February 12, 2021
Motortrivia Team (10197 articles)

MG HS PHEV ชาร์จแบตครั้งเดียว เที่ยวได้รอบเมือง

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●  กลางเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ทีมงานมอเตอร์ทริเวียมีโอกาสได้ทดลองขับ MG HS PHEV รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ขนาดกลางกึ่งใหญ่ ระยะทางสั้นๆ ในสนามทดสอบของ MG แถวศรีนครินทร์ จากนั้นจึงเปิดตัวเป็นทางการช่วงปลายเดือนเดียวกัน สร้างความฮือฮาด้วยราคาที่คุ้มค่าและต่ำกว่าที่หลายคนคาดไว้ ล่าสุด MG จัดทดสอบรถรุ่นนี้อีกครั้งในแบบ New Normal จำลองการใช้งานในเมือง 1 วัน ด้วยการเสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม แล้วขับใช้งานท่ามกลางสภาพการจราจรหลายรูปแบบ ระยะทางรวมกว่า 70 กิโลเมตร

ภายนอกภายในทันสมัยลงตัว

●  รูปลักษณ์ภายนอกของ MG HS PHEV ดูทันสมัยสวยงามลงตัว ขนาดกำลังใช้ไม่เล็กจนภายในแคบหรือใหญ่โตเทอะทะ มีความยาว 4,574 มิลลิเมตร กว้าง 1,876 มิลลิเมตร สูง 1,664 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,574/1,593 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุด 145 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1,775 กิโลกรัม เป็นน้ำหนักมาตรฐานของรถไฮบริดที่มีแบตเตอรี่ใหญ่ รวมมอเตอร์ไฟฟ้า และชุดอุปกรณ์ควบคุมต่างๆ

●  ภายในแบ่งการตกแต่งเป็น 2 แบบ ขึ้นอยู่กับสีภายนอก สีขาว Arctic White จับคู่กับภายในสีทูโทน Monaco Blue ขาวตัดน้ำเงิน ซึ่งได้รับความนิยมสูง และภายในแบบดำล้วน คู่กับภายนอกสีดำ Black Knight และสีแดง Scarlet Red อุปกรณ์มาตรฐานทั้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย ให้มาแบบล้นๆ เกินราคา แต่ที่ชอบใจเป็นพิเศษนอกเหนือจากการออกแบบที่สวยงามคือ การใช้วัสดุคุณภาพดี การประกอบที่ประณีต สวิตช์ควบคุมระบบต่างๆ ให้สัมผัสที่หนักแน่นเมื่อกดใช้งาน มาตรวัดและจอที่คอนโซลกลางมีความคมชัด ตอบสนองรวดเร็ว สัญลักษณ์ต่างๆ บนหน้าจอก็เข้าใจง่าย ทำให้ห้องโดยสารมีสภาพแวดล้อมที่ให้ความรู้สึกที่ดีเมื่อเข้าไปขับหรือนั่ง บรรยากาศโดยรวมคุ้มราคา 1,359,000 บาท

เครื่องแรงแบตใหญ่ ไปได้ไกลและขับสนุก

●  MG จัดทริปนี้ต้องการพิสูจน์ว่าเมื่อชาร์จแบตเต็มจะขับในโหมด EV ได้กี่กิโลเมตร ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 16.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยใช้การขับช่วงแรกจากจุดสตาร์ต CDC เลียบด่วน ไป NANA Hunter Coffee Roasters พุทธมณฑล สาย 1 ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ขับแบบไม่ขึ้นทางด่วน ผมรับหน้าที่ขับเป็นไม้แรกจะได้จบเรื่องการขับ ช่วงที่เหลือได้นั่งชิลๆ

●  ออกจากจุดสตาร์ตมัวแต่ลองระบบครูสคอนโทรลแบบแอคทีฟความเร็วต่ำ TJA ทำงานกระทั่งรถคันหน้าหยุดนิ่ง ถ้าหยุดไม่เกิน 3 วินาที จะเคลื่อนตัวตามรถคันหน้าให้ด้วย เล่นเพลินเลยลืมกดปุ่มใช้งานโหมด EV ที่ข้างคันเกียร์ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ถ่ายรูปบันทึกข้อมูลการขับช่วงแรกเมื่อไปถึงจุดพักแรก มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโผล่ขึ้นมาด้วย 18.5 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า 10.6 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อ 100 กิโลเมตร เพราะขับมาในโหมด AUTO ระบบจะเลือกให้อัตโนมัติว่าจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวหรือให้เครื่องยนต์ช่วยขับเคลื่อนด้วย

●  รู้แล้วว่าพลาดแต่ก็ทำเงียบไว้ เปลี่ยนผู้ขับคนที่ 2 ก็ยังใช้โหมด AUTO ต่อไป ความแตกที่ร้านอาหารกลางวัน เพราะทีมงาน MG เก็บข้อมูลรถทุกคัน แต่ละคันไม่ได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเลย เพราะขับในโหมด EV กันทั้ง 2 ช่วง รวมระยะทางกว่า 47 กิโลเมตร ไฟฟ้ายังเหลือ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ขับด้วยไฟฟ้าได้อีกประมาณเกือบ 30 กิโลเมตร ส่วนคันผมเป็นแกะดำ เพราะทำให้ค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของกลุ่มเพิ่มขึ้น เนื่องจากขับในโหมด AUTO ทั้ง 2 ช่วง

โหมด AUTO ก็ประหยัด ขับได้นุ่มนวล

●  ไหนๆ ก็ใช้โหมด AUTO มาแล้ว ขอรายงานผลการขับทั้ง 2 ช่วงแรกสักนิด ระยะทาง 2 ช่วงรวม 48.4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 17 นาที ความเร็วเฉลี่ย 21 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 18.8 กิโลเมตรต่อลิตร (คันอื่นมีตั้งแต่ 33-58 กิโลเมตรต่อลิตร) แน่นอนว่าไฟฟ้าในแบตเตอรี่เหลือเยอะที่สุดในกลุ่ม 48 เปอร์เซ็นต์ (คันอื่น 10-27 เปอร์เซ็นต์) ระยะทางที่ขับได้ในโหมด EV ก็ไกลสุดในกลุ่มเป็นธรรมดา 32 กิโลเมตร (คันอื่นขับได้อีก 7-17 กิโลเมตร)

●  จากข้อมูลการขับทั้ง 2 ช่วง ถึงจะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าคันอื่น แต่ก็ถือว่าระบบไฮบริดช่วยให้ประหยัดได้มาก เพราะขับท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดมาก สังเกตได้จากความเร็วเฉลี่ย อัตราเร่งทำได้ดีเพราะลำพังเครื่องยนต์อย่างเดียวก็แรงอยู่แล้ว เบนซินไดเร็คอินเจ็คชั่น เทอร์โบ 1,500 ซีซี 162 แรงม้า ที่า 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 1,700 ไปถึง 4,300 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 122 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตร ทำให้มีกำลังขับเคลื่อนรวมทั้งระบบ 284 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร

●  ช่วงแรกที่ขับในโหมด AUTO ไม่รู้สึกเลยว่าเครื่องยนต์เข้ามาช่วยทำงานตอนไหน เพราะรถไม่มีอาการสะดุด เร่งเพิ่มความเร็วได้ราบเรียบต่อเนื่องและทันใจ เหลือเฟือสำหรับการใช้งานในเมือง และประหยัดพอตัวในโหมด AUTO ถ้ารู้แน่ๆ ว่าแต่ละวันใช้รถไม่เกินระยะทาง 67 กิโลเมตร (ตัวเลขตามสเปค) ก็กดโหมด EV ขับเป็นรถไฟฟ้าได้เลย แต่ไม่ต้องกลัวว่าแบตจะหมดกลางทางเพราะมีเครื่องยนต์ช่วยชาร์จไฟฟ้า กลับบ้านก็เสียบชาร์จไว้ จากแบตหมดจนเต็มใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง เสียค่าไฟเฉลี่ยประมาณ 60 บาท ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ก็ราวกิโลเมตรละ 1 บาท ถังน้ำมันเชื้อเพลิงความจุ 37 ลิตรจึงไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงแม้แบตจะหมด เครื่องยนต์ก็จะชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ก็จะช่วยมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถด้วย เป็นการขับเคลื่อนแบบ Parallel Hybrid นั่นเอง

ปิดท้ายด้วยโหมด EV

●  ช่วงสุดท้ายจากร้านอาหารกลางวันกลับไปที่จุดสตาร์ต เนื่องจากใกล้เทศกาลตรุษจีน การจราจรช่วงบ่ายเริ่มหนาแน่น จึงเปลี่ยนเส้นทางจากพื้นราบเป็นทางด่วน ไม้สุดท้ายให้เจ้าถิ่นลาดพร้าว-เลียบด่วนรับหน้าที่ขับ คราวนี้ใช้โหมด EV กดคันเร่งแต่ละทีดึงหน้าหงาย สนุกกับอัตราเร่งสุดๆ ในโหมดนี้ถ้าแบตเตอรี่ยังไม่หมด จะขยี้คันเร่งยังไงเครื่องยนต์ก็ไม่ทำงาน เหยียบคันเร่งได้ไม่ต้องยั้งแบบเดียวกับรถ EV อัตราเร่งดึงหนักทันใจตามนิสัยของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องรอรอบ นั่งเพลินๆ แปปเดียวก็กลับมาถึงจุดหมายปลายทางในสภาพไฟฟ้าหมดเกลี้ยงตั้งแต่ก่อนลงทางด่วนเล็กน้อย

ผลการทดสอบ MG HS PHEV กลุ่ม 7

●  เส้นทางทดสอบแบบใช้งานจริงภายในเมือง รถค่อนข้างเยอะ ความเร็วเฉลี่ย 23.63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางทดสอบเฉลี่ยจากทุกคัน 73.06 กิโลเมตร

●  อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของรถที่ใช้ EV Mode และ AUTO Mode สลับแบบการใช้งานทั่วไป ใน 2 ช่วงแรก 56.69 กิโลเมตรต่อลิตร (อัตราสิ้นเปลือง 45.40-142.0 กม./ ลิตร)

●  อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยรวมของรถทดสอบทั้ง 8 คัน บางคันมีการขับทุกโหมด อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 27.95 กิโลเมตรต่อลิตร

●  ระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ด้วย EV Mode เฉลี่ยรวม 60.67 กิโลเมตร ไกลสุด 68.6 กิโลเมตร

●  ปริมาณใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่อคันเฉลี่ย 1.8 ลิตร

มีเกียร์ที่มอเตอร์และเครื่องยนต์

●  มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถหมุนได้รอบสูงถึงหมื่นกว่ารอบ ส่วนเครื่องยนต์ในรถรุ่นนี้จะใช้รอบในช่วง 3,000 รอบต่อนาที เพื่อให้รอบเครื่องยนต์และรอบมอเตอร์มีรอบการหมุนที่สอดคล้องกันในช่วงความเร็วต่างๆ จึงต้องมีเกียร์เพื่อทดรอบให้เหมาะสมกัน

ช่วงล่างและพวงมาลัยไว้ใจได้

●  ระบบกันสะเทือนอิสระพร้อมเหล็กกันโคลงทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สัน ด้านหลังมัลติลิงก์ รู้สึกว่ามีช่วงการให้ตัวที่ค่อนข้างเยอะเป็นปกติของเอสยูวี โดยการยืดยุบตัวมีการหน่วงที่พอเหมาะ ไม่เร็วเกินไปจนยวบหรือวูบวาบ และไม่หนืดเกินไปจนแข็งกระด้าง แต่โดยรวมก็ยังปรับเซตมาเพื่อความนุ่มนวลเป็นหลัก พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าหนืดมือพอเหมาะ ความเร็วต่ำเบาแรงคล่องตัว ความเร็วสูงยังไม่มีโอกาสได้ลอง ดิสก์เบรก 4 ล้อ ให้ความรู้สึกเหมือนรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทั้งฟิลลิ่งในการเหยียบแป้นเบรก และการสร้างแรงเบรก เหมือนรถทั่วไป จึงไม่ต้องสร้างความคุ้นเคยไม่ต้องปรับตัว

●  ระบบความปลอดภัยที่ให้มา ส่วนใหญ่ทำงานสอดคล้องกับการใช้งานจริง มีบางระบบที่ขยันไปนิด เช่น Lane Keep Assist ที่พยายามจะเลี้ยงให้รถอยู่กึ่งกลางเลนตลอดเวลา ทำให้พวงมาลัยขยับเบาๆ เกือบตลอดเวลา ลองขับตลอดช่วงแรกกว่า 30 กิโลเมตรก็ยังไม่ชิน

●  MG HS PHEV เอสยูวี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด รูปร่างหน้าตาสวยงามทันสมัย ภายในสวยหรูด้วยวัสดุคุณภาพดี ออกแบบดี ล้ำยุคแพรวพราว กว้างขวางเหลือเฟือสำหรับ 4 ที่นั่ง เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ความปลอดภัย ที่สำคัญคือ ราคาโดนใจ 1.359 ล้านบาท ทำให้เป็นรถอีกรุ่นที่มีความคุ้มค่าน่าใช้ อุ่นใจด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 8 ปี รับประกันคุณภาพตัวรถ 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร กับศูนย์บริการ ณ ปัจจุบัน 147 แห่งทั่วไทย   ●

ขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

Group Test : 2020 MG HS PHEV