2020 Pininfarina Battista ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า 1,900 PS ร่างจำแลงของ Rimac
เรื่อง : AREA 54
● หลังบริษัทออกแบบยานยนต์ชั้นนำอย่างพินินฟารินา ฉลองครบรอบ 80 ปีด้วยการเข้าสู่ยุคไฟฟ้ากับซิตี้คาร์ Pininfarina Nido EV ในช่วงปี 2010 ล่าสุดพินินฟารินา กลับมาออกแบบรถสปอร์ตของตัวเองอีกครั้ง (นอกเหนือจากเฟอร์รารี่) พร้อมเผยโฉมไฮเปอร์คาร์พลังไฟฟ้าล้วนแบบแบตเตอรี่ ใช้ชื่อว่า Pininfarina Battista เพื่อเป็นเกียรติแก่นักออกแบบสัญชาติอิตาเลียน Battista Farina ผู้ก่อตั้งบริษัทออกแบบ “Carrozzeria Pinin Farina” หรือ Pininfarina S.p.A. ในช่วงปี 1930
● Pininfarina Battista นับเป็นรถที่ก้าวสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง ตัวรถเป็นผลงานความร่วมมือที่บรรจบกันระหว่างบริษัทออกแบบรถยนต์ในลักษณะดั้งเดิมอย่างพินินฟารินา และบริษัทหัวก้าวหน้าสัญชาติโครเอเชียอย่าง Rimac Automobili เจ้าของไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าอย่าง Rimac Concept_One และรุ่นล่าสุด Rimac C_Two ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมา (C_Two นับเป็นรถรุ่นปี 2020 เช่นเดียวกับ Battista)
● แน่นอนว่างานออกแบบทั้งหมดเป็นผลงานของพินินฟารินา ทว่าต้นกำลังนั้น พินินฟารินาเชื่อว่าด้วยขีดจำกัดของเครื่องยนต์สันดาปภายในในยุคปัจุบันนั้น มันมาถึงทางตันแล้ว ดังนั้นคำตอบหรือสิ่งจะปลดล็อคประสิทธิภาพของรถสปอร์ตยุคใหม่ ก็คือเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้านั่นเอง
● “ตอนที่ผมพบกับ Mate Rimac (ผู้ก่อตั้ง Rimac Automobili) ผมรู้เลยว่าทั้งเขาและทีมของเขาคือองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการสนับสนุน Dr. Christian Jung, CTO (Chief Technology Officer : ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี) ของเราที่พินินฟารินา” Michael Perschke, CEO ของพินินฟารินาให้ความเห็น
● “รีแมคสามารถมอบพละกำลังให้เราได้ดังใจ เราต้องการมอบประสบการณ์ในการขับอันน่าจดจำ และเข้ากันได้ดีกับงานออกแบบอันเป็นมาตรฐานของพินินฟารินาที่เรากำหนดไว้ ความร่วมมือในครั้งนี้คือการหลอมรวมประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนแห่งอนาคตอย่างระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า เข้ากับขนบของงานออกแบบอันเป็นตำนานเล่าขานของพินินฟารินา เพื่อส่งมอบรถไฮเปอร์คาร์ที่สวยงามที่สุดอย่างแท้จริง”
● รีแมครับหน้าที่ในการจัดหาโซลูชั่นทั้งหมดในชุดระบบขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบด้านวิศวกรรม (เพื่อรองรับงานออกแบบตัวถัง) ไล่ไปจนถึงฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ที่เกี่ยวเนื่องทั้งระบบ ดังนั้นเซ็ทอัพของ Battista จึงไม่ต่างจาก C_Two ของรีแมค นั่นคือมีมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว แยกติดตั้งสำหรับหมุนล้อคู่หน้า-หลัง แบ่งเป็นแพคเกจวางกลางเชื่อมต่อเพลาชุดละ 2 ตัว
● ชุดระบบส่งกำลังแยกเป็น 2 ชุด ชุดแรกที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าเป็นแบบซิงเกิลสปีด ส่วนชุดที่ 2 เป็นแบบ 2 สปีด และมีระบบ AWTV หรือ All Wheel Torque Vectoring ช่วยกระจายแรงบิดในล้อทั้ง 4
● แบตเตอรี่แพคเป็นแบบ ลิเธียม แมงกานีส นิคเกิล ระบายความร้อนด้วยของเหลว ขนาดความจุหรือความสามารถในการจ่ายไฟภายใน 1 ชม. เท่ากับ 120 กิโลวัทท์-ชม. วางกระจายน้ำหนักเป็นรูปตัว T โดยในการชาร์จแบตเตอรี่นั้น พินินฟารินาระบุว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างพบว่า 90% ของเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเน้นไปที่การชาร์จภายในโรงรถที่บ้านเป็นหลัก และจะมีเพียง 10% เท่านั้นที่ใช้งานแบตเตอรี่จนมีความจำเป็นต้องชาร์จเพิ่มนอกบ้าน ทว่าพินินฟารินากำลังเตรียมงานออกแบบแอพฯ สำหรับให้เจ้าของรถสามารถใช้บริการตามเครือข่ายสถานีชาร์จให้ลูกค้าในกลุ่ม 10% นั้นภายในช่วงปี 2021
● ตัวรถมีกำลังรวมสุทธิ 1,900 แรงม้า (PS) มีแรงบิดสูงสุด 234 กก.-ม. ตามทฤษฎี Battista มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ต่ำกว่า 2 วินาที และมีอัตราเร่ง 0 – 300 กม./ชม. ต่ำกว่า 12 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 350 กม./ชม. หากใช้งานแบบปกติในชีวิตประจำวัน ชาร์จ 1 ครั้งจะวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 450 กม.
● พินินฟารินาจะทำการผลิต Battista เพียง 150 คันเท่านั้น กรอบเวลาในการผลิตรถทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 20 เดือน กลุ่มลูกค้าหลักคือนักสะสมรถซึ่งพินินฟารินามีฐานลูกค้าประจำอยู่แล้ว
● การจำหน่าย, ส่งมอบรถ และบริการหลังการขาย จะมีขึ้นผ่านเครือข่ายดีลเลอร์ใหม่ของพินินฟารินาราว 25 – 40 แห่ง ซึ่งมีการบริหารจัดการภายใต้ทีมงานใหม่ของพินินฟารินาในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี เบื้องต้นการกระจายรถจะมีให้ทั้งในเอเซีย, ตะวันออกกลาง, ยุโรป และอเมริกาเหนือ ในขณะที่ตำแหน่งที่ตั้งของดีลเลอร์หลักๆ จะกระจายไปตามเมืองใหญ่อย่าง ลอนดอน, ฮ่องกง, นิวยอร์ค, แวนคูเวอร์ หรือสตุทการ์ท เป็นต้น
● ราคาจำหน่ายยังไม่มีการระบุตัวเลขที่แน่นอนครับ ทว่าเว็บไซท์ caranddriver.com คาดว่าน่าจะอยู่แถวๆ 2 – 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 64 – 80 ล้านบาทครับ (ราคาจำหน่าย Rimac C_Two ประมาณ 2 ล้านดอลลาร์ +/-) การจัดแสดงจะมีขึ้นในงาน 2019 Geneva Motor Show ต้นเดือนมีนาคมนี้ ●