November 14, 2020
Motortrivia Team (10191 articles)

Nissan Navara PRO-4X สัมผัสแรกในอารมณ์ออฟโรด

เรื่อง-ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

●  หลังการเปิดตัวสุดอลังการไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ นิสสันก็ชวนสื่อมวลชนไปทดลองขับปิกอัพรุ่นปรับโฉมล่าสุด นาวารา ในสถานที่เดียวกับงานเปิดตัว โดยปรับเปลี่ยนพื้นที่ใหม่เป็นสนามทดสอบสไตล์ออฟโรด 6 สถานี ประกอบด้วย Lateral Inclination เนินเอียงทั้งแบบตรงและแบบโค้ง Wading Capacity ทดสอบประสิทธิภาพการลุยน้ำ Weight Distribution ทดสอบการกระจายน้ำหนัก และองศาของรถที่รองรับการปีนไต่ Suspension Test ขับรูดบนเส้นทางขรุขระที่ปูไว้ด้วยหินหยาบ Torque Test ทดสอบแรงบิดด้วยการไต่เนินชันจำลอง และปิดท้ายด้วยการทดสอบมุมองศาของตัวรถที่เหมาะสำหรับการลุยแบบออฟโรดกับสถานี Angles Test

ครบรส 6 สถานี

●  ลองรุ่นท๊อป PRO-4X ขับจากจุดเริ่มต้นด้วยโหมด 2H ปกติ วนไปจอดตั้งหลักก่อนถึงเนินเอียง ปลดเกียร์ว่าง กดและบิดปุ่มเลือกระบบขับเคลื่อนเป็น 4L ตรวจสอบว่าระบบทำงานเรียบร้อยด้วยการสังเกตสัญลักษณ์ไฟ 4L บนชุดมาตรวัดหยุดกะพริบ ในโหมดนี้กล้องรอบคันจะทำงานอัตโนมัติ ค่อยๆ ปล่อยเบรกเดินคันเร่งออกไป จะแอบโกงด้วยการไต่แค่เตี้ยๆ ก็ไม่ได้ เพราะอีกฝั่งมีไพล่อนวางขวางไว้ มองจากข้างนอกเหมือนไม่เอียงมาก แต่สำหรับคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็รู้สึกใจเต้นแรงบ้าง

●  ขึ้นไปถึงกลางความยาวของเนิน รถทั้งคันเอียงเสมอกัน เหลือบมองไปทางซ้ายผ่านหน้า Instructor ที่มีสีหน้าเรียบเฉย เห็นพื้นถนนชัดเจนแสดงว่ารถเอียงมากอยู่ หันกลับมามองทางแล้วค่อยๆ รักษาความเร็วปล่อยรถลงเนินอย่างนุ่มนวล ในโหมด 4L รถมีแรงบิดสูงพอจะทำ Walking Speed ได้แม้เป็นทางเอียง ทำให้ควบคุมรถได้นุ่มนวลขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องกดคันเร่ง

●  เนินเอียงแรกกลายเป็นง่ายไปทันที เมื่อเจอกับเนินเอียงที่ 2 ซึ่งนอกจากเอียงแล้วยังโค้งด้วย ใช้สูตรเดิมคือ ปล่อยรถเดินหน้าด้วยแรงบิดที่มาจากเครื่องยนต์บวกอัตราทดเกียร์ 4L ไม่ต้องกังวลเรื่องคันเร่ง ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปที่การควบคุมทิศทาง ซึ่งพวงมาลัยของนาวารา PRO-4X มีน้ำหนักที่พอเหมาะ และตอบสนองการควบคุมได้ดี ทำให้ผ่าน 2 สถานีแรกไปได้ง่ายๆ แม้ผู้ขับจะไม่ใช่เซียนออฟโรด

●  ถัดมาเป็นการขับข้ามเนินจำลองเตี้ยๆ แต่มีการเลี้ยวเล็กน้อย เมื่อหน้ารถไต่ขึ้นเนิน ผู้ขับจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า ต้องอาศัยภาพจากกล้องมองรอบคัน ช่วยกะระยะเพื่อหลบหลีกไพลอนที่วางขนาบ 2 ข้างเป็นแนวเส้นทางคดเคี้ยว เนินของสถานนี้ค่อนข้างชันและยอดเนินเป็นมุมแหลม ถึงกับต้องถาม Instructor ว่าจะติดบันไดข้างหรือไม่ แต่ด้วยการวางไพลอนให้รถไต่ขึ้นลงเนินในมุมที่พอเหมาะ และการใช้ความเร็วที่เหมาะสม ทำให้ขับผ่านสถานีนี้ไปได้โดยไม่บุบสลายทั้งรถและเนิน

●  ต่อเนื่องด้วยการทดสอบความสามารถในการลุยบ่อน้ำลึกระดับ 60 เซนติเมตร แต่เมื่อมีรถทั้งคันลงไปในบ่อ ระดับน้ำก็จะสูงขึ้นอีกจนล้นบ่อ ทำเอาช่างภาพนิ่งและวีดิโอต้องกระโดดหลบน้ำ ก่อนลงได้รับคำแนะนำว่าให้ค่อยๆ หย่อนรถลงไป เพื่อไม่ให้น้ำเข้าทางท่อดูดอากาศ เนื่องจากเป็นรถสแตนดาร์ด ไม่ได้ติด Snorkel แบบรถลุยหนัก ไม่ต้องลงแรงให้น้ำกระจายเพื่อให้ได้ภาพสวย แต่ให้เน้นใช้ความเร็วสม่ำเสมอเพื่อดันน้ำไปเรื่อยๆ และเพิ่มความเร็วเพียงเล็กน้อยเมื่อกำลังจะขึ้นจากบ่อน้ำ

●  ได้ซัดทางตรงเบาๆ ผ่านสถานีทดสอบช่วงล่าง พื้นเป็นหินก้อนเขื่องๆ บดอัดแน่น ใช้ความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รูดไปแบบไม่ต้องหยอดตามคำแนะนำ รถแทบไม่มีอาการดีดดิ้น ให้ความรู้สึกหนักแน่นและนุ่มนวล ช่วงล่างซับแรงสะเทือนได้ดี ตัวรถไม่โคลงหรือเด้งดีด

●  และแล้วก็มาถึงสถานีไฮไลต์ ที่ในวันเปิดตัวยังพูดเล่นกับเพื่อนสื่อมวลชนว่า วันทดสอบเค้าจะให้ขับแบบนี้มั้ย คือ การไต่เนินชันระดับหน้าชี้ฟ้าในขาขึ้น และหัวปักดินตอนขาลง จอดที่หน้าสถานี ตั้งล้อให้ตรง ใช้ 4L แล้วกดคันเร่งเลี้ยงรอบประมาณ 2,000 รอบต่อนาที รถก็ไต่ขึ้นไปได้เรื่อยๆ มองเห็นแต่ท้องฟ้าหน้าหนาวที่สดใสไร้เมฆ ขึ้นไปถึงยอดเนิน จอดพักหายใจหายคอครู่หนึ่ง ชวน Instructor คุยเรื่องระบบ HDC หรือ Hill Descent Control ได้ความว่า ถ้าเป็นเนินชันที่มีระยะลงเนินยาวๆ และระดับความชันปกติ ก็สามารถเปิดใช้งานระบบนี้ได้ แต่เนินที่กำลังจะลงไปนี้ มีความชันมากและระยะทางสั้น แนะนำให้ใช้การเบรกด้วยตัวเองจะดีกว่า

●  ขึ้นเนินว่าเสียว ลงเนินยิ่งเสียวกว่า เพราะรถปักหัวลงจนเห็นแต่พื้น ต้องออกแรงแขนค้ำตัวเองไว้นิดๆ เบรกเบามากก็ไม่ได้เพราะรถจะไหลเร็ว เบรกแรงไปก็กลัวกระบะหลังจะตลบแซงลงเนินไปก่อน เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ลุ้นมากจริงๆ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องใช้บริการรถพยาบาลที่จอดสแตนด์บายตั้งแต่เช้า ปิดท้ายเบาๆ ด้วยการจุ่มลงบ่อน้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ใช้ความเร็วสูงได้เพราะน้ำตื้น แต่บ่อลึกเพื่อทดสอบมุมปะทะและมุมจากของรถ ซึ่งหลังจากผ่านเนินชันเมื่อกี้มา คงไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันอีกแล้ว

PRO Series ยกระดับความแกร่งสู่กระบะแอดเวนเจอร์

●  PRO Series ของนิสสัน นาวารา ใหม่ ทั้ง PRO-4X และ PRO-2X ดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัย กระจังหน้าโทนดำใหม่ดุดัน ที่เปิดประตู กระจกมองข้าง แร็คหลังคา และโป่งล้อโทนสีดำ ในส่วนของดีไซน์ยังโดดเด่นด้วยแอคเซนท์สีส้ม-แดง ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากของสีแมกมาจากภูเขาไฟ ตัดกับกระจังหน้าและล้อสีดำเข้ม เสริมความโดดเด่นด้วยโลโก้นิสสัน สีส้ม-แดง กับพื้นหลังสีดำ PRO series ใช้ล้อแม็กนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง All Terrain ของ YOKOHAMA GEOLANDAR AT-S G012 ช่วงล่างที่ปรับแต่งใหม่ที่สามารถลุยไปได้ทุกที่ ทุกสถานการณ์

●  รุ่น PRO Series มาพร้อมสีเทาสเตลท์ เกรย์ (Stealth Gray) ที่เป็นสีเฉพาะรุ่น PRO-4X (4WD) และ รุ่น PRO-2X (2WD) เสริมด้วยชุดแต่งด้านในด้วยเบาะนั่งสีดำดีไซน์สปอร์ต เดินตะเข็บบนเบาะหนังแท้และวัสดุสังเคราะห์ พร้อมโลโก้ PRO-4X รวมไปถึงพวงมาลัยแบบสปอร์ต คอนโซลตกแต่งด้วยสีดำเงาเปียโนแบล็ค หัวเกียร์และแผงประตูหุ้มด้วยหนังแท้ โดดเด่นด้วยแอคเซนท์สีส้ม-แดง ภายในห้องโดยสาร

พลิกโฉมสู่ความทันสมัย

●  นิสสัน นาวารา ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Unbreakable Design” ภายนอกดูบึกบึน ได้รับการออกแบบซุ้มล้อให้มีขนาดใหญ่เข้ากับรูปลักษณ์แบบรถยนต์ออฟโรด กระจังหน้า Interlock ไฟหน้า Quad-eye LED 4 ดวง พร้อม Daytime Running Light และไฟท้าย LED light guide แบบเส้นเดียว

●  นิสสัน นาวารา ใหม่ ออกแบบภายในอย่างมีเอกลักษณ์ และสะดวกสบายอย่างมีสไตล์ภายในห้องโดยสารเงียบสงบด้วย Noise-reducing acoustic glass ลดเสียงรบกวนจากภายนอก รวมถึงกระจกตอนหลัง กรองแสงสีชา เพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งภายในด้วยหนังแท้รอบห้องโดยสารโทนสีดำ

●  เบาะนั่งปรับไฟฟ้า (Power Seat) สำหรับผู้ขับ เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Zero Gravity ปรับตำแหน่งได้อิสระ ช่วยลดอาการเมื่อยล้าขณะขับทางไกล เบาะหลังเพิ่มความสบายด้วยดีไซน์ใหม่นุ่มสบาย (Comfort rear seating cushions) มีที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ตอบโจทย์ด้านอรรถประโยชน์ของการใช้งานให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร

●  มาตรวัดที่มีหน้าจอสีแสดงผลแบบ TFT 3 มิติ ขนาด 7 นิ้ว สามารถแสดงข้อมูลได้หลากหลาย ระบบเตือนนำทางแบบ Turn-by-Turn Direction, ระบบช่วยขับต่างๆ, ระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้าจากการขับ (Intelligent Driver Alertness) รวมถึงพอร์ต USB Type C บริเวณคอนโซลกลาง สำหรับชาร์จอุปกรณ์สำคัญให้ใช้งานได้ต่อเนื่องและรองรับอุปกรณ์ได้หลายเครื่องมากขึ้น

●  ตอบโจทย์ทุกการใช้งานที่ต้องบรรทุกหนัก ด้วยโครงสร้างแชสซีเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคันที่แข็งแกร่งอันเป็นเอกลักษณ์รถกระบะนิสสันทุกรุ่น โดยในส่วนของพื้นที่กระบะตอนท้าย ได้เพิ่มสเต็ปด้านท้ายรถ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานขึ้นลง ลดความเมื่อยล้าที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายสัมภาระ และปรับจุดตะขอยึดใหม่ เพื่อตอบโจทย์การบรรทุกสัมภาระทั้งขนาดใหญ่และเล็ก

อุ่นใจด้วย Nissan Intelligent Mobility

●  ภายในเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยในกลุ่ม Nissan Intelligent Mobility ประกอบด้วย ระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชน (Intelligent Forward Collision Warning-IFCW) เทคโนโลยีจะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า

●  ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking-IEB) ทำงานร่วมกับ IFCW โดยจะช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็ว และหยุดรถ เพื่อลดความรุนแรง หรือ ลดความสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ

●  ระบบป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention-IBSI) ทำงานร่วมกับ Blind Spot Warning (BSW) เพิ่มความปลอดภัยขณะเปลี่ยนเลน ทันทีที่สัญญาณไฟเลี้ยวถูกเปิด ระบบจะส่งเสียงสัญญาณพร้อมไฟกระพริบเตือนให้รู้ล่วงหน้าว่าขณะนั้นกำลังมีรถคันอื่นอยู่ในเลนด้านข้างซึ่งผู้ขับไม่สามารถมองเห็น หากยังพบการเบี่ยงเข้าหาช่องทางด้านข้างที่มีรถตามมา ณ จุดอับสายตา เทคโนโลยีจะส่งแรงเบรกอย่างนุ่มนวลเพื่อดึงรถกลับสู่เส้นทาง

●  ระบบควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention-LI) ทำงานร่วมกับ Lane Departure Warning (LDW) ซึ่งจะแจ้งเตือนด้วย สัญญาณและเสียงเมื่อรถเคลื่อนที่ออกนอกช่องทาง โดยระบบจะทำงานเมื่อใช้ความเร็วตั้งแต่ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากพบว่ารถกำลังออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งแรงเบรกเพื่อดึงรถกลับเลน และเพื่อช่วยและเตือนผู้ขับให้รู้ว่ารถกำลังออกนอกช่องทาง

●  ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert-RCTA) ระบบจะเตือนระหว่างเข้าเกียร์ถอยหลัง เมื่อตรวจพบรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา ระบบจะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกระพริบเตือนในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา

●  ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor-IAVM) ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทางผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน กล้องทุกตัวจะจับภาพขณะเคลื่อนไหวจริง และแสดงผลเป็นภาพจากมุมสูงผ่านหน้าจอวิทยุ ซึ่งช่วยให้การขับรถในสถานการณ์ต่างๆ ง่ายยิ่งขึ้น เพิ่มระบบ Off-Road Meter เพื่อมุมมองขณะขับไปข้างหน้าในโหมด 4L นอกจากนี้จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุที่กล้องรอบคันจับการเคลื่อนไหวได้ โดยจะปรากฏบนหน้าจอกลาง

●  ลดความบาดเจ็บเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดด้วยถุงลมนิรภัย SRS 7 จุด ประกอบด้วย คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมซ้ายขวา และบริเวณหัวเข่าของผู้ขับ โดยถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า 3 จุดแบบรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts) สามารถปรับระดับได้ตามขนาดร่างกายของผู้โดยสารแต่ละคน เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ELR แบบ 3 จุด สามตำแหน่ง พร้อมจุดยึดเบาะที่นั่งเด็กแบบ ISOFIX

Seamless Connectivity การเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์แบบ

●  เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก NissanConnectรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ผ่านจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และมีระบบสั่งงานด้วยเสียง (Voice Recognition)

●  มาพร้อมเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะ เพื่อเติมความปลอดภัยและสะดวกสบายของการใช้งานผ่านบริการแบบ Connected Car Services โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ TCU (Telematics Control Unit) ที่ติดตั้งภายในรถยนต์และแอปพลิเคชัน NissanConnect Services บนสมาร์ทโฟน (รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android) เพื่อการเชื่อมต่อระหว่างรถยนต์และสมาร์ทโฟนที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมีฟังก์ชั่นสำคัญ เช่น การแสดงพิกัดรถยนต์ สถานะรถยนต์ การช่วยเหลือฉุกเฉิน และประวัติการขับ

กระบะใหม่หัวใจเอสยูวี

●  ขุมพลังใหม่ รหัส YS23DDTT บล็อกเดียวกับที่ใช้ในเอสยูวีรุ่นเทอร์ร่า มีความจุ 2.3 ลิตร 4 สูบเรียง DOHC ทวินเทอร์โบ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) และแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร รองรับน้ำมันดีเซลทุกประเภททั้ง B7, B10 และ B20 ระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อมโหมดการขับแบบแมนนวล

●  สำหรับตัวถัง King Cab รุ่น Calibre ยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ และ Double Cab เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ใช้เครื่องยนต์ YS23DDT ขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบเรียง DOHC เทอร์โบแปรผันแบบ VGS กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) แรงบิด 403 นิวตัน-เมตร

●  ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4 (4WD) ผู้ขับสามารถเปลี่ยนจากการขับแบบ 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้ทั้ง 4H และ 4L ผ่าน Rotor Switch ที่บริเวณแผงคอนโซลกลาง พร้อมฟังก์ชัน shift-on-the-fly สามารถปรับเปลี่ยนได้ขณะขับ (จาก 2H เป็น 4H) เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ขณะที่โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อแบบความเร็วต่ำ 4L สำหรับการขับขี่บนพื้นที่ทุรกันดาร เช่น ทราย โคลน ลุยน้ำ ปีนขึ้นที่สูงชัน หรือลงในเส้นทางลาดชัน ต้องจอดรถให้หยุดสนิท ปลดเกียร์หลักเป็นเกียร์ว่าง ทำเหมือนกันทั้งตอนเข้าและออกจากโหมด 4L

●  ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมระบบป้องกันการลื่นไถล Brake Limited Slip Differential (B-LSD) โดยระบบจะส่งแรงไปยังล้อที่ลื่นไถลให้การออกตัวที่ลื่น พร้อมกระจายแรงขับไปที่ล้อแต่ละข้างเมื่อขับในโหมด 4H ขณะที่ ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า Electronic Rear Locking Differential ช่วยเสริมกำลังฉุดเมื่อขับในสถานการณ์ที่ต้องการแรงบิดสูงในโหมด 4L

แกร่งตั้งแต่โครงสร้าง ช่วงล่างปรับปรุงใหม่

●  โมโนเฟรมแชสซีทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully Boxed Frame) ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโครง ด้านหลังแหนบซ้อน โดยทั้งหมดถูกปรับจูนใหม่ เพื่อสมรรถนะและการทรงตัวรถขณะขับเข้าโค้งที่ดี เสริมความมั่นใจได้ทุกเส้นทาง โดยในส่วนของระบบกันสะเทือนก็มีเทคโนโลยีความปลอดภัย Nissan Intelligent Mobility เช่นเดียวกัน ประกอบด้วย

●  ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA) ป้องกันไม่ให้รถไหลขณะออกตัว ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC) โดยใช้กำลังเครื่องยนต์ช่วยหน่วงความเร็วโดยไม่ต้องเหยียบเบรกช่วย

●  Passive Safety จากเทคโนโลยีความปลอดภัย เซฟตี้ ชิลด์ (Safety Shield Technology) ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control (TCS) ช่วยควบคุมล้อให้ค่อยๆ หมุนออกตัวโดยไม่เกิดอาการล้อหมุนฟรี มาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ Vehicle Dynamic Control (VDC) ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะเลี้ยวกะทันหัน และระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง Trailer Sway Assist (TSA)

●  ระบบเบรกมาครบๆ ทั้ง ABS ป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA เสริมความสะดวกด้วยระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบหยุดรถอัตโนมัติ (Auto Brake Hold) และไฟเบรกดวงที่สามพร้อมไฟ LED สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

●  นิสสัน นาวารา ใหม่ มีให้เลือกในตัวถังแบบ King cab 2 ประตู แบบธรรมดา และ ตัวถังยกสูง (Calibre) รวมถึง Double Cab 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด และแบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่มีทั้ง ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ ครบครันสำหรับทุกรูปแบบของการใช้งานในทุกเส้นทาง

●  นิสสัน นาวารา ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่ สีขาว ไวท์ โซลิด (White Solid), สีขาว ไวท์ เพิร์ล (White Pearl), สีเงิน บริลเลียนท์ ซิลเวอร์ (Brilliant Silver), สีดำ แบล็ค สตาร์ (Black Star), สีแดง เบิร์นนิ่ง เรด (Burning Red) และสีพิเศษ ฟอร์จ คอปเปอร์ (Forged Copper) ขณะที่รุ่น PRO series (PRO4X และ PRO2X) มีสีพิเศษ เทา สเตลท์ เกรย์ (Stealth Gray) เพิ่มเป็นทางเลือก มาพร้อมชุดแต่งดีไซน์สุดเข้มเพื่อเสริมความเท่ทั้งภายนอกและภายใน เช่น ล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว, กันชนหน้าแบบออฟโรด, กระจังหน้าแบบตัววี สีดำเงา รวมถึงฝาครอบกระบะท้ายลายคาร์บอน ฯลฯ

●   สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ นิสสัน นาวารา ใหม่ เชิญได้ที่ nissan.co.th/vehicles/new-vehicles/navara-double-cab

Report : 2021 Nissan Navara PRO-4X