March 29, 2019
Motortrivia Team (10162 articles)

11 สถิติใน Formula 1 ที่สุ่มเสี่ยงจะถูกทำลายในปี 2019

Posted by : Fascinator.

 

●   นับว่าเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทีเดียวสำหรับปี 2019 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านกติกา ทีมแข่ง และ นักขับ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเหล่านี้บางส่วนมีโอกาสที่จะทำให้เกิดสถิติใหม่ๆ และนี่คือ 11 สถิติ ที่มีโอกาสจะถูกทำลายลงในปีนี้

1. รอบที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ F1

●   สนามมอนซ่า แห่งอิตาลี ที่นี่คือที่ที่รั้งสถิติรอบที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ F1 โดย ฮวน พาโบล มอนโตย่า เจ้าของสถิติเดิม ควบรถวิลเลียมส์ที่ใส่ขุมพลัง BMW ทำความเร็วเฉลี่ยไว้ 262.242 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในปี 2004 นั่นเป็นความเร็วเฉลี่ยสูงที่สุดในสนามที่อยู่มานานจนกระทั่งปีที่แล้ว คิมี ไรค์โคเนน ควบม้าลำพองกดเวลาในการควอลิฟายไป 1.19.119 และทำความเร็วเฉลี่ยสูงถึง 263.587 กิโลเมตร/ชั่วโมง กลายเป็นสถิติใหม่

●   แต่สถิติของไรค์โคเนนก็อาจอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อกฎทางด้านอากาศพลศาสตร์ถูกเปลี่ยนไปในปีนี้ แอโรพาร์ทต่างๆ ถูกลดทอนลง ปีกหน้ามีความซับซ้อนน้อยลง นั่นน่าจะช่วยลดดาวน์ฟอร์ซรวมถึงแดรกฟอร์ซไปได้พอสมควร ซึ่งมันจะทำให้การขับในสนามที่ต้องการดาวน์ฟอร์ซต่ำทำความเร็วสูงสุดได้สูงขึ้น และส่งผลให้ความเร็วเฉลี่ยสูงขึ้นนั่นเอง

2. จำนวนรอบที่นำมากที่สุด

●   ด้วยจำนวนแชมป์โลกที่รวมกันได้มากถึง 12 ครั้ง มันไม่น่าแปลกใจเลยที่ มิคาเอล ชูมัคเกอร์ และ ลูวอิส แฮมิลตัน จะเป็นผู้นำการแข่งขันบ่อยครั้ง

●   ชูมัคเกอร์นั้นเป็นเจ้าของสถิติปัจจุบันอยู่ ด้วยการสัมผัสกับการเป็นผู้นำมาแล้วทั้งหมด 142 เรซ ตลอดอาชีพนักแข่ง F1 ของเขา แต่สถิตินี้ของแชมป์โลกชาวเยอรมนีอาจจะสิ้นสุดลงในปีนี้ เพราะแฮมิลตัน ผู้ที่ทำสถิติอยู่ในอันดับ 2 ต้องการการเป็นผู้นำอีกเพียง 14 เรซ ในขณะที่ปีนี้นั้นมีการแข่งขันถึง 21 สนาม

3. แข่งขันมากที่สุดโดยยังไม่เคยได้โพล

●   สถิติที่ไม่มีใครต้องการอันนี้ถูกจับจองโดยดูโอ้ชาวสหราชอาณาจักรฯ จอห์นนี เฮอร์เบิร์ต และ มาร์ติน บรันเดิล ซึ่งทั้งคู่นั้นต่างไม่เคยสัมผัสกับตำแหน่ง โพล โพสิชั่น เลยตลอด 165 เรซ ที่ลงแข่งขัน

●   ในตอนนี้ทั้งคู่ต่างเป็นสื่อภาคสนาม ซึ่งจะทำให้พวกเขานั้นได้จับตา เซอร์จิโอ เปเรซ นักขับที่มีโอกาสมารับช่วงต่อสถิตินี้ไปจากพวกเขา โดยนักแข่งเม็กซิกันนั้นเข้าร่วมการแข่งขันมาแล้ว 158 ครั้ง แต่ยังไม่เคยสตาร์ทอยู่หัวแถวเลยสักครั้งเดียว และถ้าเขายังทำไม่ได้อีกใน 8 สนามแรกของปีนี้ สถิติที่ไม่น่าพึงประสงอันนี้จะตกเป็นของเขาทันที และดูเหมือนมันจะเป็นไปได้มากเสียด้วย กับการที่เขาลงแข่งขันให้กับเรซซิ่งพอยต์ หรือก็คือฟอร์ซอินเดียเดิม ซึ่งคว้าโพลได้เพียงครั้งเดียวตลอด 11 ปี ที่ผ่านมา

4. โพเดียมที่อายุน้อยที่สุด

●   ไม่มีใครที่เคยจะคิดว่า โทโรรอสโซจะสามารถคว้าชัยชนะได้ในการแข่งขันที่มอนซ่า ปี 2008 แต่ในตอนนั้น ผู้ที่ได้ตำแหน่งโพล เซบาสเตียน เวทเทล หนุ่มน้อยอ่อนด้อยประสบการณ์ ได้สร้างผลงานมาสเตอร์พีซด้วยการขับลุยฝนนำห่างคู่แข่งจนเข้าเส้นชัยไปเป็นคันแรก

●   อย่างไรก็ตามวันนั้นไม่ใช่วันที่น่าจดจำสำหรับเวทเทลเพียงคนเดียว เพราะมันได้เกิดสถิติใหม่ขึ้นจากการที่นักแข่งหนุ่มอีก 2 คน ได้ขึ้นโพเดียมพร้อมกับนักแข่งหนุ่มเยอรมัน เฮกกิ โควาไลเนน และ โรเบิร์ต คูบิคซ่า ทำให้นักแข่งที่ยืนโพเดียมในวันนั้นเป็นนักแข่งที่ทำค่าเฉลี่ยอายุน้อยที่สุดที่ได้ยืนรวมกันบนโพเดียม ด้วยอายุเฉลี่ย 23 ปี 11 เดือน 16 วัน

●   ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นสถิติโพเดียมที่อายุน้อยที่สุดที่ยังคงยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน แต่มันอาจจะเปลี่ยนไปได้ในปีนี้ เมื่อเรามีนักแข่งหนุ่มที่มีความสามารถขยับขึ้นมาอยู่ทีมใหญ่กันหลายคน หรือพูดให้ชัดเจนก็คือ หาก ชาร์ล เลอแคลร์ (21), แม็กซ์ เวอร์สแท็พเพ่น (21) และ ปิแอร์ แกสลีย์ (23) ขึ้นโพเดียมพร้อมกัน นั่นจะทุบสถิติเก่าทันที

5. จำนวนสนามที่จบการแข่งขันแบบมีแต้มมากที่สุด

●   การจบการแข่งขันแบบมีแต้มนั้นแสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอของนักแข่งได้พอสมควร และไม่น่าแปลกใจเลยที่สถิติการจบการแข่งขันแบบมีแต้มมากที่สุดปัจจุบันจะยังคงอยู่กับ มิคาเอล ชูมัคเกอร์ ตำนานแชมป์โลก 7 สมัย ที่จบการแข่งขันแบบมีแต้มถึง 121 สนาม และนั่นคือสิ่งที่ คิมี ไรค์โคเนน อาจจะทำลายลงได้ในปีนี้

●   หากนักแข่งฟินน์ต้องการที่จะทุบสถิติตำนานนักขับชาวเยอรมนี เขาจะต้องจบการแข่งขันแบบมีแต้มในปีนี้ 18 สนาม ซึ่งเขาทำได้ 1 ครั้ง ไปแล้วในสนามแรก มันอาจจะเป็นเรื่องยากพอสมควรกับการที่เขาอยู่กับ อัลฟ่า โรเมโอ ซึ่งไม่ใช่ท็อปทีมในปีนี้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

6. โพลที่อายุน้อยที่สุด

●   ในปีที่แล้ว แม็กซ์ เวอร์สแท็พเพ่น เกือบจะทำลายสถิตินี้ได้ในรายการเม็กซิกันกรังด์ปรีซ์ เพียงแต่ในวินาทีสุดท้าย แดเนียล ริคคิอาร์โด เพื่อนร่วมทีมของนักแข่งดัตช์ มาเฉือนเอาตำแหน่งโพลไปเพียง 0.026 วินาที นั่นจึงทำให้สถิติของ เซบาสเตียน เวทเทล ซึ่งทำไว้ในปี 2008 ด้วยอายุ 21 ปี 72 วัน ยังคงอยู่ดี

●   ถึงแม้ว่าเวอร์สแท็พเพ่นจะหมดโอกาสในการทำลายสถิตินี้เนื่องจากอายุเกินไปแล้ว แต่เรายังคงมีนักแข่งที่อายุไม่ถึงเกณฑ์สถิติของเวทเทลอยู่ด้วยกัน 3 คน ในปีนี้ แลนโด้ นอริส จากแม็คลาเรน ในวัย 19 ปี, แลนซ์ สโตรล ในสังกัดเรซซิ่งพอยต์ วัย 20 ปี และ จอร์จ รัสเซล ในทีมท้ายแถวอย่างวิลเลียมส์ ซึ่งอายุครบ 21 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็ยังคงมีโอกาส 3 ครั้ง ที่ออสเตรเลีย, บาห์เรน และ จีน ก่อนที่เขาจะอายุเกินจนหมดโอกาสไปเช่นกัน

7. คะแนนสะสมมากที่สุดโดยไม่เคยเป็นแชมป์โลก

●   การที่ได้มาขับให้กับเมอร์เซเดสนั้นไม่ใช่มีเพียงแต่ข้อดี มันเปิดโอกาสให้นักขับเหล่านั้นได้แสดงศักยภาพและสะสมผลงานที่ยอดเยี่ยม รวมถึงเป้าหมายสำคัญที่สุดของทุกคน คือการได้คว้าแชมป์โลก แต่ถ้าหากนักขับเหล่านั้นพลาดพลั้งไปเพียงเล็กน้อย สถิติใหม่ที่ไม่ต้องการก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังเช่นที่ วาลท์เทรี บ็อตตาส กำลังประสบพบเจออยู่ในขณะนี้ โดยหากนักแข่งฟินน์เก็บคะแนนสะสมได้เพิ่มอีก 205 แต้ม แต่ไม่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ในปีนี้ เขาจะกลายเป็นเจ้าของสถิติสะสมคะแนนได้มากที่สุดโดยไม่เคยสัมผัสกับแชมป์โลกไปในทันที

●   สถิติเดิมนั้นเป็นของ เฟลิเป้ มาสซ่า รองแชมป์โลกในปี 2008 ซึ่งเก็บคะแนนสะสมได้ 1,167 แต้ม นำหน้าอันดับ 2 มาร์ค เวบเบอร์ อดีตนักขับเรดบูลล์ แต่บ็อตตาสดูเหมือนจะเก็บคะแนนแซงพวกเขาเหล่านี้ได้ เมื่อดูจากสถิติในปีที่ผ่านมาซึ่งเขาทำคะแนนสะสมไปได้ 247 คะแนน

●   อันที่จริง แดเนียล ริคคิอาร์โด นั้นนำหน้าบ็อตตาสอยู่ในลิสต์นี้ นักแข่งออสซีขาดอีกเพียง 182 แต้ม ก็จะเป็นเจ้าของสถิติคนใหม่ แต่เขาเก็บคะแนนได้เพียง 170 แต้ม กับเรดบูลล์ในปีที่แล้ว และในปีนี้เขาก็ย้ายไปยังทีมที่น่าจะด้อยกว่าเรดบูลล์ อย่างเรโนลต์ บ็อตตาสจึงมีโอกาสมากกว่าในการแซงริคคิอาร์โดแล้วรับสถิติที่ไม่ต้องการนี้ไป

8. นักแข่งเฟอร์รารีที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะการแข่งขัน

●   ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าผิดหวังสำหรับแฟนๆ ที่ คิมี ไรค์โคเนน นักขับในดวงใจของพวกเขาแยกทางกับเฟอร์รารีไปเมื่อจบฤดูกาลล่าสุด แต่ว่า ชาร์ล เลอแคลร์ เด็กคนใหม่ที่เข้าสังกัดมานั้นก็มีดีพอที่จะชดเชยกับการเสียนักแข่งฟินน์ไป

●   เลอแคลร์นั้นสามารถจบการแข่งขันในท็อปเทนได้ถึง 10 ครั้ง กับเซาเบอร์ในปีที่แล้ว นั่นหมายความว่านักแข่งชาวโมนาโคมีโอกาสมากทีเดียวที่จะคว้าชัยชนะได้ในปีนี้ และถ้าหากเขาทำได้เขาก็จะทำลายสถิติเดิมของ แจ็คกี้ อิคส์ ซึ่งทำไว้ที่อายุ 23 ปี ในรายการเฟรนช์กรังด์ปรีซ์ 1968

9. แชมป์โลกติดต่อกันมากที่สุด

●   แฟนๆ หลายคนอาจจะไม่ชอบหากทีมใดทีมหนึ่งทำผลงานได้เหนือคู่แข่งจนทำให้การแข่งขันนั้นกร่อยลง แต่ไม่ใช่แน่นอนสำหรับทีมงานและแฟนๆ เมอร์เซเดส ซึ่งคว้าแชมป์โลกเพียงค่ายเดียวนับตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์เทอร์โบไฮบริด พวกเขาเป็นเพียง 1 ใน 2 ค่ายผู้ผลิตเท่านั้นที่ทำสถิติคว้าแชมป์โลกติดต่อกันถึง 5 ครั้ง และถ้าหากพวกเขาคว้าแชมป์โลกได้อีกในปีนี้ พวกเขาจะขึ้นยืนตำแหน่งแชมป์โลกติดต่อกันมากที่สุด 6 ครั้ง เทียบเท่าสิ่งที่เฟอร์รารีทำได้ระหว่างปี 1999 – 2004 ทันที

10. ช่วงเวลายาวนานที่สุดในการปรากฏตัวบนโพเดียม

●   เรื่องราวที่ดูจะน่าตื่นเต้นที่สุดในปีนี้ เห็นจะเป็นการที่ โรเบิร์ต คูบิคซ่า กลับลงสู่กริดการแข่งขันอีกครั้ง หลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุในปี 2011 จนทำให้อาชีพนักแข่ง F1 ของเขาหยุดชะงักไปถึง 8 ปี

●   คูบิคซ่าอาจจะมองเพียงแค่ว่าดันรถวิลเลียมส์ให้กลับคืนสู่แถวกลางและเก็บสะสมแต้มให้ได้มากที่สุด แต่มันมีสถิติหนึ่งที่เขามีโอกาสทำได้ ถ้าเขาสามารถขึ้นโพเดียมได้ในปีนี้ เขาจะทำลายสถิติช่วงเวลายาวนานที่สุดของการได้ขึ้นโพเดียมจาก อเล็กซานเดอร์ วูร์ซ ทันที ซึ่งวูร์ซนั้นปรากฏตัวบนโพเดียมในรายการ ซาน มาริโน กรังด์ปรีซ์ 2005 นับเป็นเวลา 7 ปี 9 เดือน 11 วัน หลังจากครั้งก่อนหน้านั้นที่เขายืนโพเดียมในรายการบริติชกรังด์ปรีซ์ 1997

●   คุณอาจจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ลองมองย้อนกลับไปเมื่อเร็วๆ นี้สิ แลนซ์ สโตรล ยังสามารถพาวิลเลียมส์ขึ้นโพเดียมที่บากู ปี 2017 แบบช็อกโลกมาได้แล้วเลย ฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ สำหรับฟอร์มูล่าวัน

11. แชมป์โลกอายุน้อยที่สุด

●   2 ปี หลังจากที่เขาทำโพลและคว้าชัยด้วยอายุน้อยที่สุด เซบาสเตียน เวทเทล ก็เก็บอีกสถิติเข้าโปรไฟล์ของตัวเองด้วยการเป็นแชมป์โลกอายุน้อยที่สุดด้วยวัย 23 ปี 134 วัน

●   แต่สถิตินี้อาจจะเปลี่ยนไปในปีนี้ เพราะเรามีนักแข่งรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้าวงการมามากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าจะให้ชัดเจนกว่านั้น แม็กซ์ เวอร์สแท็พเพ่น และ ชาร์ล เลอแคลร์ ทั้งคู่ต่างมีโอกาสที่จะทุบสถิตินี้ทั้งสิ้น ทั้งคู่ได้ขับเรดบูลล์และเฟอร์รารี ซึ่งถือว่าเป็นรถแข่งที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะคว้าแชมป์โลก และต่างมีอายุเพียง 21 ปี เท่านั้น   ●


ที่มา :
•   www.formula1.com.