2020 Chevrolet Corvette C8 Stingray ครั้งแรกกับเครื่องยนต์วางกลาง
เรื่อง : AREA 54
● เชฟโรเลต เปิดตัวสปอร์ตคูเป้ Corvette ใหม่เจนเนอเรชั่น 8 ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการเต็มๆ ว่า Chevrolet Corvette C8 Stingray ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือการปรับเลย์เอาท์การวางเครื่องยนต์จาก FMR (Front-Midship engine Rear-wheel drive) เครื่องยนต์วางอยู่ด้านหน้าแบบร่นมาอยู่หลังแนวของเพลาหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง มาเป็น RMR (Rear Mid-engine Rear-wheel drive) เครื่องยนต์วางกลางลำ ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับจาก Corvette เจนเนอเรชั่นแรกในยุค 50s
● เชฟโรเลตระบุว่า Corvette C8 Stingray คือผลงานจากการพัฒนารถสปอร์ตมากว่า 60 ปี รวมทั้งใช้ข้อมูลจากรถทดลองในอดีตอย่างรถ CERV หรือ Chevrolet Experimental Research Vehicles และรถต้นแบบรุ่นอื่นๆ หลายๆ รุ่นด้วย โดย “บิดาแห่งคอร์เวทท์” หรือ Zora Arkus-Duntov (Father of the Corvette) ได้มีแนวคิดในการทดลองติดตั้งเครื่องยนต์แบบวางกลางมาตั้งแต่ยุค 50s โดยเปิดตัวรถทดลอง CERV I เครื่องยนต์วางกลางเป็นรุ่นแรกในปี 1960
● จากนั้นในปี 1964 Duntov ได้เปิดตัวรถทดลอง CERV II ซึ่งนอกจากจะมากับเครื่องยนต์วางกลางแล้ว ยังใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นครั้งแรกอีกด้วย และในปี 1990 รถต้นแบบ CERV III ที่มีการพัฒนาร่วมกับโลตัส ก็เป็นรถเครื่องยนต์วางกลางรุ่นสุดท้ายก่อนที่ Duntov จะรีไทร์จาก GM ในปี 1975 ด้วยวัย 66 ปี และเสียชีวิตในปี 1996
● Duntov เคยให้ความเห็นเอาไว้ว่า รถเครื่องยนต์วางกลางนับเป็นรถที่มีการกระจายน้ำหนักที่ดีที่สุด ทว่าในการผลิตเพื่อจำหน่ายในเชิงปริมาณ อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้ เช่น การระบายอากาศของเครื่องยนต์, พื้นที่เก็บสัมภาระที่จำกัด, เสียงที่ดังมากจนเกินไป และการผลิตรุ่นเปิดประทุนก็อาจจะเกิดปัญหาด้วย
● ทว่าในที่สุด วิศวกรของเชฟโรเลตก็สามารถใช้เทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน เช่น การจำลอง/คำนวณผลของการออกแบบในลักษณะต่างๆ กันด้วยคอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยี Virtual Reality เข้ามาช่วยแก้ปัญหา และผลิตรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางออกมาจนได้
● Corvette C8 Stingray มากับงานออกแบบใหม่ทั้งหมด ทั้งภายนอกและภายใน ตัวรถมีแอร์โรไดนามิคดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้แต่มือเปิดประตู หรือฝากระโปรงหน้า/หลัง ก็ยังถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของแอร์โรแพคเกจอย่างกลมกลืน เฟรมรถใหม่แข็งแรงขึ้น 10% เมื่อเทียบกับ C7 การกระจายน้ำหนักดีขึ้น ตัวรถมีความมั่นคงขึ้นในขณะใช้ความเร็วบนทางตรงหรือบนแทร็ค ช่องรับอากาศขนาดใหญ่ด้านข้างทำหน้าที่ทั้งระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ และเป็นช่องจัดระเบียบอากาศเพื่อช่วยในเรื่องอากาศพลศาสตร์ไปด้วยในตัว
● ห้องโดยสารออกแบบการจัดวางค๊อกพิทใหม่ แม้จะยังคงยึดตำแหน่งผู้ขับเป็นศูนย์กลางของรถ ทว่าผู้ขับและผู้โดยสารจะถูกแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงด้วยเซ็นเตอร์คอนโซลใหม่ขนาดใหญ่ ตำแหน่งชุดควบคุมและจอแสดงผลทั้งหมดทำมุมเอียงเข้าหาผู้ขับ พื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านหน้า/หลังมีให้ทั้งหมด 357 ลิตร
● ห้องโดยสารมากับมาตรวัดฟูลดิจิทัลตามยุคสมัย โดยมีจอ Head-Up Display เป็นหลักขณะขับ ช่วยให้ผู้ขับลดการละสายตาจากท้องถนน เสริมด้วยจอบอกข้อมูลหลังวงพวงมาลัยใหม่ขนาด 12 นิ้ว ปรับรูปแบบการแสดงผลได้หลายแบบ รวมทั้งระบบนำทางแบบ 3D ด้วย โดยเชฟโรเลตได้ออกแบบพวงมาลัยใหม่ เพื่อไม่ให้มีส่วนใดบังสายตาผู้ขับขณะลดระดับสายตาลงมาเพื่อมองข้อมูลต่างๆ
● จอกลางขนาด 8 นิ้วจัดวางแบบลอยตัว ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการใหม่ Chevrolet Infotainment 3 system รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Android Auto หรือ Apple CarPlay สามารถใช้งานเทคโนโลยีเชื่อมต่อยุคใหม่ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบลูทูธ, 4G LTE Wi-Fi หรือ NFC
● และแน่นอนว่า ชุดระบบบันทึกข้อมูลสำหรับนักขับสายแทร็ค หรือ PDR – Performance Data Recorder ซึ่งช่วยให้ผู้ขับเก็บข้อมูลในการขับ, บันทึกภาพในระบบ HD ความละเอียด 1080p พร้อมกราฟฟิคซ้อนเป็นโอเวอร์เลย์ แสดงผลความเร็ว, รอบเครื่องยนต์, ตำแหน่งเกียร์, เวลาต่อรอบ และมีเส้นไกด์กายภาพของสนามอิงที่ข้อมูลจาก GPS และองศาในการหมุนพวงมาลัย ยังคงมีให้ใช้งานเช่นเดิม
● นอกจากนี้ ชุดระบบ PDR ยังสามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชั่น Valet Mode เพื่อให้เจ้าของรถสามารถคอยตรวจสอบ, บันทึกวีดิโอ และตรวจสอบข้อมูลการทำงานของรถ (เช่นความเร็ว) ในกรณีที่ผู้ขับใช้บริการเด็กจอดรถในสถานที่ต่างๆ ได้อีกด้วย
● ออปชั่นอื่นๆ มีอาทิ สีภายนอก 12 สี แบ่งเป็นสีเดิม 9 สี Torch Red, Arctic White, Black, Blade Silver Metallic, Shadow Gray, Ceramic Matrix Gray, Long Beach Red, Elkhart Lake Blue, Sebring Orange และสีใหม่ 3 สี Rapid Blue, Zeus Bronze และ Accelerate Yellow จับคู่ชุดสีภายใน 6 สี Jet Black, Sky Cool Gray, Adrenaline Red, Natural/ Natural Dipped, Two-Tone Blue และ Morello Red พิเศษ ผู้ขับสามารถเลือกสีเข็มขัดนิรภัยได้อีก 6 สี และยังเลือกสีการเดินด้ายแยกต่างหากได้ด้วย
● นอกจากนี้ยังมีแพคเกจเบาะให้เลือกอีก 3 แบบ ทุกแบบเป็นทรงบัคเก็ทเข้ารูปอย่างดี ประกอบด้วยเบาะ GT1 เหมาะสำหรับการใช้งานในแบบทั่วไป, GT2 เบาะที่ออกแบบในสไตล์รถแข่ง ทว่าสามารถใช้ขับเดินทางไกลได้ดี ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ และหนัง Napa ปิดท้ายด้วยเบาะ Competition Sport น้ำหนักเบา มีระบบระบายอากาศ เหมาะสำหรับการวิ่งแทร็คโดยเฉพาะ
● พละกำลังมาจากเครื่องยนต์เบนซินบล็อคใหม่ แบบ V8 ความจุ 6.2 ลิตร รหัส LT2 วาล์วแปรผันต่อเนื่อง CVVT อ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry-Sump ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัล-คลัทช์ ควิกชิฟท์ อัตราทดชิด 8 จังหวะ (เชฟโรเลตเรียกว่า lightning-quick shifts) กำลังสูงสุดผลิตได้ 490 แรงม้า (HP)
● หากติดตั้งแพคเกจเสริมสมรรถนะ Z51 Performance Package กำลังสูงสุดจะเพิ่มขึ้นเป็น 495 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 64.9 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ต่ำกว่า 3 วินาที
● ทั้งนี้ ช่วงล่างไฮเทครุ่นอัพเกรด Magnetic Ride Control 4.0 ที่ปรับค่าความหนืดด้วยสนามแม่เหล็ก จะรวมอยู่ในแพคเกจ Z51 นี้ด้วย เสริมด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของเบรคด้วยระบบ eBoost brakes
● ช่วงล่างด้านหน้า สามารถเพิ่มระยะเคลียร์ได้อีก 40 มม. ผู้ขับสามารถสั่งงานได้ในขณะรถวิ่งที่ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 38 กม./ชม. ช่วยป้องกันความเสียหายจากการไต่ลูกระนาด หลุมบ่อ หรืออื่นๆ จุดเด่นคือ ผู้ขับสามารถสั่งงานให้ระบบยกตัวทำงานอัตโนมัติได้โดยใช้ GPS ระบุตำแหน่งที่ต้องการ พร้อมฟังก์ชั่นบันทึกตำแหน่งได้ 1,000 สถานที่
● Chevrolet Corvette C8 Stingray เปิดราคาจำหน่ายรุ่นพื้นฐานแบบไม่รวมออปชั่นใดๆ ที่ประมาณ 60,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.9 ล้านบาทครับ ●