Chevrolet Colorado Jungle Drive Experience
เรื่อง-ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ
● เชฟโรเลต ประเทศไทย จัดกิจกรรม Chevrolet Colorado Jungle Drive Experience พาสื่อมวลชนไปรับลมหนาวที่จังหวัดเพชรบูรณ์ พิสูจน์สมรรถนะและความแกร่งบนเส้นทางออฟโรด ชมพระอาทิตย์ตกดินแบบ 360 องศาที่ยอดผาตัดที่อำเภอเขาค้อ สัมผัสธรรมชาติของป่าสนสองใบที่ทุ่งนางพญาเมืองเลน ในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เดินทางด้วยปิกอัพอเมริกันพันธุ์แกร่ง เชฟโรเลต โคโลราโด 4 รุ่นย่อย ไฮคันทรี, ไฮคันทรี สตอร์ม, มิดไนท์ อีดิชั่น และ โฟร์ท ออฟ จูลาย อิดิชั่น
● เริ่มต้นการเดินทางด้วยการนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินจังหวัดเลย สนามบินขนาดกะทัดรัด ให้บรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง แต่ยังคงมาตรฐานความเข้มงวดในการตรวจตราผู้โดยสารและสัมภาระ ลงเครื่องแล้วทีมงานเชฟโรเลต พาขึ้นรถตู้ไปเติมพลังมื้อกลางวันที่ร้านบ้านร่มไม้ อาหารไทยรสชาติเข้มข้นถูกปาก ทีมผู้บริหารจากเชฟโรเลตกล่าวต้อนรับสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ พร้อมบรรยายสรุปรายละเอียดผลิตภัณฑ์ จากนั้นจึงออกเดินทางด้วย เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี 4 ประตู นั่ง 4 คน มุ่งหน้ายอดผาตัด ที่ๆ จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกพร้อมกับพระจันทร์ขึ้น
● เชฟโรเลต โคโลราโด ใช้เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ รหัส XLDE25 LP2 ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว คอมมอนเรล ไดเรคอินเจคชั่น รีดสมรรถนะด้วยเทอร์โบแปรผัน พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 2,499 ซีซี 180 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร หรือ 45 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
● ช่วงขึ้นยอดผาตัดได้ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4H ซึ่งก็นับว่าเหลือเฟือ แม้สภาพเส้นทางจะค่อนข้างทุรกันดารมีร่องน้ำและหินตามธรรมชาติ แต่ด้วยตัวรถที่ออกแบบมาสำหรับขับบนทางออฟโรด ด้วยระยะโอเวอร์แฮงค์หน้า/หลัง 1,004/1,308 มิลลิเมตร ทำให้มีมุมปะทะและมุมจาก 23.3 และ 22.4 องศา กับระยะต่ำสุด 219 มิลลิเมตร อีก 2 ตัวช่วยที่ทำให้ขับลุยได้ง่ายและปลอดภัยขึ้นคือ (HDC) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA) เมื่อบวกกับประสบการณ์ของผู้ขับ ทำให้นำรถผ่านอุปสรรคไปได้โดยไม่เกิดความเสียหายและทำเวลาได้ดี
● บนยอดผามองลงไปเห็นพระธาตุผาซ่อนแก้วอยู่ลิบๆ ช่วงใกล้ค่ำอากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ดีว่ามีกาแฟรสชาติกลมกล่อมกับไส้กรอกร้อนๆ ช่วยให้คลายความหนาวได้ อยู่ส่งพระอาทิตย์จนลับตา แทนที่ด้วยแสงเรื่อๆ จากพระจันทร์ดวงโตที่ขึ้นเคียงข้างผาตัด จึงตั้งขบวนโคโลราโดเพื่อเดินทางกลับที่พัก บลูสกาย รีสอร์ท เขาค้อ
● เช็คอินเก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางด้วยรถคันเดิม เพิ่มเติมคือมีทีมงานผู้นำทางช่วยขับให้ ไปกินมื้อเย็นที่ร้าน จอลลี่ คาเฟ่ ที่จัดบรรยากาศแบบท้องทุ่งโอบล้อมด้วยอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส บาบีคิวที่ทำสดๆ กับเนื้อวัวย่างรสชาติอร่อย พร้อมขับกล่อมด้วยดนตรีสด ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น ทำให้หลายคนมารวมตัวกันหน้าเตาบาบีคิว กลับที่พักกลั้นใจอาบน้ำอาบท่า เพื่อที่ว่าวันรุ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องอาบ คืนนี้ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ เพราะแค่ความเย็นตามธรรมชาติก็เกินพอ
● วันรุ่งขึ้นตื่นกันแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังทุ่งแสลงหลวง ระยะทางจากที่พักไม่ไกลแค่ 50 กว่ากิโลเมตร แต่เส้นทางลัดเลาะบนภูเขา ต้องใช้เวลากว่า 1.30 ชั่วโมง ช่วงออฟโรดสภาพเส้นทางไม่โหดเท่าเมื่อวาน และเป็นการเดินทางช่วงหน้าหนาวไม่ใช่หน้าฝน สภาพทางจึงไม่เปียกลื่น ยางเดิมๆ กับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อก็ไปได้สบายๆ ทำเวลาได้ดี เข้าไปซึมซับบรรยากาศของป่าสนสองใบที่ทุ่งนางพญาเมืองเลน ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เพราะทุ่งแสลงหลวงหรือทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของไทย มีพื้นที่ประมาณ 789,000 ไร่ หรือ 1,262.40 ตารางกิโลเมตร
● ใช้เวลาตรงนี้เกือบชั่วโมงเพื่อให้คุ้มค่ากับการเดินทางเข้ามา ระหว่างนั้นก็มีกาแฟร้อนให้จิบแก้ง่วง หรือใครหิวเพราะกินมื้อเช้าที่โรงแรมไม่ทัน ก็มีก๋วยจั๊บอร่อยๆ ไว้รองท้องก่อนมื้อกลางวัน ออกจากทุ่งแสลงหลวง มุ่งหน้ากลับจังหวัดเลยเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ไฟล์ทเย็น ระหว่างทางแวะฝากท้องมื้อกลางวันที่ร้านกาแฟตั๊กม้อ ปลุกความสดชื่นด้วยกาแฟที่ร้านเลอบอนเนอร์ ก่อนมุ่งหน้ากลับจังหวัดเลย
● ทริปนี้รับหน้าที่เป็นผู้โดยสารตลอดเส้นทางกว่า 450 กิโลเมตร เพื่อบันทึกภาพ นั่งเบาะหน้าแค่ช่วงสั้นๆ นอกนั้นนั่งเบาะหลังพร้อมสัมภาระและถุงยังชีพ ความกว้างขวางถือว่าเหลือเฟือ ทั้งที่ผู้ขับมีความสูงเกิน 180 เซนติเมตร พนักพิงเบาะหลังชันไปนิด ถ้าเลื่อนเบาะนั่งด้านหลังไปข้างหน้านิดหน่อย เพื่อให้มีพื้นที่ให้พนักพิงเอนได้อีกแค่ 2-3 องศาก็จะนั่งสบายขึ้นเยอะ
● การเก็บเสียงทำได้ดี โดยเฉพาะในช่วงเดินทางด้วยความเร็วปกติ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ยินเสียงลมปะทะและเสียงยางแค่แผ่วๆ ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังคานแข็งแหนบซ้อน เซตมานุ่มเพราะเป็นรุ่น 4 ประตู เน้นโดยสารมากกว่าบรรทุกของ นั่งนุ่มสบายพอตัว แต่ถ้าใช้ความเร็วสูงหรือเข้าโค้งแคบๆ ด้วยความเร็วสูง จะรู้สึกว่านิ่มยวบไปนิด ช่วงลุยออฟโรดทำได้หนักแน่นดี ทั้งจังหวะรูดด้วยความเร็วและการหยอดไต่หลุม พละกำลังของเครื่องยนต์หายห่วง โดยเฉพาะการขับแบบออฟโรดที่มีเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วยทดเพิ่มแรงบิดได้อีก ●
ขอบคุณ เชฟโรเลต ประเทศไทย อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง