยอดเยี่ยมผ่านการทดลองขับ คาเยนน์ อี-ไฮบริด รุ่นใหม่ล่าสุด ผ่านสนามทดสอบสมรรถนะ 3 สถานี ได้แก่ สถานี Handling การทดสอบบังคับควบคุมรถ ซึ่งจะทดสอบการทรงตัวและการตอบสนองพวงมาลัยของรถอย่างรวดเร็ว สัมผัสความรู้สึกขณะขับขี่ในการตั้งค่า Porsche Active Suspension Management (PASM)”

●   “ต่อด้วยสถานี Braking สร้างความมั่นใจและปลอดภัยได้ทุกสถานการณ์ ด้วยระบบเบรกมาตรฐานจากปอร์เช่ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบเบรคที่ดีที่สุดในโลก สถานี Slalom ทดสอบความแม่นยำ ความรวดเร็วในการตอบสนองของช่วงล่าง จากระบบอัจฉริยะของปอร์เช่ อาทิ Porsche Dynamic Chassis Control Sport (PDCC Sport) ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง Rear axle steering และระบบควบคุมตัวถัง Porsche 4D Chassis Control เป็นต้น โดยเอเอเอสฯ ได้เตรียมผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่ ไว้คอยดูแลและให้คำแนะนำแก่สื่อมวลชนผู้ร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิด”

กำลังสูงสุดกว่า 462 แรงม้า แนวคิดในการพัฒนาแบบเดียวกับ Porsche 918 Spyder

●   คาเยนน์ อี-ไฮบริด คือหนึ่งในผลงานอันเป็นตัวแทนที่แสดงออกถึงทิศทางการพัฒนายานพาหนะ พลังงานไฟฟ้าในอนาคตของปอร์เช่ ประจำการด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในสมรรถนะสูง ซึ่งผ่านการปรับแต่งจนมีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมถึง 7 แรงม้า (5 กิโลวัตต์) รวมเป็น 340 แรงม้า (250 กิโลวัตต์) ประสิทธิภาพจากระบบขับเคลื่อน พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 43 เปอร์เซ็นต์ หรือ 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) ทั้ง 2 ขุมพลังผสานพละกำลังสูงสุดกว่า 462 แรงม้า (340 กิโลวัตต์)

●   แนวทางในการออกแบบระบบเสริมสมรรถนะที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากรถซูเปอร์สปอร์ต ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ ถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสมลงตัว เพื่อให้มั่นใจว่ามอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ เมื่ออยู่ภายใต้โปรแกรมการขับขี่ทุกรูปแบบของชุดแต่งสปอร์ตโครโน (Sport Chrono Package) ซึ่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นั่นหมายความว่าแรงบิดสูงสุดจะพร้อมตอบสนองต่อการบังคับควบคุมทุกครั้งที่สัมผัสคันเร่ง ผู้ขับขี่สามารถสนุกสนานกับอัตราเร่งและแรงบิดมหาศาลในทุกรอบความเร็ว พร้อมรับมือกับสถานการณ์บนท้องถนน ที่ต้องเผชิญด้วยความมั่นใจ

●   ทั้งหมดข้างต้นนำมาซึ่งเสถียรภาพการทรงตัวและประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยมกำลังสำรอง ที่ล้นเหลือจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกเก็บสะสมเอาไว้ผ่านการชาร์จแบตเตอรี่ระหว่างการเดินทางโดยขึ้นอยู่กับโปรแกรมการขับขี่ที่เลือกใช้งานขณะนั้น โหมด Sport และ Sport Plus ที่เน้นการดึงสมรรถนะตัวรถออกมาจนถึงขีดสุด พลังงานจากแบตเตอรี่ทั้งหมด ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอัตราเร่ง สำหรับโหมด Sport การชาร์จแบตเตอรี่จะเกิด ขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อการเสริมพละกำลัง ในส่วนของโหมด Sport Plus แบตเตอรี่จะได้รับการชาร์จอย่างรวดเร็ว ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โหมดการขับขี่อื่นๆ นั้นเหมาะสมกับลักษณะการขับขี่ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด

ชาร์จพลังงานผ่านระบบ Porsche Connect app และ Porsche Charging Service

●   สำหรับแบตเตอรี่ที่ติดตั้งในปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเพื่อเพิ่ม ความจุในการเก็บสะสมพลังงาน เสริมขีดความสามารถทั้งในแง่ของพิสัยระยะการเดินทางและพละกำลังสำรองยามที่ต้องการอัตราเร่ง: เมื่อเปรียบเทียบกับคาเยนน์รุ่นก่อนหน้า พบว่าความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นจาก 10.8 เป็น 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แบตเตอรี่ดังกล่าวผ่านการระบายความร้อนด้วยระบบ fluid-cooled ติดตั้งลงบริเวณพื้นตัวถังด้านท้ายของรถอย่างหนาแน่น ประกอบด้วยโมดูลพลังงาน 8 ชุด

●   ภายในแต่ละโมดูล คือเซลล์ Prismatic Lithium Ion จำนวน 13 เซลล์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มความจุภายในระยะเวลา 7.8 ชั่วโมง ด้วยไฟฟ้าแรงดัน 230 โวลต์ ผ่านสายต่อขนาดกระแส 10 แอมป์ ในกรณีที่ใช้อุปกรณ์พิเศษ on-board charger 7.2 กิโลวัตต์ ด้วยไฟฟ้าแรงดัน 230 โวลต์ ผ่านสายต่อขนาดกระแส 32 แอมป์ แทนที่ระบบชาร์จมาตรฐานแบบ 3.6 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่จะได้รับการชาร์จพลังงานจนเต็มความจุภายในระยะเวลาเพียง 2.3 ชั่วโมงเท่านั้น

●   กระบวนการชาร์จพลังงานสามารถควบคุมและตรวจสอบสภาวะการทำงานผ่านระบบติดต่อสื่อสาร Porsche Communication Management (PCM) พร้อมสั่งการระบบปรับอากาศอย่างสะดวกสบายจาก Porsche Connect app ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิหรือลดอุณหภูมิในขณะปิดสวิทช์กุญแจ ทั้งหมดข้างต้นติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และสามารถเลือกเชื่อมต่อด้วยโทรศัพท์มือถือได้ตามต้องการ

●   นอกจากนี้ระบบ Porsche Connect ยังรองรับการค้นหาและ คัดกรองสถานีชาร์จพลังงาน รวมทั้งบันทึกตำแหน่งที่ตั้งของสถานีลงในจุดหมายของระบบนำทางผ่านดาวเทียม ระบบเครือข่ายการให้บริการ Porsche Charging Service ใหม่ล่าสุด เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่เข้าถึงสถานีบริการชาร์จพลังงานสาธารณะได้โดยอิสระ ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการจะถูกส่งตรงมายังผู้ใช้งานผ่าน Porsche ID account โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใช้งานเพิ่มเติมกับผู้ให้บริการรายอื่นแต่อย่างใด

ระบบขับเคลื่อนไฮบริด และเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ Tiptronic S ใหม่ล่าสุด

●   ปอร์เช่ออกแบบและสร้างสรรค์ระบบขับเคลื่อนและระบบส่งกำลังของ คาเยนน์ อี-ไฮบริด ใหม่ทั้งหมด ชุดขับเคลื่อนไฮบริด ประกอบด้วยเซลล์พลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงพร้อมชุดคลัทช์อิสระ electromechanical แตกต่างจากระบบ electro-hydraulic และอุปกรณ์ spindle actuator ในรุ่นก่อนหน้า ให้อัตราการตอบสนองที่รวดเร็วและฉับไวกว่าอย่างเห็นได้ชัด

●   ในส่วนของระบบส่งกำลังประจำการด้วยเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 จังหวะ Tiptronic S ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับปอร์เช่ คาเยนน์ โดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ ชุดนี้ไม่เพียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความนุ่มนวล แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนอัตราทดได้อย่างรวดเร็ว ลดอาการกระตุกที่เกิดขึ้นขณะเปลี่ยนจังหวะ

หนึบแน่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive พร้อมสมรรถนะการลากจูงสูงสุดกว่า 3.5 ตัน

●   ด้วยการทำงานของระบบ Porsche Traction Management (PTM) ส่งผลให้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive ของ คาเยนน์ อี-ไฮบริด ได้รับการควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านอุปกรณ์ map-controlled multiplate clutch โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายแรงบิดไปยังล้อขับเคลื่อนอย่างเหมาะสม การทำงานของระบบดังกล่าว ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับควบคุมรถยนต์ได้ทุกรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่สไตล์สปอร์ตความเร็วสูงที่ต้องการเสถียรภาพ ในการทรงตัว หรือแม้แต่ในยามบุกตะลุยไปบนเส้นทางทุรกันดารสไตล์ off-road

●   ต้องยกประโยชน์ให้ระบบรองรับและช่วงล่างของ คาเยนน์ ไฮบริด ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ารถสปอร์ตพันธุ์แท้ เฉกเช่นกับที่เคยเป็นมาใน ปอร์เช่ คาเยนน์ ทุกเจเนอเรชั่น ระบบควบคุมการทรงตัว Porsche Active Suspension Management (PASM) ได้รับการติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้สามารถเลือกสั่งติดตั้งอุปกรณ์พิเศษอีกหลากหลายรายการ อาทิ ระบบ Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) ระบบ roll stabilisation และระบบลากจูงรถต่อพ่วงที่สามารถ รับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 3.5 ตัน

หน้าจอแสดงผล head-up display และล้ออัลลอยน้ำหนักเบา ขนาด 22 นิ้ว

●   พร้อมกับการเปิดตัว คาเยนน์ อี-ไฮบริด ปอร์เช่ได้บรรจงเพิ่มเติมระบบช่วยเหลือการขับ และนวัตกรรมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกล้ำยุคมากมายหลายรายการ สำหรับคาเยนน์ทุกรุ่น นับเป็นครั้งแรกของปอร์เช่สำหรับการติดตั้งหน้าจอแสดงผลแบบใหม่ head-up display ทำงานด้วยการฉายภาพข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับระบบต่างๆ ของตัวรถไปยังระดับสายตาของผู้ขับขี่โดยตรงในลักษณะของหน้าจอสี

●   ในส่วนของอุปกรณ์พิเศษอื่นๆ ที่ได้รับการเพิ่มเติมลงในคาเยนน์เป็นครั้งแรก ได้แก่ ระบบดิจิทัลช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ Porsche InnoDrive พร้อมระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ adaptive cruise control เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบนวดไฟฟ้า massage seats ระบบไล่ฝ้ากระจกบังลมหน้า heated windscreen ระบบทำความร้อนภายในห้องโดยสารแยกตำแหน่ง อิสระควบคุมด้วยรีโมท และล้ออัลลอยน้ำหนักเบา ขนาด 22 นิ้ว

เร็ว แรง พร้อมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

●   สำหรับการทดลองขับ คาเยนน์ อี-ไฮบริด ที่สนามปทุมธานี สปีดเวย์ ในครั้งนี้ แบ่งสถานีทดลองขับทั้งหมด 3 สถานีด้วยกัน คือ สถานี Braking สถานี Slalom และสถานี Handing ซึ่งในช่วงแรกเป็นหน้าที่ของ “ผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่” ขับพาเราผ่านสถานีต่างๆเพื่อดูเส้นทางกัน 1 รอบก่อน พร้อมกับอธิบายรายละเอียดของตัวรถและสถานีต่างๆที่เราจะได้ลองขับกันในวันนี้ จากนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งให้เรามาทดลองขับกันจริงๆ เสียที

●   สำหรับสถานีแรกที่เราได้ลองขับคือสถานี Braking คือ เราต้องขับรถออกตัววิ่งทางตรงไปสักระยะแล้วต้องเบรกให้รถหยุดพร้อมควบคุมพวงมาลัยหักหลบอุปสรรคที่ขวางหน้า เพื่อดูการทำงานของตัวช่วยอย่างระบบ PASM และระบบ PDCC โดยเริ่มแรกเราขับรถมาจอดหยุดนิ่งที่จุดสตาร์ทกัน ปรับโหมดการขับขี่อยู่ในตำแหน่ง Hybrid และตำแหน่งเกียร์ S พอได้สัญญาณให้ออกตัวเรากดคันเร่งออกไป

●   สิ่งที่รู้สึกได้คืออัตราเร่งที่ “ดึง” ระดับตัวผู้ขับจมลงไปในเบาะเลยทีเดียว คัวเข็มความเร็วของรถกวาดเพิ่มขึ้นรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน ทางตรงเป็นช่วงสั้นๆสามารถทำความเร็วถึงประมาณ 90 กม./ชม. ก็ถึงจุดเบรกต้องเหยียบให้สุด พร้อมหักพวงมาลัยไปทางขวาเพื่อหลบสิ่งกีดขวางที่วางอยู่ด้านหน้า ซึ่งเจ้าคาเยนน์ อี-ไฮบริด ไม่ได้ทำให้เสียชื่อชั้นของตัวรถเลย สามารถผ่านสถานีนี้ได้อย่างสบายและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับและผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี

●   ต่อเนื่องด้วยสถานี Handing กันเลย สำหรับสถานีนี้การขับขี่จะใช้ความเร็วสูงหน่อยเพื่อดูสมรรถนะการทรงตัวและการขับเคลื่อนของคันนี้ เส้นทางจะวิ่งในรูปแบบเซอร์กิตเล็กๆ แต่มีไพล่อนกำหนดการความเร็วไว้เป็นช่วงๆ เราขับรถมาจอดตรงจุดสตาร์ทเพื่อเตรียมพร้อม จากนั้นก็ออกตัวไปด้วยอย่างรวดเร็วระดับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ใช้เวลาแค่ 5 วินาที ถึงจุดเบรกแรกก็เลี้ยวเข้าโค้งขวา เร่งเครื่องส่งออกโค้งไปด้วยความเร็วเกือบๆ 100 กม./ชม. ก็ถึงจุดชลอความเร็วเพื่อเข้าสู่ช่วง Lane Change ซึ่งเราต้องหักเลี้ยวพวงมาลัยไปด้านซ้ายเพื่อหลบสิ่งกีดขวางอย่างรวดเร็ว ตรงจุดนี้ตัวช่วยการทรงตัวและระบบขับเคลื่อนต่างๆได้มาจัดการให้ Porsche Cayenne E-Hybrid ผ่านไปได้อย่างปลอดภัยและไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

●   ออกจาก Lane Change เร่งความเร็วต่อไปด้วยกำลังเครื่องยนต์บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้อัตราเร่งของ Porsche Cayenne E-Hybrid ทันใจขึ้นไปอีก ทำให้มั่นใจได้เลยว่าอัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.ต้องทำเวลาได้ 19.1 วินาทีเท่านั้น ตามที่ทางปตามที่ทางปอร์เช่แจ้งมาแน่นอนครับ เร่งส่งไปเรื่อยต้องชะลอเพื่อเข้าสู่ Lane Change จุดที่ 2 คราวนี้หักพวงมาลัยออกด้านขวาบ้างซึ่งก็สบายมาก เอาตัวรอดได้อย่าง “สมราคา” ครับผม ต่อด้วยเข้าโค้งกว้างๆ ด้วยความเร็วสูงซึ่งช่วงนี้เราสามารถกดคันเร่งได้มากขึ้นอีกหน่อย ตัวรถเมื่อปรับความ Firm ของช่วงล่างด้วยปุ่มที่อยู่ตำแหน่งข้างคันเกียร์เพิ่มไป ส่งผลให้ตัวรถไม่มีอาการโยนหรือโคลงเลยทีเดียว

●   ขับต่อมาก็ถึงสถานีที่ 3 Slalom สถานีนี้เราต้องขับเจ้า คาเยนน์ อี-ไฮบริด วิ่งซิกแซก ซ้าย-ขวา ผ่านไพล่อนที่วางไว้ ความเร็วสถานีนี้จะขับอยู่แถวๆ 80-90 กม./ชม. การบังคับควบคุมถือว่าเฉียบคมและฉับไว อัตราเร่งและพละกำลังของเครื่องยนต์ทำให้การวิ่งซิกแซกไป-กลับ 2 รอบดูง่ายดายไปเลยทีเดียว

●   หลังจากจบการขับขี่ในสถานีที่ 3 นี้ไปทางทีมงาน Motortrivia ขอลองวิ่งอีกครั้งแต่คราวนี้เราของปรับโหมดการขับเป็น E-Power หรือใช้ไฟฟ้าล้วนๆ ดูบ้าง ซึ่งผลจากการขับผ่านสถานี Slalom ด้วยการเหยียบคันเร่งแบบเนียนๆ ก็จะรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลของอัตราเร่งที่ไม่มีการกระชากโหดๆ ซึ่งดูแล้วเหมาะสมมากสำหรับการขับขี่บนท้องถนนที่มีสภาพการจราจรที่ติดขัด แต่ถ้าต้องการเร่งแซงก็แค่กดคันเร่งเพิ่มขึ้นอีกนิดตัวเครื่องยนต์ก็จะส่งกำลังมาช่วยขับเคลื่อนตามปกติ

●   โดยสรุป ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด รุ่นใหม่ล่าสุด ยนตรกรรมพรีเมียม SUV แห่งยุคที่ติดตั้งขุมพลัง E-performance พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใหม่ล่าสุด ผสมผสานการบังคับควบคุมสไตล์สปอร์ตให้เป็น หนึ่งเดียวกับประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด เครื่องยนต์ V6 ขนาดความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตร (340 แรงม้า/250 กิโลวัตต์) เสริมพลังด้วยระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า (136 แรงม้า/100 กิโลวัตต์) ให้พละกำลังสูงสุดรวมกว่า 462 แรงม้า (340 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตันเมตร อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 29.4 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 78 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ 20.6 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 6.3 ล้านบาท “คุ้มค่า” กับทุกเม็ดเงินที่จ่ายไปแน่นอนครับ

●   สุดท้าย ต้องขอขอบคุณ ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ที่ได้เชิญ Motortrivia มาร่วมพิสูจน์สมรรถนะในครั้งนี้

● สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเชิญได้ที่ Porsche Centre Bangkok โทร. 02-522-6655, Porsche Centre Pattanakarn โทร. 02-369-1111 หรือ Porsche City Showroom Siam Paragon ชั้น 2 โทร. 02-610-9911 ●


2018 Porsche Cayenne E-Hybrid : Group Test