September 15, 2019
Motortrivia Team (10020 articles)

Mercedes-Benz พาชมงาน Internationale Automobil-Ausstellung 2019 (3)

เรื่อง-ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

(1) Mercedes-AMG A 45 4MATIC+, A 45 S 4MATIC+ และ Mercedes-AMG CLA 45 4MATIC+, CLA 45 S 4MATIC+

●   Mercedes-AMG A 45 และ Mercedes-AMG CLA 45 ทั้งคูเป้และ Shooting Brake ใช้เครื่องยนต์รุ่นเดียวกันที่ได้จากการผลิตแบบ One Man, One Engine ครองตำแหน่งเครื่องยนต์ 4 สูบ จากโรงงานใช้ในสายการผลิตที่แรงที่สุดในโลกตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า และในรุ่นนี้ก็ยังได้รับการพัฒนาในจุดต่างๆ ให้มีกำลังเพิ่มขึ้น 40 แรงม้า แรงบิดเพิ่มขึ้น 25 นิวตันเมตร โดยรุ่นปัจจุบันมีแรงม้าต่อลิตรอยู่ที่ 211 แรงม้า

●   ทั้ง A และ CLA ใช้เครื่องยนต์บล็อกหลักเดียวกัน แบบเบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 1,991 ซีซี รุ่นมาตรฐานมีกำลัง 387 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 49 กก.-ม. ที่ 4,750-5,000 รอบต่อนาที ส่วนรุ่น S อัพสมรรถนะเป็น 421 แรงม้า ที่ 6,750 รอบต่อนาที แรงบิด 51 กก.-ม. ที่ 5,000-5,250 รอบต่อนาที

●   ทั้ง 2 รุ่นมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่แถวๆ 12 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยมลพิษ 189-192 กรัมต่อกิโลเมตร เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.9-4.1 วินาที ความเร็วสูงสุดล็อกไว้เท่ากันหมด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยกเว้นติดตั้งระบบ AMG Driver’s Package จะขยับขึ้นไปที่ 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   เครื่องยนต์ใหม่ถูกสลับทิศทางเข้าไอดีและทางออกของไอเสีย โดยชุดท่อร่วมไอเสียและเทอร์โบอยู่ด้านผนังห้องเครื่อง ส่วนท่อไอดีอยู่ด้านหน้าเครื่องยนต์ จึงสามารถออกแบบทรงท่อไอดีให้ลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ได้ รวมทั้งการดักอากาศเข้าเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น และไอดีเดินทางด้วยระยะที่สั้นลง รวมทั้งท่อไอเสียเองก็เดินทางสั้นลงด้วย ทำให้ไอเสียออกกจากเครื่องยนต์ได้เร็วขึ้น

●   เทอร์โบ Twinscroll รุ่นใหม่ ผสมผสานระหว่างการตอบสนองที่ดีในรอบต่ำจรดรอบสูง ด้วยโข่งไอเสียที่ออกแบบให้มี 2 ช่อง ทำให้ไอเสียวิ่งขนานกันไป มวลของไอเสียแยกกันปะทะใบไอเสียหรือเทอร์ไบน์ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนกันของไอเสียในแต่ละสูบ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของไอเสีย ส่งผลให้มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ และให้การตอบสนองที่ดี และเป็นครั้งแรกที่ใช้ลูกปืนสำหรับแกนของเทอร์โบ ช่วยลดความฝืดให้เหลือน้อยที่สุด รองรับการหมุนได้ถึง 169,000 รอบต่อนาที

●   ปรับบูสต์ไว้สูงสุดที่ 2.1 บาร์ หรือประมาณ 30.8 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ควบคุมแรงบูสต์ด้วยเวสเกตไฟฟ้า ทำให้ควบคุมการบูสต์ได้ละเอียดและยืดหยุ่นกว่า เพื่อการตอบสนองที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งแซง ระบบจะรับข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ เพื่อประมวลผล ข้อมูลหลักที่ใช้ควบคุมเวสเกตไฟฟ้า คือ ตำแหน่งของลิ้นปีกผีเสื้อ และแนวโน้มที่เครื่องยนต์จะน๊อค ส่วนข้อมูลเสริมก็เช่น อุณหภูมิไอดีและเครื่องยนต์ รอบเครื่องยนต์ และแรงดันอากาศภายนอก ซึ่งในบางสถานการณ์ระบบจะยอมให้โอเวอร์บูสต์ได้

●   นอกจากน้ำและน้ำมันเครื่องแล้ว อากาศก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดความร้อนของเทอร์โบ โดยจะรับอากาศโดยตรงจากกระจังหน้าผ่านฝารอบเครื่องยนต์ที่ออกแบบให้บังคับทิศทางลมไปยังเทอร์โบ แนวคิดหลักเดียวกับการเพิ่มการระบายความร้อนให้เทอร์โบแบบติดตั้งภายในของเครื่องยนต์ AMG V8-4.0 ที่ใช้ในรุ่น AMG GT ปี 2014

●   เสื้อสูบผลิตจากอะลูมิเนียมแบบหล่อเย็น โดยเทอะลูมิเนียมเหลวลงในแม่พิมพ์ด้วยแรงโน้มถ่วง ตัวแม่พิมพ์มีการระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้อะลูมิเนียมแข็งตัวเร็วขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือโครงสร้างที่ละเอียดและหนาแน่น มีความแข็งแรงสูง น้ำหนักเบา และสามารถออกแบบรูปทรงภายในที่ซับซ้อนได้ รองรับแรงดันภายในห้องเผาไหม่ได้กว่า 160 บาร์ โครงสร้างบริเวณรอบลูกสูบ ออกแบบให้มีความแข็งแรงมากที่สุด ข้อเหวี่ยงผลิตด้วยวิธีฟอร์จหรือบีบอัดเพื่อความแข็งแรง ส่วนลูกสูบเป็นอะลูมิเนียมฟอร์จ พร้อมแหวนลูกสูบที่มีความฝืดต่ำและมีความแข็งแรงสูง รอบเครื่องยนต์สูงสุด 7,200 รอบต่อนาที และรอบแรงม้าสูงสุดที่ 6,750 รอบต่อนาที อ่างน้ำมันเครื่องขนาดใหญ่ เพื่อให้แน่ใจว่าชิ้นส่วนในเครื่องยนต์จะได้รับการหล่อลื่นที่สมบูรณ์แบบตลอดเวลาแม้ขณะมีแรงเหวี่ยงสูง

●   เคลือบกระบอกสูบด้วยเทคโนโลยี NANOSLIDE ที่จดสิทธิบัตรแล้ว ทำให้ผิวกระบอกสูบมีคุณสมบัติคล้ายกระจก มีความแข็งมากกว่าปลอกสูบเหล็กหล่อธรรมดาถึง 2 เท่า จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน NANOSLIDE ถูกพัฒนาโดยเดมเลอร์ เอจี ถูกใช้ครั้งแรกในเครื่องยนต์ AMG รหัส M 156 V8 รวมทั้งเครื่องยนต์ฟอร์มูลา วัน ทีม Mercedes AMG Petronas Motorsport

●   ฝาสูบมีการปรับตำแหน่งและองศาของหัวฉีดและหัวเทียน เพื่อให้สามารถใช้วาล์วไอเสียขนาดใหญ่กว่ารุ่นเดิมได้ ส่งผลให้ไอเสียวิ่งออกจากห้องเผาไหม้ได้เร็วขึ้น แคมชาร์ฟ 2 ตัว สำหรับควบคุมวาล์ว 16 ตัว แปรผันได้ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย เพื่อให้เครื่องยนต์มีการตอบสนองที่ดี มาพร้อมระบบ CAMTRONIC แปรผันเวลาเปิด-ปิดวาล์วฝั่งไอเสียด้วยชุดลูกเบี้ยว 2 ตัวในแต่ละวาล์ว ลูกเบี้ยวแต่ละตัวมีองศาที่แตกต่างกัน ระบบจะเลือกใช้ลูกเบี้ยวตัวไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพการขับในขณะนั้น เพื่อการตอบสนองที่ดีและการทำงานของเครื่องยนต์ที่ราบเรียบ ในรอบต่ำ ประหยัดเชื้อเพลิงที่รอบกลาง และให้สมรรถนะสูงสุดที่รอบสูง

●   ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จ และระบบฉีดเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้ พร้อมระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าก่อนจุดระเบิด ไม่เพียงเพิ่มสมรถนะของเครื่องยนต์ แต่ยังมีผลในด้านการควบคุมอุณหภูมิในห้องเผาไหม้ ลดได้ทั้งอัตราสิ้นเปลืองและมลพิษ โดยเป็นครั้งแรกที่ใช้หัวฉีดแบบ 2 สเตจ สเตจแรกจะฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงตรงในห้องเผาไหม้ด้วยแรงดัน 200 บาร์ จากนั้นหัวฉีดเสริมที่ติดตั้งในท่อร่วมไอดี ควบคุมการทำงานด้วยโซลินอยด์วาล์วและระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะสั่งให้ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยแรงดัน 6.7 บาร์

●   ระบบการหล่อเย็นทั้งฝาสูบและเสื้อสูบ ถูกออกแบบให้มีการระบายความร้อนที่แตกต่างกัน เสื้อสูบระบายความร้อนด้วยน้ำและปั๊มน้ำแบบกลไก เพื่อลดความร้อนจากการเผาไหม้ ส่วนเสื้อสูบใช้ปั๊มน้ำไฟฟ้าซึ่งจะยังไม่ทำงานทันทีเพื่อให้เครื่องยนต์มีอุณหภูมิที่เหมาะสม จากนั้นปั๊มไฟฟ้าจะทำงานเพื่อให้เสื้อสูบมีความร้อนเล็กน้อย เพื่อลดความฝืดของเครื่องยนต์

●   ส่งกำลังด้วยเกียร์ AMG SPEEDSHIFT DCT 8G ดูอัลคลัทช์ พร้อมฟังก์ชั่น AMG DYNAMIC SELECT เลือกโหมดการขับได้ 6 แบบ คือ Slippery, Comfort, Sport, Sport +, Individual และ RACE นอกจากนี้ยังสามารถเลือกระดับการทำงานของ ESP ได้ โดยจะสัมพันธ์กับ 6 โหมดการขับ ประกอบด้วย Basic ใช้ได้ในโหมดขับ Slippery และ Comfort, Advanced ใช้ในโหมดขับ Sport, Pro ใช้ในโหมดขับ Sport+ และ Master ใช้ในโหมดขับ RACE

●   ระบบกันสะเทือนปรับปรุงใหม่ทั้งสปริงและช๊อคฯ เพื่อให้ตัวรถมีความมั่นคง เข้าโค้งได้เฉียบคมและมีการโคลงตัวน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็มีการปรับปรุงในเรื่องความสะดวกสบายเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัต ปีกนกล่างอะลูมิเนียมออกแบบให้อยู่ต่ำกว่าแนวแกนล้อ เพิ่มความสะดวกสบายและการตอบสนองที่ฉับไว ช่วงล่างหลังแบบอิสระมัลติลิงก์ 4 จุดยึด เพิ่มความแข็งแรงในจุดที่เชื่อมต่อกับโครงสร้างรถ มาพร้อมทางเลือก AMG RIDE CONTROL ชุดช่วงล่างแบบแปรผัน ระบบเบรกแบบต้านการ Fade คาลิเปอร์แบบชิ้นเดียว 4 ลูกสูบ จานเบรกหน้า 350×34 มิลลิเมตร และด้านหลัง 330×22 มิลลิเมตร มีทั้งครีบและเจาะรูระบายความร้อน ส่วนรุ่น S เพิ่มความมั่นใจด้วยคาลิเปอร์ 6 ลูกสูบ กับจานเบรกหน้าขนาด 360×36 มิลลิเมตร

(2) Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC SUV/Coupe

●   GLC รุ่นปรับโฉม เปลี่ยนกระจังหน้าสไตล์ AMG ปรับดีไซน์ของไฟหน้า-ไฟท้าย รวมทั้งฝากระโปรงหน้าและหลัง เพื่อให้เข้ากับปลายท่อคู่ทรงมน ล้อแม็กติดรถขนาด 19 นิ้ว และมีลายอื่นขนาด 19-21 นิ้วให้เลือก ภายในสปอร์ตหรูหราสมฐานะเอสยูวีขนาดกลาง ให้เบาะนั่งทรงสปอร์ตเป็นมาตรฐาน ตกแต่งด้วยหนังสีดำ ARTICO และไมโครไฟเบอร์ DINAMICA ติดตั้งระบบ MBUX ควบคุมง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส แสดงผลบนจอคมชัดขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว และ 10.25 นิ้ว เพิ่มลูกเล่นสมกับรุ่น AMG ด้วยหน้าจอที่เลือกสไตล์ได้ทั้ง Sport, Supersport และ Classic

●   ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี6 ไบเทอร์โบ 2,996 ซีซี ปรับปรุงใหม่เพาะพันธุ์ม้าเพิ่ม 23 ตัว รวมเป็น 390 แรงม้า แรงบิด 53 กก.-ม. ที่ 2,500-4,500 รอบต่อนาที เกียร์ AMG SPEEDSHIFT TCT-Torque-Clutch Transmission 9G เสริมสมรรถนะให้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบ่งกำลังหน้า:หลัง 31:69 เปอร์เซ็นต์ พร้อมระบบ AMG DYNAMIC มี 5 โปรแกรมการขับให้เลือก Slippery, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.9 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 9.4-9.8 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยมลพิษ 232-242 กรัมต่อกิโลเมตร

●   ระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ ให้มาครบๆ ทั้ง AIR BODY CONTROL ที่ทำงานร่วมกับ ADS PLUS หรือ Adaptive Damping System ให้ทั้งความสปอร์ตและนุ่มนวลด้วย ช่องอากาศภายในถุงลมที่มีหลายช่อง สามารถปรับตามน้ำหนักบรรทุกได้ด้วย ทำให้ตัวรถมีความเสถียร และปรับตัวรถให้ต่ำลงลงเมื่อใช้ความเร็วสูง เพื่อลดการต้านลมและเพิ่มความมั่นคง มี 3 โหมดให้เลือกปรับ คือ Comfort, Sport และ Sport+

●   ติดตั้งระบบข้อมูลความบันเทิงเวอร์ชั่นล่าสุด MBUX ที่ใช้งานง่าย เมื่อรวมเข้ากับพื้นที่ในห้องโดยสารที่กว้างขวาง และที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ทำให้เอสยูวีที่ทรงพลังรุ่นนี้ สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืน

(3) Mercedes-Benz GLB

●   เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษ การออกแบบตัวรถให้มีระยะโอเวอร์แฮงค์ที่สั้น และระบบตรวจสอบสิ่งกีดขวางด้านหน้าในความเร็วต่ำ ทำให้ GLB เป็นเอสยูวีไซส์เล็กรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีรุ่น 7 ที่นั่งให้เลือก โดยเบาะแถว 3 ทั้ง 2 ตำแหน่ง สามารถรองรับผู้โดยสารที่มีความสูงระดับ 168 เซนติเมตรได้อย่างสบาย

●   ตัวรถมีความยาว 4,634 มิลลิเมตร กว้าง 1,834 มิลลิเมตร สูง 1,658 มิลลิเมตร (รุ่น 7 ที่นั่งสูง 1,662 มิลลิเมตร) ฐานล้อ 2,829 มิลลิเมตร เฮดรูมเบาะแถวหน้า 1,035 มิลลิเมตร ดีที่สุดในกลุ่มเดียวกัน และพื้นที่วางขาด้านหลัง 967 มิลลิเมตร สำหรับเบาะแถว 2 ในรุ่น 5 ที่นั่ง ก็ทำให้ผู้โดยสารด้านหลังได้รับความสะดวกสบาย ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุ 560-1,755 ลิตร (ในรุ่น 5 ที่นั่ง)

●   GLB 200 เครื่องยนต์รหัส M 282 เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 1,332 ซีซี 163 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 25.5 กก.-ม. ที่ 1,620-4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 9.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 207 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.1-16.6 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยมลพิษ 137-142 กรัมต่อกิโลเมตร

●   GLB 250 4MATIC เครื่องยนต์รหัส M 260 เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 1,991 ซีซี เสื้อสูบอะลูมิเนียม ปลอกสูบเหล็กหล่อ คว้านกระบอกสูบด้วยวิธี CONICSHAPE® หรือเรียกกันว่า trumpet-honing ด้านล่างของกระบอกสูบจะกว้างขึ้นเล็กน้อย ช่วยลดความฝืด ลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ฝาวาล์วอะลูมิเนียมแบบทวินแคม 16 วาล์ว มีระบบ CAMTRONIC แปรผันระยะยกวาล์วฝั่งไอดี มีกำลัง 224 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. ที่ 1,800-4,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8G-DCT เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 236 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.5-13.8 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยมลพิษ 165-169 กรัมต่อกิโลเมตร

●   และรุ่นดีเซล 3 รุ่นย่อย ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน OM 654q แบบดีเซล 4 สูบ 1,951 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ 8G-DCT ผ่านมาตรฐาน EURO 6 รุ่น GLB 200 d และ 4MATIC มีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400/4,440 รอบต่อนาที แรงบิด 36.2 กก.-ม. ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 9.0 และ 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 204 และ 201 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 20-20.4 และ 19.2-18.1 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยมลพิษ 129-133 และ 136-144 กรัมต่อกิโลเมตร ตามลำดับ

●   รุ่นท๊อปของดีเซลคือ GLB 220 d 4MATIC มีกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิด 40.7 กก.-ม. ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 217 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 19.2-18.1 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยมลพิษ 138-146 กรัมต่อกิโลเมตร

(4) Mercedes-Benz EQV 300

●   เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวรถต้นแบบ Concept EQV ในเจนีวา มอเตอร์โชว์ มีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุดในแฟรงค์เฟิร์ต เบนซ์นำเสนอความคืบหน้าของรถรุ่นนี้อีกครั้ง โดยจะเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่มรถ EQ ในอนาคต ชาร์จไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง ขับได้ 405 กิโลเมตร ใช้เวลา 45 นาที ในการชาร์จจาก 10-80 เปอร์เซ็นต์ ชุดขับเคลื่อนหรือ eATS Electric drive train ติดตั้งอยู่ด้านหน้ารถ ขับเคลื่อนล้อหน้า และมีช่องสำหรับชาร์จไฟฟ้าที่มุมกันชน มอเตอร์มีกำลังขับ 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า แรงบิด 36.8 กก.-ม. รับไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ติดตั้งไว้ใต้พื้นรถในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้รถมีการทรงตัวที่ดี ตัวแบตเตอรี่มีระบบระบายความร้อนติดตั้งรวมอยู่ในชุดเดียวกัน สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   การชาร์จไฟฟ้า ทำได้สะดวกด้วย Mercedes-Benz Wallbox Home กระแสไฟฟ้า 11 กิโลวัตต์ และรองรับระบบการชาร์จแบบ CCS หรือ Combined Charging Systems ด้วยระบบไฟฟ้ากระแสตรง ช่วยลดเวลาในการชาร์จไฟฟ้าลงได้อีก ในยุโรป EQV สามารถชาร์จด้วยกระแสสูงสุด 110 กิโลวัตต์ที่สถานีชาร์จ จะใช้เวลาเพียง 45 นาที ในการชาร์จจาก 10-80 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการชาร์จด้วย Wallbox หรือสถานีชาร์จสาธาณะที่ใช้ไฟ AC 11 กิโลวัตต์ จะใช้เวลาชาร์จเต็มประมาณ 10 ชั่วโมง

●   รูปลักษณ์ออกแบบตามสไตล์รถในกลุ่ม EQ กระจังหน้าสีดำตัดกับครีบสีโครเมียม ล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว ลวดลายเฉพาะสำหรับรถไฟฟ้า ภายในติดตั้งระบบ MBUX พร้อมหน้าจอสัมผัส ความละเอียดสูงขนาด 10 นิ้ว มีระบบสั่งงานด้วยเสียง รถมี 2 รุ่น คือ แบบมาตรฐาน มีความยาว 5,140 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,200 มิลลิเมตร และรุ่นเพื่อการพาณิชย์ ตัวรถยาว 5,370 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 3,430 มิลลิเมตร ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายจุ 1,030 ลิตร (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ติดตั้ง)

(5) ESF 2019

●   ESF อักษรนำหน้าจากภาษาเยอรมนี Experimental-Sicherheits-Fahrzeug หรือในภาษาอังกฤษ Experimental Safety Vehicle รถต้นแบบรุ่นล่าสุดปี 2019 ใช้พื้นฐานจาก GLE ปลั๊ก-อิน ไฮบริด โดย ESF 2019 มาพร้อมระบบขับอัตโนมัติ หรือ Autonomous Driving เลเวล 4 ผู้ขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัย และไม่ต้องมองถนน

●   หลายทศวรรษที่ผ่านมา ตัวเลขจากสถิติได้พิสูจน์แล้วว่า ระบบความปลอดภัยมีส่วนช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุได้อย่างต่อเนื่อง มากกว่ากล้องตรวจจับความเร็วอย่างที่บางคนคิด วิศวกรของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีส่วนสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เพื่อเทคโนโลยีความปลอดภัย และได้นำเสนอสู่สาธารณะชนผ่านทาง อนุสัญญาความปลอดภัยขั้นสูงของยานพาหนะ หรือ Enhanced Safety of Vehicle (ESV) ซึ่งเริ่มในปี 1970 และทยอยนำนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยเหล่านั้น ไปประยุกต์ใช้กับรถยนต์ในสายการผลิต

●   ในช่วงปี 1973 รถต้นแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น เข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงดึง จากนั้นก็พัฒนาอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เช่น ABS ในปี 1979, แอร์แบ็กผู้ขับในปี 1980 และแอร์แบ็กด้านข้างในปี 1995 รถต้นแบบ ESF รุ่นปี 2009 เปิดตัวพร้อมระบบความปลอดภัยใหม่ๆ เช่น ถุงลมเข็มขัดนิรภัย, ถุงลมช่วยเบรก ติดตั้งใต้ท้องรถ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะสร้างความฝืดกับพื้น ช่วยลดความเร็วของยานพาหนะ ระบบป้องกันเด็กด้วยเฟรมโลหะล้อมรอบเบาะเด็ก, ระบบเกราะป้องกันแบตเตอรี่ไฮบริด, ระบบความปลอดภัยก่อนการชน Pre-Safe แบบต่างๆ ระบบแอร์แบ็กระหว่างเบาะคู่หน้า รวมทั้งระบบไฟหน้า LED แบบ Multibeam หลายระบบความปลอดภัย ถูกติดตั้งในรถต้นแบบ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส

●   สำหรับ ESF 2019 รุ่นใหม่นี้ ติดตั้งระบบความปลอดภัยต้นแบบไว้มากมาย ไฮไลต์อยู่ที่การติดตั้งสัญญาณไฟแบบต่างๆ ไว้รอบคัน เพื่อแจ้งข้อมูลให้ผู้ใช้ถนนคนอื่นด้วยว่ารถกำลังจะทำอะไร ด้านหน้าบริเวณกระจัง ติดตั้งจอไฟ LED แสดงอารมณ์ต่างๆ รวมทั้งสัญญาณเพื่อแจ้งผู้ใช้รถที่อยู่ด้านหน้าให้เข้าใจว่ารถกำลังจะทำอะไรต่อไป สามารถประยุกต์ใช้กับคนเดินถนนที่กำลังข้ามถนนหรือแจ้งข้อมูลว่ามีรถคันอื่นกำลังมาก็ได้ เมื่อขับด้วยระบบอัตโนมัติแล้วพบว่ามีคนกำลังจะข้ามถนน จอ LED จะแจ้งข้อมูลให้คนเดินถนนทราบว่าจะหยุดรถให้ เพื่อให้คนข้ามถนนได้อย่างมั่นใจ ไม่ลังเลว่ารถจะหยุดให้หรือเปล่า รวมทั้งการใช้สีที่ไวต่อกระแสไฟฟ้าที่ตัวรถด้านข้าง เพื่อเตือนคนเดินถนนหรือผู้ใช้จักรยานที่กำลังจะข้ามถนน และสามารถเปิดไฟสูงเตือนและเตือนด้วยสัญญาณเสียง เมื่อตรวจพบว่ามีรถกำลังขับเข้ามาด้วยความเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการชน

●   ระบบนี้ถูกนำไปใช้กับกระจกบานหลัง เพื่อแสดงข้อมูลหรือส่งข้อความเตือนผู้ที่ขับรถตามมาว่า กำลังจะหยุดรถด้วยเหตุผลอะไร และเป็นจอแสดงภาพด้านหน้ารถให้ผู้ที่ขับตามมาเห็นภาพด้วย สุดท้ายคือสัญลักษณ์เตือนรูปสามเหลี่ยม ที่จะตั้งขึ้นบนหลังคา และมีหุ่นยนต์ป้ายเตือน ถูกปล่อยออกจากด้านท้ายรถและเคลื่อนที่ไปด้านหลังรถในระยะที่เหมาะสม เพื่อเตือนผู้ที่ขับรถตามมาให้ระวัง

●   ภายในห้องโดยสาร เมอร์เซเดส-เบนซ์ แทนที่พวงมาลัยแบบดั้งเดิม ด้วยคันบังคับที่สามารถพับเก็บได้ เช่นเดียวกับแป้นเหยียบ เมื่อผู้ขับเลือกใช้โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ ช่วยลดความบาดเจ็บจากการกระแทกหากเกิดอุบัติเหตุ และทำให้สามารถติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยได้อย่างอิสระมากขึ้น

●   เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ มาพร้อมระบบ Pre-Safe Child ตัวเบาะสามารถปรับหมุนได้หลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานและสรีระของเด็ก มาพร้อมไฟแจ้งตำแหน่งของเบาะ และระบบเตือนให้ติดตั้งเบาะให้ถูกต้องเข้าที่ โดยใช้ระบบแสงเซ็นเซอร์เพื่อตรวจว่าตำแหน่งไหนของเบาะยังไม่เข้าที่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งสำหรับเด็ก สามารถเชื่อมต่อกับพอร์ต USB-C เพื่อตรวจสอบการเต้นของหัวใจของเด็ก และมีกล้องวงจรปิด ถ่ายทอดภาพของเด็กไปยังจอแสดงข้อมูลความบันเทิงด้านหน้าผู้ขับได้ ซึ่งจะมีประโยชน์มากเมื่อต้องติดตั้งเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กในตำแหน่งที่เด็กหันหน้าไปทางท้ายรถ ทำให้เห็นพฤติกรรมของเด็กได้โดยไม่ต้องหันไปดู หรือมองผ่านกระจกส่องหลัง

Mercedes-Benz@IAA 2019 : Show Premiers

อ่านตอนที่ 1 :Mercedes/Press Conference@IAA 2019
อ่านตอนที่ 2 :Mercedes’s World Premier@IAA 2019
อ่านตอนที่ 3 :Mercedes’s Show Premiers@IAA 2019
อ่านตอนที่ 4 :Mercedes-Benz EQ Formula E Team