ทำความรู้จัก K-Car หรือ Kei Car ในตลาดญี่ปุ่นกันเถอะ
เรื่อง : Panda Trueno
● ก่อนที่ Eco Car จะเป็นหัวข้อสนทนาของบรรดาคนใช้รถใช้ถนนบ้านเราในยุคหนึ่ง รถ K-Car หรือ Kei Car ที่มีจำหน่ายเฉพาะในตลาดญี่ปุ่นนั้น ผมเชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกันดี แต่บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้ ทว่าไม่ทราบถึงเรื่องราวความเป็นมาของมัน
● จะว่าไปแล้ว Kei Car ก็มีต้นกำเนิดในลักษณะที่คล้ายกับ Eco Car ในบ้านเรา คือ เป็นรถยนต์ที่เกิดขึ้นในยุคเฟื่องฟูของรถยนต์ในญี่ปุ่น และรถยนต์กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าของ
● คำนี้เรียกได้ 3 แบบ คือ Kei car, K-car หรือ keijidosha (lit., light automobile) ซึ่งคำหลังสุดเป็นชื่อเต็ม และความหมายของรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ รถยนต์ขนาดเล็กที่มีน้ำหนักเบา ซึ่ง ไคจิโดฉะ เป็นเซ็กเมนท์รถยนต์ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ได้รับการออกแบบ และพัฒนาภายใต้พิกัดการเสียภาษี และการประกันภัยที่มีรูปแบบเฉพาะของญี่ปุ่น
Mazda R360 หนึ่งในต้นกำเนิด Kei Car ในประเทศญี่ปุ่น
● จุดเริ่มต้นของ Kei Car มีขึ้นหลังจากที่ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการเป็นผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอน เมื่อเศรษฐกิจและบ้านเมืองฟื้น ความต้องการของคนก็ฟื้นตาม รถยนต์ก็กลายเป็นอีกอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งคนในยุคนั้นเมื่ออยู่ดีกินดีขึ้น ความต้องการก็เปลี่ยนจากจักรยานมาเป็นมอเตอร์ไซค์ และจากมอเตอร์ไซค์ก็มาเป็นรถยนต์ที่มีราคาพอที่จะเป็นเจ้าของได้
● K-Car ถือเป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของประเภทรถยนต์ ซึ่งบัญญัติขึ้นโดย Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism of Japan คุณสมบัติโดยรวมคือ มีจำนวนที่นั่งสูงสุดไม่เกิน 4 ที่นั่ง ความยาวสูงสุดไม่เกิน 4 เมตร ความกว้างสูงสุดไม่เกิน 1.48 เมตร และขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 0.66 ลิตร
● K-Car เป็นรถยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อตอบรับกับลูกค้าที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อมอเตอร์ไซค์ แต่ยังไม่มากพอที่จะไต่ไปถึงรถยนต์นั่งในขนาดปกติได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วแนวคิดนี้ก็เหมือนกับที่ ทาทา เคยเปิดตัว TATA Nano ออกมา และเมื่อบวกกับความต้องการให้อุตสาหกรรมรถยนต์มีการขยายตัว มาตรฐานของ Kei-Car ก็เลยถูกจัดตั้งขึ้นมา
● Osamu Ito หัวหน้าส่วนสื่อสารองค์กรของ Keijidosha manufacturers’ association กล่าวว่า “Kei Car ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อสนองตอบความต้องการของคนทั่วไป ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1950-1960 ในยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัว และเศรษฐกิจเริ่มเบ่งบาน ไอเดียในการผลิตมินิคาร์ประเภทนี้ก็เลยเกิดขึ้น”
Honda N600 หนึ่งในต้นกำเนิดของ Kei Car และยังสืบสานมาเป็นรถในกลุ่ม N-Series ของฮอนด้าจนถึงทุกวันนี้ เช่น Honda N Box เป็นต้น
● จากการที่ตัวรถจะต้องใช้ป้ายทะเบียนที่เป็นสีเหลือง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าชื่อเล่นอีกชื่อของ Kei Car คือ Yellow-Plate Car โดยถ้าเป็นพื้นเหลืองตัวหนังสือดำก็เป็น Kei Car สำหรับการใช้งานส่วนบุคคล
● ที่ผ่านมา Kei Car มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น และก็มีแค่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำขึ้นมา แต่จากการนำเข้า Smart Fortwo เข้ามาตลาดญี่ปุ่น นั่นถือเป็นครั้งแรกที่ Kei Car มีรถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตจากแบรนด์ในญี่ปุ่นทำตลาด
● แน่นอนว่ารถยนต์ประเภทนี้ ถูกจำกัดในเรื่องของรายละเอียดทางวิศวกรรม ทั้งขนาดของตัวรถ ความจุของเครื่องยนต์และกำลัง แต่หากจะบอกว่ารถยนต์เหล่านี้คือ รถยนต์ราคาประหยัด ก็คงไม่ถูกนัก เพราะหลายผู้ผลิตรถยนต์ ต่างแข่งขันกันในการสร้างความโดดเด่นในตลาด Kei Car และมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาติดตั้งในรถยนต์ประเภทนี้หลายต่อหลายอย่าง
● นับจากข้อกำหนดแรกเริ่มในปี 1948 ปัจจุบัน Kei Car มีการปรับปรุงข้อกำหนดหลายครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และสภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สำหรับสเปกล่าสุดที่ใช้กันเป็นข้อกำหนดที่เกิดขึ้นในปี 1998
Suzuki ตระกูล R ซึ่งเริ่มเปิดตัวในปี 1993 เป็นหนึ่งในรถยนต์ Kei Car ยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นที่มียอดขายต่อปีสูงสุดมาหลายทศวรรษ
● แม้ดูแล้วบางคนอาจบอกว่าเหมือนกระป๋องติดล้อ แต่ด้วยราคาที่ไม่แพง การเสียภาษีที่ต่ำ ความประหยัดน้ำมัน สามารถซอกซอนไปตามตรอกซอกซอยในเมืองใหญ่ๆ ได้ ทำให้ Kei Car ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ซึ่ง 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่ขายในญี่ปุ่นช่วงปี 2008 คือรถยนต์ในกลุ่มนี้ Kei Car เป็นรถยนต์ที่มีความยาวไม่เกิน 3.4 เมตร กว้างไม่เกิน 1.48 เมตร และสูงไม่เกิน 2 เมตร เครื่องยนต์ก็ถูกจำกัดเอาไว้ไม่เกิน 660 ซีซี ทั้งหมดก็เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของญี่ปุ่น
● สำหรับในเรื่องของภาษีแล้ว ถือว่าจ่ายถูกมาก เพราะภาษีประจำปีของ Kei Car อยู่ที่ประมาณ 7,200 เยน หรือราว 2,660 บาท ต่างจากรถยนต์เครื่องยนต์ในพิกัดไม่เกิน 1,500 ซีซี ซึ่งต้องเสียมากถึง 34,000 เยน หรือ 12,580 บาทเลยทีเดียว ส่วนราคาขายก็มีระหว่าง 700,000 ถึง 1.6 ล้านเยน หรือ 260,000-592,000 บาท
● ปัจจุบัน 40% ของครอบครัวญี่ปุ่นจะมี Kei Car อยู่ในครอบครอง แต่น่าแปลกตรงที่ครอบครัวซึ่งอาศัยอยู่ในเมือง Kei Car มักจะเป็นรถยนต์คันที่ 2 หรือ 3 ส่วนครอบครัวที่อาศัยอยู่ชานเมืองจะเป็นรถยนต์คันแรก โดยตรงนี้ทาง Ito อธิบายว่าเป็นเพราะ Kei Car ที่ขายในญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นรถยนต์แบบ 2 กล่องท้ายตัดเท่านั้น แต่ยังมีตัวถังแบบ SUV หรือปิกอัพ รวมถึงรถตู้เล็กๆ ทำตลาดด้วย ซึ่งรถยนต์ในลักษณะนี้สามารถรองรับการบรรทุกได้ถึง 350 กิโลกรัมเลยทีเดียว
● “ถ้าได้ลองใช้แล้วจะรู้ว่า Kei Car มีจุดเด่นกว่ารถยนต์ปกติ ข้อแรกคือ ราคาถูก ข้อสอง ค่าบำรุงรักษาไม่แพงจนเกินไป และไม่กินน้ำมัน การจ่ายภาษีประจำปีก็ต่ำกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ และสุดท้าย ด้วยตัวถังที่แคบก็เลยมีความคล่องตัว” Ito ให้เหตุผล ●
ข้อกำหนดเกี่ยวกับ Kei Car ในญี่ปุ่น จากปี 1949 – 1998
ปีที่ออกกฏ | ยาวสูงสุด | กว้างสูงสุด | สูงสูงสุด | ความจุสูงสุด 4 จังหวะ | ความจุสูงสุด 2 จังหวะ | กำลังสูงสุด |
กรกฎาคม 1949 | 2.8 เมตร | 1 เมตร | 2 เมตร | 150 ซีซี | 100 ซีซี | ไม่ระบุ |
กรกฎาคม 1950 | 3 เมตร | 1.3 เมตร | 2 เมตร | 300 ซีซี | 200 ซีซี | ไม่ระบุ |
สิงหาคม 1951 | 3 เมตร | 1.3 เมตร | 2 เมตร | 360 ซีซี | 240 ซีซี | ไม่ระบุ |
เมษายน 1955 | 3 เมตร | 1.3 เมตร | 2 เมตร | 360 ซีซี | 360 ซีซี | ไม่ระบุ |
มกราคม 1976 | 3.2 เมตร | 1.4 เมตร | 2 เมตร | 550 ซีซี | 550 ซีซี | ไม่ระบุ |
มีนาคม 1970 | 3.3 เมตร | 1.4 เมตร | 2 เมตร | 660 ซีซี | 660 ซีซี | 64 แรงม้า PS |
ตุลาคม 1998 | 3.4 เมตร | 1.48 เมตร | 2 เมตร | 660 ซีซี | 660 ซีซี | 64 แรงม้า PS |