January 4, 2020
Motortrivia Team (10069 articles)

ทำความรู้จัก K-Car หรือ Kei Car ในตลาดญี่ปุ่นกันเถอะ

เรื่อง : Panda Trueno

●   ก่อนที่ Eco Car จะเป็นหัวข้อสนทนาของบรรดาคนใช้รถใช้ถนนบ้านเราในยุคหนึ่ง รถ K-Car หรือ Kei Car ที่มีจำหน่ายเฉพาะในตลาดญี่ปุ่นนั้น ผมเชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกันดี แต่บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้ ทว่าไม่ทราบถึงเรื่องราวความเป็นมาของมัน

●   จะว่าไปแล้ว Kei Car ก็มีต้นกำเนิดในลักษณะที่คล้ายกับ Eco Car ในบ้านเรา คือ เป็นรถยนต์ที่เกิดขึ้นในยุคเฟื่องฟูของรถยนต์ในญี่ปุ่น และรถยนต์กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าของ

●   คำนี้เรียกได้ 3 แบบ คือ Kei car, K-car หรือ keijidosha (lit., light automobile) ซึ่งคำหลังสุดเป็นชื่อเต็ม และความหมายของรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ รถยนต์ขนาดเล็กที่มีน้ำหนักเบา ซึ่ง ไคจิโดฉะ เป็นเซ็กเมนท์รถยนต์ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ได้รับการออกแบบ และพัฒนาภายใต้พิกัดการเสียภาษี และการประกันภัยที่มีรูปแบบเฉพาะของญี่ปุ่น

Mazda R360 หนึ่งในต้นกำเนิด Kei Car ในประเทศญี่ปุ่น

●   จุดเริ่มต้นของ Kei Car มีขึ้นหลังจากที่ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการเป็นผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอน เมื่อเศรษฐกิจและบ้านเมืองฟื้น ความต้องการของคนก็ฟื้นตาม รถยนต์ก็กลายเป็นอีกอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งคนในยุคนั้นเมื่ออยู่ดีกินดีขึ้น ความต้องการก็เปลี่ยนจากจักรยานมาเป็นมอเตอร์ไซค์ และจากมอเตอร์ไซค์ก็มาเป็นรถยนต์ที่มีราคาพอที่จะเป็นเจ้าของได้

●   K-Car ถือเป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของประเภทรถยนต์ ซึ่งบัญญัติขึ้นโดย Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism of Japan คุณสมบัติโดยรวมคือ มีจำนวนที่นั่งสูงสุดไม่เกิน 4 ที่นั่ง ความยาวสูงสุดไม่เกิน 4 เมตร ความกว้างสูงสุดไม่เกิน 1.48 เมตร และขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 0.66 ลิตร

●   K-Car เป็นรถยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อตอบรับกับลูกค้าที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อมอเตอร์ไซค์ แต่ยังไม่มากพอที่จะไต่ไปถึงรถยนต์นั่งในขนาดปกติได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วแนวคิดนี้ก็เหมือนกับที่ ทาทา เคยเปิดตัว TATA Nano ออกมา และเมื่อบวกกับความต้องการให้อุตสาหกรรมรถยนต์มีการขยายตัว มาตรฐานของ Kei-Car ก็เลยถูกจัดตั้งขึ้นมา

●   Osamu Ito หัวหน้าส่วนสื่อสารองค์กรของ Keijidosha manufacturers’ association กล่าวว่า “Kei Car ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อสนองตอบความต้องการของคนทั่วไป ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1950-1960 ในยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัว และเศรษฐกิจเริ่มเบ่งบาน ไอเดียในการผลิตมินิคาร์ประเภทนี้ก็เลยเกิดขึ้น”

Honda N600 หนึ่งในต้นกำเนิดของ Kei Car และยังสืบสานมาเป็นรถในกลุ่ม N-Series ของฮอนด้าจนถึงทุกวันนี้ เช่น Honda N Box เป็นต้น

●   จากการที่ตัวรถจะต้องใช้ป้ายทะเบียนที่เป็นสีเหลือง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าชื่อเล่นอีกชื่อของ Kei Car คือ Yellow-Plate Car โดยถ้าเป็นพื้นเหลืองตัวหนังสือดำก็เป็น Kei Car สำหรับการใช้งานส่วนบุคคล

●   ที่ผ่านมา Kei Car มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น และก็มีแค่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำขึ้นมา แต่จากการนำเข้า Smart Fortwo เข้ามาตลาดญี่ปุ่น นั่นถือเป็นครั้งแรกที่ Kei Car มีรถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตจากแบรนด์ในญี่ปุ่นทำตลาด

●   แน่นอนว่ารถยนต์ประเภทนี้ ถูกจำกัดในเรื่องของรายละเอียดทางวิศวกรรม ทั้งขนาดของตัวรถ ความจุของเครื่องยนต์และกำลัง แต่หากจะบอกว่ารถยนต์เหล่านี้คือ รถยนต์ราคาประหยัด ก็คงไม่ถูกนัก เพราะหลายผู้ผลิตรถยนต์ ต่างแข่งขันกันในการสร้างความโดดเด่นในตลาด Kei Car และมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาติดตั้งในรถยนต์ประเภทนี้หลายต่อหลายอย่าง

●   นับจากข้อกำหนดแรกเริ่มในปี 1948 ปัจจุบัน Kei Car มีการปรับปรุงข้อกำหนดหลายครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และสภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สำหรับสเปกล่าสุดที่ใช้กันเป็นข้อกำหนดที่เกิดขึ้นในปี 1998

Suzuki ตระกูล R ซึ่งเริ่มเปิดตัวในปี 1993 เป็นหนึ่งในรถยนต์ Kei Car ยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นที่มียอดขายต่อปีสูงสุดมาหลายทศวรรษ

●   แม้ดูแล้วบางคนอาจบอกว่าเหมือนกระป๋องติดล้อ แต่ด้วยราคาที่ไม่แพง การเสียภาษีที่ต่ำ ความประหยัดน้ำมัน สามารถซอกซอนไปตามตรอกซอกซอยในเมืองใหญ่ๆ ได้ ทำให้ Kei Car ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ซึ่ง 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่ขายในญี่ปุ่นช่วงปี 2008 คือรถยนต์ในกลุ่มนี้ Kei Car เป็นรถยนต์ที่มีความยาวไม่เกิน 3.4 เมตร กว้างไม่เกิน 1.48 เมตร และสูงไม่เกิน 2 เมตร เครื่องยนต์ก็ถูกจำกัดเอาไว้ไม่เกิน 660 ซีซี ทั้งหมดก็เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของญี่ปุ่น

●   สำหรับในเรื่องของภาษีแล้ว ถือว่าจ่ายถูกมาก เพราะภาษีประจำปีของ Kei Car อยู่ที่ประมาณ 7,200 เยน หรือราว 2,660 บาท ต่างจากรถยนต์เครื่องยนต์ในพิกัดไม่เกิน 1,500 ซีซี ซึ่งต้องเสียมากถึง 34,000 เยน หรือ 12,580 บาทเลยทีเดียว ส่วนราคาขายก็มีระหว่าง 700,000 ถึง 1.6 ล้านเยน หรือ 260,000-592,000 บาท

●   ปัจจุบัน 40% ของครอบครัวญี่ปุ่นจะมี Kei Car อยู่ในครอบครอง แต่น่าแปลกตรงที่ครอบครัวซึ่งอาศัยอยู่ในเมือง Kei Car มักจะเป็นรถยนต์คันที่ 2 หรือ 3 ส่วนครอบครัวที่อาศัยอยู่ชานเมืองจะเป็นรถยนต์คันแรก โดยตรงนี้ทาง Ito อธิบายว่าเป็นเพราะ Kei Car ที่ขายในญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นรถยนต์แบบ 2 กล่องท้ายตัดเท่านั้น แต่ยังมีตัวถังแบบ SUV หรือปิกอัพ รวมถึงรถตู้เล็กๆ ทำตลาดด้วย ซึ่งรถยนต์ในลักษณะนี้สามารถรองรับการบรรทุกได้ถึง 350 กิโลกรัมเลยทีเดียว

●   “ถ้าได้ลองใช้แล้วจะรู้ว่า Kei Car มีจุดเด่นกว่ารถยนต์ปกติ ข้อแรกคือ ราคาถูก ข้อสอง ค่าบำรุงรักษาไม่แพงจนเกินไป และไม่กินน้ำมัน การจ่ายภาษีประจำปีก็ต่ำกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ และสุดท้าย ด้วยตัวถังที่แคบก็เลยมีความคล่องตัว” Ito ให้เหตุผล  ●

ข้อกำหนดเกี่ยวกับ Kei Car ในญี่ปุ่น จากปี 1949 – 1998

ปีที่ออกกฏยาวสูงสุดกว้างสูงสุดสูงสูงสุดความจุสูงสุด 4 จังหวะความจุสูงสุด 2 จังหวะกำลังสูงสุด
กรกฎาคม 19492.8 เมตร1 เมตร2 เมตร150 ซีซี100 ซีซีไม่ระบุ
กรกฎาคม 19503 เมตร1.3 เมตร2 เมตร300 ซีซี200 ซีซีไม่ระบุ
สิงหาคม 19513 เมตร1.3 เมตร2 เมตร360 ซีซี240 ซีซีไม่ระบุ
เมษายน 19553 เมตร1.3 เมตร2 เมตร360 ซีซี360 ซีซีไม่ระบุ
มกราคม 19763.2 เมตร1.4 เมตร2 เมตร550 ซีซี550 ซีซีไม่ระบุ
มีนาคม 19703.3 เมตร1.4 เมตร2 เมตร660 ซีซี660 ซีซี64 แรงม้า PS
ตุลาคม 19983.4 เมตร1.48 เมตร2 เมตร660 ซีซี660 ซีซี64 แรงม้า PS