June 12, 2020
Motortrivia Team (10185 articles)

ลองขับ Toyota Revo ROCCO 4×4 204 แรงม้า 500 นิวตันเมตร

เรื่อง-ภาพ-VDO : นาธัส แสงสุริยะ

●  ทิ้งช่วงหลังการให้สัมผัสคันจริงอย่างใกล้ชิด 1 สัปดาห์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ก็จัดกิจกรรมทดลองขับปิกอัพรุ่นท๊อป Toyota Hilux Revo Rocco Double Cab 4×4 2.8 AT เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ราคา 1.239 ล้านบาท ณ ศูนย์ทดสอบรถยนต์โตโยต้า Toyota Driving Experience Park หรือ TDEX ภายใต้การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด ทั้งการวัดอุณหภูมิ การขอความร่วมมือใส่หน้ากากอนามัยตลอดการร่วมกิจกรรม มีจุดบริการแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ การเช็ดทำความสะอาดรถยนต์ทดสอบทุกครั้งที่มีการสลับรถหรือสลับผู้ขับ และการเว้นระยะห่างที่เหมาะสมในทุกกิจกรรม

คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

ปรับปรุงใหม่ทั้งภายในและภายนอก

●  เริ่มต้นด้วยการกล่าวต้อนรับสื่อมวลชนโดย คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด DSC_4354 จากนั้น ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด รับหน้าที่บรรยายรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่แนวคิดในการออกแบบภายนอก ที่ต้องการให้มีความแข็งแกร่งดุดัน ด้วยการออกแบบด้านหน้าใหม่ทั้งหมด รวมทั้งไฟหน้าและไฟท้าย

ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด

●  รุ่นมาตรฐานใช้แนวคิด Tough & Recreational สำหรับรุ่น ROCCO มีการออกแบบให้แข็งแกร่งดุดันยิ่งขึ้น โดยออกแบบให้มีเอกลักษณ์และความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน เน้นเรื่อง Adventurous & Sophisticated มาพร้อมสีใหม่ Dark Blue Mica, Oxide Bronze Metallic และ Emotional Red ภายในมีมาตรวัดวามเร็วดีไซน์ใหม่ สำหรับรุ่น ROCCO มีการตกแต่งพิเศษสีเงินแบบ Hairline และโครเมียมรมดำ พร้อมไฟตกแต่งบริเวณข้างประตู (เฉพาะ ROCCO ดับเบิลแค็บ 4×4 และพรีรันเนอร์ ยกสูง 4×2)

ช่วงล่างปรับปรุงใหม่เพิ่มความนุ่มคงความแกร่ง

●  ปรับปรุงช่วงล่างเพิ่มความนุ่มนวลในการขับ (เฉพาะใน Revo 4×4 และพรีรันเนอร์ ยกสูง 4×2) ปรับช็อคฯ ให้ดูดซับแรงสั่นสะเทือนดียิ่งขึ้น ใช้แหนบ 3 แผ่น โดยแหนบแผ่นกลางเป็นแบบ High Tensile Steel น้ำหนักเบา แข็งแรงมากขี้น รองรับน้ำหนักบรรทุกได้เท่าเดิม ปรับปรุงบูชและจุดยึดต่างๆ ให้ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีขึ้น เปลี่ยนรูปทรงของชิ้นส่วนเพื่อลดแรงเสียดทาน ทั้งหมดนี้เพื่อความนุ่มนวลในการขับ

●  พวงมาลัยแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบ VFC หรือ Variable Flow Control ปรับน้ำหนักพวงมาลัยให้เหมาะสมกับทุกความเร็ว เบาลงที่ความเร็วต่ำและหนักขึ้นที่ความเร็วสูง ในโหมดการขับแบบ Sport (เฉพาะในฟอร์จูนเนอร์ 4×4 และ LEGENDER 2.8 4×2) ปรับให้พวงมาลัยหนักขึ้น และคันเร่งตอบสนองเร็วขึ้น ปรับปรุง Brake Actuator เพิ่มประสิทธิภาพการขับแบบออฟโรด และลดเสียงรบกวนของระบบ ปรับปรุงการทำงานของระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ VFC ในโหมดออฟโรด โดยลดน้ำหนักพวงมาลัยเพื่อให้ออกจากอุปสรรคได้ง่ายขึ้น เพิ่มฟังก์ชั่นแสดงตำแหน่งองศาของล้อบนหน้าจอ TFT และเซ็นเซอร์รอบคันเพื่อตรวจสอบสิ่งกีดขวาง

อัพเกรดแรงม้าทะลุ 200 ตัว

●  เครื่องยนต์ 2,800 ซีซี มีการปรับปรุงหลายจุด หลักๆ คือ การเปลี่ยนเทอร์โบขนาดใหญ่ขึ้น แกนเทอร์โบเป็นแบบลูกปืน ลดแรงเสียดทาน (เฉพาะเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ใน Revo 4×4 และฟอร์จูนเนอร์) หัวฉีด i-Art ควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงในแต่ละหัวฉีดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลูกสูบเพิ่มการเคลือบสาร Diamond-liked ที่แหวนลูกสูบ ลดแรงเสียดทาน ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง เพิ่มเพลาถ่วงสมดุลหรือ Balance Shaft ลดเสียงและแรงสั่นสะเทือน (เฉพาะเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรในฟอร์จูนเนอร์) ส่งผลให้มีกำลังสูงสุดเพิ่มจึ้นขึ้นจาก 177 เป็น 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 450 เป็น 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที และประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นสูงสุด 7 เปอร์เซ็นต์ ในรุ่น Revo ยกสูง และ 6 เปอร์เซ็นต์ ในฟอร์จูนเนอร์

●  ปรับปรุงเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ให้รองรับแรงม้าแรงบิดที่เพิ่มขึ้น โดยเพิ่มช่วง Lock-up ของ กียร์ 4-5-6 โดยเกียร์ 3 และ 4 Lock-up เร็วขึ้นในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลงจากเดิม 1,800 เป็น 1,600 รอบต่อนาที ในการขับแบบ 4×4 จะปรับลดรอบเดินเบา จาก 850 เหลือ 680 รอบต่อนาที เพิ่มการยึดเกาะถนน และควบคุมความเร็วในการออกตัวได้ง่ายขึ้น ปรับปรุงการตอบสนองของคันเร่ง เพื่อให้ควบคุมความเร็วบนทางออฟโรดได้ง่ายขึ้น

●  ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense (มีเฉพาะใน Revo ดับเบิลแค็บ 4×4, ROCCO 4×2 พรีรันเนอร์ และฟอร์จูนเนอร์ 4×4 และ 4×2 รุ่น 2.8 LEGENDER) ประกอบด้วยความปลอดภัยก่อนการชน PCS หรือ Pre-Collision System ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control และระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงความเร็วอัตโนมัติ LDA หรือ Lane Departure Alert

คุณเวสม์ เลี้ยงสุทธิสกนธ์ รักษาการผู้จัดการฝ่ายวางแผนคอนเนคเต็ด บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

Toyota T-Connect เชื่อมต่อเพื่อความสะดวกและปลอดภัย

●  คุณเวสม์ เลี้ยงสุทธิสกนธ์ รักษาการผู้จัดการฝ่ายวางแผนคอนเนคเต็ด บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด อธิบายเกี่ยวกับระบบ Toyota T-Connect รองรับการใช้งาน T-Connect และ Apple CarPlay ในทุกรุ่นย่อย ประกอบด้วย

  1. Always Located & Protect : ค้นหาตำแหน่งรถ ติดตามรถหาย ช่วยเหลือฉุกเฉิน และกำหนดขอบเขตปลอดภัย
  2. Telematics Care : แจ้งเตือนบำรุงรักษา ประกันภัยขับดีลดให้ และข้อมูลรถและการขับ
  3. Happiness Mobility : บริการผู้ช่วยส่วนตัว ทั้งการหาสถานที่ต่างๆ

●  ฟังก์ชั่น Fleet Telematic สำหรับรถที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ ทราบสถานะรถยนต์และผู้ขับ, ตรวจพิกัดรถแบบ Real Time, ค้นหาประวัติและเส้นทางเดินรถย้อนหลัง, รายงานการซ่อมบำรุง เตือนเข้าเช็ค เพื่อยืดอายุการใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารธุรกิจ 3 ด้าน ประหยัดเวลา ลดต้นทุน ยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการ

ลองขับเบาๆ ทั้งทางเรียบและทางลุย

●  การทดลองขับ ทำในศูนย์ทดสอบรถยนต์โตโยต้า Toyota Driving Experience Park ที่มีทั้งทางเรียบและทางออฟโรดครบวงจร ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค เอเซียแปซิฟิค ในส่วนของออฟโรดได้นั่งดูเส้นทาง 1 รอบ และขับเอง 1 รอบ ใช้โหมดขับเคลื่อน 4L ตลอดการทดลองขับ

●  เริ่มต้นก็ได้ตื่นเต้นเลยกับการไต่เนินชัน ยืนดูข้างล่างเหมือนไม่สูงเท่าไร ต้องขับเองถึงรู้ว่าชันมาก ไต่ขึ้นเนินไปแล้วหน้ารถเชิดขึ้นเห็นแต่ท้องฟ้า กับธงที่บอกระยะซ้าย-ขวา ขึ้นไปกลางเนินแล้วเบรกหยุด เพื่อทดลองระบบ HAC หรือ Hill-Start Assist Control ระบบทำงานอัตโนมัติ ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ เมื่อยกเท้าออกจากแป้นเบรก ระบบจะคงแรงดันน้ำมันเบรกให้อีก 3 วินาที เหลือเฟือสำหรับการยกเท้าขวาจากแป้นเบรกไปกดคันเร่ง แตะคันเร่งเบาๆ รถก็ไต่เนินต่อไปได้แบบนิ่มๆ ไม่ต้องมีการเร่งส่ง

●  ขึ้นไปถึงยอดเนินแล้วจอดนิ่งอีกครั้ง เพื่อกดปุ่มเปิดระบบ DAC หรือ Downhill Assist Control ช่วยลงทางลาดชันโดยผู้ขับไม่ต้องเหยียบเบรก ระบบนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ทำงานรวดเร็วขึ้น เมื่อรถเริ่มลงเนินก็จะเบรกให้ทันที จึงไม่มีช่วงวูบหรือเหวอเหมือนรุ่นเดิม ที่เมื่อลงเนินช่วงแรกระบบจะยังไม่เบรกให้ การเบรกของรุ่นใหม่นี้ก็นุ่มนวลขึ้น ไม่ได้ยินเสียงหรือการสั่นสะเทือนจากการเบรก ต่อเนื่องด้วยการขับผ่านหลุมลึกสลับซ้าย-ขวา ทดสอบระบบ L4 และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC แบบ A-TRC เบรกในล้อที่ลอยพ้นจากพื้น และส่งกำลังไปยังล้อที่อยู่ติดพื้น ช่วยให้ขับได้อย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล

●  หลังจากได้ทดลองขับแบบออฟโรดในโหมด 4L รู้สึกชัดเจนว่าการหมุนพวงมาลัยทำได้ง่ายขึ้น เลี้ยววงแคบได้โดยไม่มีอาการฝืนพวงมาลัย หมุนเลี้ยวได้ราบเรียบเบาแรง ช่วงขับผ่านเนินสลับ ช่วงล่างมีระยะให้ตัวค่อนข้างเยอะ จึงนุ่มนวลไม่กระแทก เครื่องยนต์แรงบิดสูง ใช้ Walking Speed ทำให้ขับผ่านได้นุ่มนวล ช่วงที่ต้องเติมคันเร่งก็ควบคุมได้ง่าย รถไม่กระชาก การส่งแรงบิดไปยังล้อที่มีโหลดหรือล้อที่ติดพื้น ทำได้อย่างนุ่มนวลเช่นกัน จึงขับได้อย่างต่อเนื่องและขับง่าย

●  ออนโรด เริ่มจากการขับสลาลอมแคบๆ ด้วยความเร็วต่ำ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อทดสอบความคล่องตัวและน้ำหนักพวงมาลัยที่มีการปรับปรุงใหม่ แต่หลังการทดสอบสื่อมวลชนหลายคนมีความเห็นตรงกันว่าพวงมาลัยหนักกว่าเดิมที่ความเร็วต่ำ ในช่วงถามตอบวิศวกรให้คำตอบว่า นอกจากการแปรผันน้ำหนักตามความเร็วรถแล้ว ยังแปรผันตามความเร็วในการหมุนพวงมาลัย และมุมของการหมุนพวงมาลัยด้วย เพื่อให้การแปรผันน้ำหนักสอดคล้องกับการใช้งานและมีความปลอดภัย

●  จากนั้นเร่งความเร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อทดสอบระบบ LDA หรือ Lane Departure Alert with Brake Force Assist แต่ใช้ความเร็วทะลุไป 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบไม่ตรวจจับเส้นแบ่งถนน ระบบจึงไม่ทำงาน รอบต่อไปเพื่อนขับที่ความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพอดีๆ เมื่อกำลังจะเบี่ยงออกนอกเลน พวงมาลัยจะดึงกลับนิดๆ พร้อมเบรกให้เล็กน้อย และมีสัญญาณเสียงเตือน

●  ต่อเนื่องด้วยสถานีสลาลอม ความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไพลอนวางห่างกัน 25 เมตร ใช้ความเร็วได้ค่อนข้างสูง แม้ตัวรถจะมีระยะต่ำสุดถึง 217 มิลลิเมตร แต่ก็ขับสลาลอมได้อย่างมั่นคง ช่วงล่างมีการยึดและยุบตัวที่หนึบหนืดจึงไม่เอียงวูบวาบ การหมุนพวงมาลัยราบเรียบต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติไม่เบาเกินไป จากนั้นลดความเร็วลงเพื่อเช้าสถานี Lane Change จำลองสถานการณ์หลบหลีกสิ่งกีดขวางแบบไม่เบรก ก็ยังควบคุมรถได้ง่ายและเบาแรง

●  จากนั้นเป็นช่วงทดสอบอัตราเร่ง รอบเครื่องยนต์ตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แต่เกียร์ยังทำงานค่อนข้างช้า ทำให้อัตราเร่งช่วงเกียร์ 3-4 ไม่ค่อยต่อเนื่อง ถึงจุดเบรก Instructor ที่นั่งไปด้วยบอกให้แตะแค่เบาๆ รู้สึกว่าเบรกตอบสนองดีมาก การจับตัวของผ้าเบรกและจานเบรกทำได้หนึบแน่น ไม่มีอาการเบรกทื่อ สร้างแรงเบรกได้หนักหน่วงและสัมพันธ์กับน้ำหนักเท้าที่กดแป้นเบรก ประสิทธิภาพของเบรกเป็นหนึ่งเรื่องที่น่าชื่นชม

●  ปิดท้ายด้วยการขับผ่านสภาพถนนจำลอง ทั้งคอสะพานที่ทรุด ด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การคืนตัวของช่วงล่างทำได้อย่างนุ่มนวลและไม่เด้งขึ้นลงหลายครั้ง จากนั้นเข้าสู่สถานี Ride Comfort ลดความเร็วลงเหลือ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือจะปล่อยไหลก็ได้ ขับผ่านลูกระนาดเตี้ยๆ แบบเนินสลับ ดูการโคลงของรถ เบี่ยงขวาเล็กน้อย เข้าสู่ผิวถนนที่ขรุขระ ทดสอบการเก็บเสียงและแรงสั่นสะเทือนเมื่อขับผ่าน เป็นอันเสร็จสิ้นการทดสอบ

●  Toyota Hilux Revo Rocco Double Cab 4×4 2.8 AT รูปลักษณ์เน้นความดุดันบึกบึน ตกแต่งเสร็จจากโรงงาน ภายในกว้างขวาง อุปกรณ์มาตรฐานเทียบชั้นเอสยูวี เครื่องยนต์แรงเหลือๆ สำหรับการใช้งานทั่วไป รองรับน้ำมันดีเซล B20 ระบบกันสะเทือนและพวงมาลัยปรับปรุงใหม่ ควบคุมง่ายและเบาแรงขึ้น มาพร้อมระบบเชื่อมต่อ T-Connect ที่น่าจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยุคใหม่ๆ อุ่นใจด้วยการรับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร พร้อมตรวจสอบฟรีตามระยะ 100,000 กิโลเมตร รองรับด้วยศูนย์บริการ 471 แห่งทั่วประเทศ   ●

Test Drive : 2020 Toyota Hilux Revo Rocco Double Cab 4×4 2.8 AT