February 19, 2021
Motortrivia Team (10162 articles)

BMW Product Experience 2021 ลองขับรถใหม่ 3 รุ่น

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●  ทิ้งช่วงจากการเปิดตัวรถใหม่ไม่นาน บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ก็จัดให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับรถใหม่ 3 รุ่น ประกอบด้วย 530e M Sport ราคา 3,739,000 บาท, 520d M Sport ราคา 3,539,000 บาท และ 330Li M Sport ราคา 2,899,000 บาท เป็นการทดลองขับแบบ New Normal ก่อนเข้างานจะต้องลงบันทึกประวัติการเดินทางย้อนหลัง วัดอุณหภูมิ และให้เบอร์โทรศัพท์เผื่อติดต่อกลับภายหลัง

●  การขับทดสอบทางบีเอ็มดับเบิลยู จัดให้ขับ 1 คันต่อ 1 สื่อ มีการเตรียมทำความสะอาดรถไว้อย่างดี ให้เวลาเต็มอิ่มรุ่นละ 1 ชั่วโมง เป็นการทดสอบอย่างอิสระ มีสถานีให้ทดสอบระบบและสมรรถนะของรถอย่างปลอดภัยในสถานที่ปิด และสามารถขับออกถนนสาธารณะได้ภายในเวลาที่กำหนด

530e M Sport ถูกจริตทั้งสมรรถนะและฟิลลิ่ง

●  เริ่มด้วยรถไฮบริดที่ชอบเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะรถยุโรปราคาแพงที่แบตเตอรี่ไฮบริดมีขนาดใหญ่ ขับด้วยโหมด EV ได้นาน แต่คันนี้แบตฯ ยังไม่เต็ม รอบแรกทีมงานให้ขับตามกันเป็นขบวนในสนามเพื่ออธิบายสถานีต่างๆ ว่าให้ทดสอบอะไรบ้าง ก็เลยถือโอกาสขับชาร์จแบตไปในตัว ขับในสนามครบรอบก็แยกย้ายกันตามสะดวก ใครจะทดสอบสถานีไหนก็ขับไปเข้าสถานีได้เลย ทีมงานให้อิสระอย่างเต็มที่ ไม่มี Instructor มานั่งด้วย ส่วนหนึ่งอาจเป็นมาตรการในช่วงโควิด-19

Integral Active Steering ล้อหลังเลี้ยว 3 องศา

●  ด้วยความที่อยากลองขับโหมด EV ยาวๆ เลยขับวนไปตามสถานีต่างๆ ในสนามก่อนเพื่อชาร์จแบต และลองระบบเลี้ยวล้อหลังที่มีในรุ่น 530e โดยล้อหลังจะเลี้ยวด้วยมุม 3 องศา ที่ความเร็วต่ำไปจนถึงไม่เกิน 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ล้อหลังจะเลี้ยวตรงข้ามกับล้อหน้า ช่วยให้วงเลี้ยวแคบลง และที่ความเร็วเกิน 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ล้อหลังจะเลี้ยวในทิศทางเดียวกับล้อหน้า ช่วยให้รถมีความคล่องแคล่วฉับไวขึ้น

●  ได้ลองระบบนี้อย่างเต็มอิ่มในสถานีสลาลอมและยูเทิร์น เริ่มจากขับด้วยความเร็วต่ำรู้สึกว่ารถเลี้ยวเลาะไปตามไพลอนได้ง่ายและเบาแรง ความรู้สึกในการควบคุมรถยังเป็นธรรมชาติเหมือนขับรถทั่วไป ไม่รู้สึกว่าหลอนหรือต้องปรับตัว ลองจนจำความรู้สึกได้แล้วก็ลองเพิ่มความเร็วขึ้นเพื่อลองว่า ถ้าล้อหลังเลี้ยวทิศทางเดียวกับล้อหน้าจะเป็นอย่างไร หลังจากขับหลายรอบจนเริ่มเหนื่อย ก็พอจะสรุปได้ว่า การที่ล้อหลังช่วยเลี้ยวที่ความเร็วสูง ทำให้ควบคุมรถได้ง่ายและฉับไว รถคันใหญ่แต่วิ่งสลาลอมได้พริ้วและไม่ต้องใช้แรงมากในการควบคุม

Adaptive Suspension กดปุ่มเลือกนุ่มหรือหนึบ

●  อีกระบบที่ได้ลองใช้แล้วติดใจคือ การปรับความหนึบของช่วงล่างโดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ช๊อกฯ ไฟฟ้า ที่นอกจากจะสามารถปรับความหนืดได้ตามสภาพถนนแล้ว ผู้ขับยังสามารถเลือกความหนึบเองได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถแยกปรับได้ตามความพึงพอใจทั้งพวงมาลัย เกียร์ เครื่องยนต์ ว่าจะให้มีการตอบสนองแบบไหน ระหว่างที่ขับชิลๆ ในสนามเพื่อชาร์จแบต ก็ลองเล่นทุกโหมดรู้สึกว่าด้วยสไตล์การขับของตัวเอง แค่โหมดปกติก็รองรับได้อย่างเหลือเฟือแล้ว เพราะพื้นฐานของช่วงล่างก็เซตมาหนึบพอสมควร

ลองโหมด Electric แล้วติดใจ

●  530e M Sport เป็นรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ TwinPower Turbo184 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 30.5 กก.-ม. ที่ 1,350-4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังรวมทั้งระบบ 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 42.7 กก.-ม. เสริมด้วยฟังก์ชั่น XtraBoost เพิ่งกำลังให้อีก +40 แรงม้า ซึ่งผู้ขับสามารถเรียกใช้งานได้ต่อเนื่อง 10 วินาทีในโหมด SPORT 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โหมดไฟฟ้าล้วนวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 52 กิโลเมตร จากแบตเตอรี่ความจุ 12 กิโลวัตต์ชั่วโมง

●  ชาร์จแบตได้พอสมควรแล้วมุ่งหน้าไปสถานีลองอัตราเร่งก่อนเลย ปิดแอร์เปิดกระจกเพราะอยากฟังเสียงความเงียบเมื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ออกตัวไม่ได้กดคันเร่งสุด แค่กดลึกกว่าปกตินิดหน่อย รถพุ่งออกไปได้อย่างทันใจพร้อมเสียงวี๊ดของมอเตอร์ เมื่อความเร็วสูงขึ้นก็มีเสียงยางเพิ่มขึ้นอีกอย่าง แต่โดยรวมขับสนุก ตอบสนองทันใจสุดๆ (สำหรับคนที่ขับรถไม่เร็วจัด) ลองวนครบทุกสถานีไฟฟ้าในแบตเตอรี่ก็ยังเหลือ เพราะเมื่อชะลอความเร็วหรือเบรกก็มีการชาร์จกลับบ้าง ก่อนหมดเวลาลองโหมดไฮบริด มอเตอร์และเครื่องยนต์ก็ทำงานสอดคล้องกันดีไม่มีอาการสะดุด สมูธลื่นไหลสมราคารถ

520d M Sport อารมณ์พลิกล็อกหักมุม

●  ย้อนหลังไป 4-5 ปี รถที่โปรดปรานก็คือรถเก๋งดีเซล เพราะแรงบิดมหาศาล มาในรอบต่ำและคงที่แบบ Flat Torque เร่งทันใจไม่ต้องลากรอบ แถมประหยัดน้ำมันอีกด้วย สำหรับ 520d ก็ให้สมรรถนะที่ไม่ธรรมดาจากเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเรียง TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●  ถ้าไม่ขับ 530e มาก่อนก็คงไม่รู้สึกอะไร เพราะก็เป็นบุคลิกเฉพาะตัวของเครื่องยนต์ดีเซลอยู่แล้ว ที่ในช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่งจะต้องรอรอบสักนิด เพื่อให้มีไอเสียไปปั่นเทอร์ไบน์เพื่อสร้างบูสต์ อัตราเร่งที่ช้ากว่าเล็กน้อยยังไม่ใช่ประเด็น แต่สิ่งที่แตกต่างชัดเจนคือ การตอบสนองที่รู้สึกว่าหน่วงกว่า 530e อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการตอบสนองคันเร่งในช่วงความเร็วต่ำ โดย 520d จะเริ่มแสดงความคล่องตัวที่รอบประมาณ 2,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป

●  การควบคุมความเร็วให้นุ่มนวลและได้อย่างใจ ต้องทำความเคยชินกับรถสักพัก ปรับตัวให้เข้ากับบุคลิกของเครื่องยนต์ดีเซล ก็จะสนุกกับรถรุ่นนี้ได้อย่างเต็มที่ รถรุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ไว้วางใจกับระบบไฮบริด หรืออยากได้รถที่อึดทนทาน แรงบิดดีเร่งแซงง่าย และประหยัดเชื้อเพลิง

M Sport Suspension รองรับอยู่มือ

●  ช่วงล่าง M Sport ลดความสูงลง 10 มิลลิเมตร ช็อกฯ และสปริงแบบสปอร์ต ล้อแม็ก M ขนาด 18 นิ้ว ขับในสนามที่มีรอยต่อของคอนกรีต ที่ความเร็วต่ำไม่รู้สึกว่ากระแทกหรือสะเทือน แม้ยางจะกว้างและแก้มเตี้ย 245/45 R18 ที่ล้อหน้า และ 275/40 R18 ที่ล้อหลัง ขับช้านุ่มนวล ลองเพิ่มความเร็วในสนามก็เกาะจิกโค้งได้ดี ไม่รู้สึกว่ารถเอียงจนวูบวาบเมื่อเข้าโค้งเร็วๆ สถานีหักหลบซ้ายขวา ใช้ความเร็วตามที่กำหนดไว้ ผ่านไปได้แบบไม่ต้องรบกวนเจ้าหน้าที่ตั้งไพล่อน รอบหลังๆ ลองเพิ่มความเร็วขึ้นทีละนิดก็ยังผ่านไปได้แบบไม่สะกิดไพลอน แต่ต้องหมุนพวงมาลัยเร็วหน่อย ซึ่งรถก็ตอบสนองได้ตามสั่งพอดีๆ ไม่ขาดไม่เกิน ช่วงล่างที่หนึบแน่นและพวงมาลัยที่แม่นยำมีการผ่อนแรงกำลังดี ทำให้ควบคุมรถคันใหญ่เกือบ 5 เมตร และหนัก 1.67 ตัน ได้อย่างง่ายดาย

330Li M Sport ขับเองเหมือนซีรีส์ 3 นั่งหลังเหมือนซีรีส์ 5

●  ปิดท้ายด้วย ซีรีส์ 3 ฐานล้อยาว เพิ่มความยาวฐานล้อ 110 มิลลิเมตร เปลี่ยนประตูบานหลังยาวขึ้น 100 มิลลิเมตร หลังคาที่นั่งด้านหลังสูงขึ้น 40 มิลลิเมตร เบาะหลังปรับใหม่นั่งสบายขึ้น โฟมเบาะรองนั่งเพิ่มความหนา 20 มิลลิเมตร และโฟมพนักพิงเบาะหลังหนาขึ้น 30 มิลลิเมตร ที่วางขาเพิ่มขึ้น 43 มิลลิเมตร ติดตั้งหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ และเครื่องปรับอากาศแบบ 3 โซน ตัวรถมียาวรวม 4,819 มิลลิเมตร ความกว้างคงเดิม 1,827 มิลลิเมตร ความสูงเพิ่มขึ้นเป็น 1,441 มิลลิเมตร

●  ปรับเบาะผู้ขับให้พอดีกับความสูง 169 เซนติเมตร แล้วย้ายไปนั่งเบาะหลังฝั่งผู้ขับ พบว่าเข้าไปนั่งเบาะหลังได้สบายขึ้น ไม่ต้องก้มมาก ประตูบานใหญ่เปิดได้กว้างเข้า-ออกสะดวก (ถ้าไม่จอดในที่คับแคบ) เข้าไปนั่งแล้วรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมใกล้เคียงซีรีส์ 5 เบาะหนานุ่มนั่งสบาย รองรับต้นขาได้ลึกเกือบถึงข้อพับ พนักพิงเอนพอดีศีรษะไม่โผล่พ้นแนวกระจก และเหลือที่ว่างอีกประมาณ 4 นิ้ว ที่สำคัญคือ หัวเข่าห่างจากด้านหลังของพนักพิงเบาะหน้ามากพอสมควร ขนาดนั่งแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนยังเหลือเนื้อที่อีกเยอะ ส่วนพื้นที่ด้านกว้างบริเวณหัวไหล่ก็ยังสบายๆ ถ้านั่งหลัง 2 คน ก็ไม่เบียดกันแน่ๆ

●  เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1,998 ซีซี 258 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,550-4,400 รอบต่อนาที เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 6.2 วินาที กินน้ำมันเฉลี่ย 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร ลองอัตราเร่งแล้วทันใจสุดๆ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ เปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วต่อเนื่อง กดคันเร่งมิดรถก็ทะยานออกจากจุดหยุดนิ่งทันที ตอบสนองทันใจว่าดีเซลเทอร์โบ กดคันเร่งมิดแช่ไว้แปปเดียวรอบเครื่องยนต์ก็สวิงขึ้นไปป้วนเปี้ยนแถวขีดแดงแล้ว

ช่วงล่างคล่องตัวเหมือนเดิม

●  ฐานล้อที่ยาวขึ้น 110 มิลลิเมตร เพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ส่วนผู้ขับยังคงสนุกสนานกับความคล่องตัวของซีรีส์ 3 ความยาวที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ส่งผลให้ความฉับไวของรถน้อยลงแต่อย่างใด ยังคงเข้าสลาลอมได้อย่างพริ้วกระชับและเบาแรงควบคุมง่าย เข้าโค้งในสนามด้วยความเร็วเกินปกติไปเล็กน้อยก็ยังรู้สึกว่ารถคล่องตัวและแน่นหนาเป็นหนึ่งเดียวกัน ช่วงสถานี ELK TEST เปลี่ยนเลนกะทันหัน ผ่านได้แบบสบายๆ รู้สึกว่าช้าไปด้วยซ้ำเมื่อใช้ความเร็วตามกำหนด

●  รถรุ่นนี้น่าจะเหมาะกับคนมีครอบครัว หรือมีผู้โดยสารด้านหลังบ่อยๆ แต่ไม่อยากขยับไปซีรีส์ 5 ด้วยขนาดตัวรถที่ใหญ่เกินไป หรือจะเป็นรถประจำตำแหน่งก็พอได้ วันธรรมดามีคนขับให้ก็นั่งเบาะหลังสบายๆ วันหยุดขับรถเองก็ยังคงขับได้สนุกคล่องตัวไม่ใหญ่เกินไป

●  หลังจากขับครบ 3 รุ่น เทใจให้ 530e M sport ด้วยความชอบส่วนตัวล้วนๆ ชอบรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ไกลๆ แบบไม่ต้องปั้นคันเร่ง แต่ก็ยังมีเครื่องยนต์สันดาปภายในพ่วงมาด้วยให้อุ่นใจว่าไฟฟ้าหมดแล้วไม่ต้องจอดกินข้าวลิงหรือต้องเสียเวลาชาร์จนานๆ ขับเดินทางไกลได้โดยไม่ต้องวางแผนหาสถานีชาร์จและไม่ต้องลุ้น เหมาะกับเมืองไทยที่สถานีชาร์จไฟฟ้ายังไม่แพร่หลาย ฟิลลิ่งการขับก็เป็นอีกหนึ่งความชอบใจ เมื่อขับในโหมด EV จะไปแบบเงียบๆ แต่เร็วทันใจในระดับหนึ่ง นอกจากช่วยลดมลพิษบนถนนแล้ว ยังได้ความรู้สึกการขับที่แตกต่างในทางที่ดีอีกด้วย   ●

ขอบคุณ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

Group Test : BMW Product Experience 2021