2021 Toyota Sienna เจนเนอเรชั่น 4 ไฮบริดทั้งไลน์อัพ

3.3Kviews

เรื่อง : AREA 54

● Toyota Sienna รถมินิแวน 5 ประตูในกลุ่ม Soccer mom หนึ่งในรถรุ่นขายดีของ Toyota USA เปิดตัวรุ่นใหม่แบบ All-New เจนเนอเรชั่น 4 เตรียมจำหน่ายภายในปี 2020 นี้ โดยจะปัดรุ่นปีไปเป็น 2021 ตามไตรมาส ความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ Sienna ใหม่ทุกรุ่นย่อยจะใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดทั้งหมด

● Sienna นับเป็นรถมินิแวนที่โตโยต้าทำการออกแบบและผลิตมาเพื่อลูกค้าในโซนอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ ฐานการผลิตหลักตั้งแต่เจนเนอเรชั่นแรกอยู่ที่โรงงาน Toyota Motor Manufacturing Indiana Inc. ในรัฐอินดีแอนา เริ่มทำตลาดครั้งแรกในช่วงปี 1997 เพื่อทำตลาดแทนที่ Toyota Previa (หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Toyota Estima) กล่าวได้ว่า Sienna เป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นสำคัญของโตโยต้า สหรัฐฯ จนถึงปัจจุบันนี้

● สำหรับรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่น 4 โตโยต้าระบุว่างานออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถไฟความเร็วสูงชิงกันเซ็น ตัวรถพัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่ TNGA-K (กลุ่มย่อย GA-K) ซึ่งใช้งานอยู่ใน Toyota Avalon, Toyota Harrier หรือ Toyota RAV4 รุ่นปัจจุบัน เซ็ทอัพระบบขับเคลื่อนเป็นแบบเครื่องยนต์วางหน้า หมุนล้อแบบ all-wheel drive ชนิด On-Demand (Electronic AWD แบบเดียวกับ RAV4)

● ห้องโดยสารปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดวางอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด แผงแดชบอร์ดด้านหน้าดูเรียบง่าย แยกเป็น 2 ชั้น มาตรวัดหลังพวงมาลัยมีจอแสดงผลสีขนาด 7 นิ้วให้ข้อมูลผู้ขับ, เพิ่มความสะดวกด้วยจอ Head-up display, จอทัชสกรีนส่วนกลางสำหรับแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 9 นิ้ว จัดวางแบบลอยตัว

● จุดเด่นอยู่ที่คอนโซลกลางแบบ 2 ชั้น ชั้นบนใช้จัดวางชุดเกียร์ ออกแบบโดยคำนึงถึงสรีระของผู้ขับในขณะขับเป็นหลัก เมื่อผู้ขับละมือจากพวงมาลัยเพียงเล็กน้อย ก็จะเข้าถึงตำแหน่งคันเกียร์ได้ง่ายๆ ในขณะที่ชั้นล่างสามารถใช้วางสัมภาระส่วนตัวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ได้ เช่น กระเป๋าถือ โดโยต้าเรียกการออกแบบคอนโซลกลางในลักษณะนี้ว่า Bridge Console

● อุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มความสะดวกยังมี กระจกมองหลังแบบดิจิทัล เลือกการแสดงผลได้ระหว่างกล้องหลัง หรือภาพสะท้อนจากกระจกแบบปกติ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Android Auto หรือ Apple CarPlay, บริการผู้ช่วยเสมือน Amazon Alexa, จุดชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย, พอร์ท USB 7 จุด, ชุดระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ด้านหลังพร้อมจอ HD แยก, ชุดซาวด์ซิสเต็มของ JBL พร้อมลำโพง 12 จุด และมีฟังก์ชั่น kick-open สำหรับช่วยในการเปิดประตู ทั้งประตูด้านข้างแบบสไลด์ และประตูบานหลังด้วย

● รูปแบบเบาะมีการปรับปรุงใหม่ รองรับการติดตั้งเบาะได้ทั้งแบบ 7 หรือ 8 ที่นั่ง ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย อีกหนึ่งจุดเด่นคือเบาะแถว 2 รุ่นใหม่แบบกัปตันซีท พร้อมฟังก์ชั่นวางขาสไตล์เก้าอี้ Ottoman ในรุ่นท๊อปเกรด Limited หรือ Platinum สามารถปรับเลื่อนระยะได้มากเป็นพิเศษถึง 25 นิ้ว (Super-long slide) เพิ่มความสบายให้เบาะแถว 2 ในกรณีที่ไม่ได้ใช้งานเบาะทุกตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีระบบปรับอากาศแยกส่วนแบบ 4 โซน, มีเครื่องดูดฝุ่น และตู้เก็บความเย็นให้ใช้งาน

● Sienna ทุกรุ่นย่อยมากับระบบขับเคลื่อนไฮบริด Toyota Hybrid System II ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ส่งกำลังด้วยเกียร์ eCVT พร้อมแบตเตอรี่แพคสำหรับเก็บประจุไฟฟ้า โหมดในการขับเลือกได้ระหว่าง EV, Normal, Eco หรือ Sport เฉพาะเครื่องยนต์กำลังสูงสุด 189 แรงม้า (PS) กำลังรวมทั้งระบบ 246 แรงม้า ความสามารถในการลากจูงสูงสุด 3,500 ปอนด์ หรือประมาณ 1,587 กก.

● การหมุนล้อเป็นหน้าที่ของระบบ Electronic On-Demand All-Wheel-Drive ตัวระบบใช้ความสามารถของมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับล้อทั้งคู่หน้าและหลัง โดยมอเตอร์ไฟฟ้าตัวหลังจะแยกการทำงานออกมาเป็นอิสระ สามารถขับล้อคู่หลังได้ในยามที่ตัวรถต้องการการยึดเกาะเพิ่มเติม (On-Demand) การกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้า/หลังโดยพื้นฐานจะเป็นแบบ 100:0 (ขับหน้า) แต่หากตัวรถต้องการการยึดเกาะเพิ่มเติม ระบบจะปรับการกระจายแรงบิดเป็น 20:80 โดยอัตโนมัติ

● ชุดระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense 2.0 มีให้ทุกรุ่นย่อย ประกอบด้วย ระบบ Pre-Collision System with Pedestrian Detection/Lowlight Detection ช่วยเตือนก่อนการชน พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนนในสภาพแสงน้อย, ระบบ Full-Speed Range Dynamic Radar Cruise Control แปรผันความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่นกะระยะด้วยเรดาห์ในทุกช่วงความเร็ว, ระบบ Lane Departure Alert with Steering Assist ควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมฟังก์ชั่นช่วยดึงพวงมาลัยกลับ, ระบบ Lane Trace Assist ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเลนอย่างต่อเนื่อง, ระบบ Automatic High Beams ควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ และฟังก์ชั่น Road Sign Assist จดจำป้ายสัญญาณจราจร ปิดท้ายด้วยถุงลมนิรภัย 10 จุด

● โตโยต้ายังไม่ระบุราคาจำหน่าย Sienna ใหม่ในเวลานี้ครับ ฐานการผลิตยังคงอยู่ที่โรงงานในอินดีแอนาเช่นเดิม ●