February 26, 2021
Motortrivia Team (10076 articles)

Nissan Navara PRO-4X 4WD 7AT ครบรสทั้งทางเรียบและทางลุย

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●   นิสสัน นาวารา รุ่นปรับโฉม เปิดตัวในไทยเมื่อช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา พร้อมเตรียมจำหน่ายในไทยเป็นแห่งแรกในโลก ทิ้งช่วงหลังการเปิดตัวไม่นาน นิสสันก็จัดให้ทดลองขับแบบออฟโรดในสถานที่ปิด และล่าสุดได้ทดลองขับอีกครั้งบนถนนจริงทั้งทางเรียบและทางลุย มุ่งหน้าไปชื่นชมธรรมชาติที่จุดชมวิวเขาแด่น จังหวัดเพชรบุรี ระยะทางรวมไป-กลับ ประมาณ 300 กิโลเมตร ทีมงานมอเตอร์ทริเวียได้ลองรุ่นท๊อป PRO-4X ดับเบิลแค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ

รูปลักษณ์หล่อตั้งแต่เกิด

●   นาวาราใหม่ มีการปรับปรุงทั้งไลน์ รุ่นมาตรฐานเพิ่มความสูง 205-215 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นยกสูงทั้ง CALIBRE ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4WD เพิ่มความสูง 225-230 มิลลิเมตร ใต้ท้องรถสูงขึ้น 10 มิลลิเมตร รุ่น DOUBLE CAB ตัวรถสูงขึ้น 50 มิลลิเมตร ไฟหน้า LED โปรเจ็คเตอร์ 4 ดวง สว่างขึ้น 38 เปอร์เซ็นต์ (ยกเว้นรุ่น KING CAB ความสูงมาตรฐาน) ฝากระโปรงหน้าใหม่ กระจังหน้าใหม่แบบ Interlocking Frame Grille กันชนหน้าใหม่มาพร้อมแผงกันกระแทกด้านล่างใหม่ และไฟตัดหมอก LED ดีไซน์ใหม่

●   รุ่นพระเอก PRO-2X ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ PRO-4X ขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้รับการแต่งหล่อสไตล์ออฟโรดมาจากโรงงาน เน้นสีดำดุดันที่กระจังหน้า กระจกมองข้าง แร็คหลังคา ที่เปิดประตู และโป่งล้อ กันชนหน้าแบบออฟโรด ไฟท้ายใหม่ Chrome Detail LED ฝาท้ายใหม่พร้อมระบบผ่อนแรงในรุ่นดับเบิลแค็บ กันชนท้ายใหม่แบบ 2 Step ลดความสูงของจุดเหยียบให้ต่ำลง 17 เซนติเมตร เพิ่มความสะดวกเมื่อต้องปีนกันชน กระบะท้ายออกแบบใหม่หมด มาพร้อมตะขอยึดสัมภาระ 4 จุด แบบเลื่อนได้ บันไดข้างใหม่ ล้อแม็กสีดำขนาด 17 นิ้ว ยาง All-Terrain ขนาด 255/65 R17

●   ภายนอกโดยรวมดูดุดันสไตล์ออฟโรดอย่างที่ตั้งใจออกแบบ โดยยังคงเอกลักษณ์ของนิสสันไว้อย่างครบถ้วน คันที่ขับสีเทา สเตลท์ เกรย์ ซึ่งเป็นสีเฉพาะรุ่น PRO-2X และ PRO-4X ช่วยขับการตกแต่งด้วยสีดำให้โดดเด่นขึ้น การออกแบบด้านหน้าดูลงตัว ส่วนด้านหลังก็ดูใหม่ทันสมัยขึ้น ทั้งจากขอบกระบะที่ออกแบบเป็นสปอยเลอรืในตัว รวมทั้งฝาท้าย ไฟท้าย และกันชนท้ายใหม่

●   มิติตัวรถมีความยาว 5,260 มิลลิเมตร กว้าง 1,875 มิลลิเมตร สูง 1,840 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,150 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,570 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุด 225 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2,083 กิโลกรัม

ภายในสไตล์เก๋ง

●   ห้องโดยสารโดยรวมยังคงเน้นความเรียบง่ายไม่หวือหวา สะดุดตาด้วยเบาะคู่หน้า Zero Gravity กระจายแรงกด รองรับกระดูกสันหลัง ทรงสปอร์ตลายสวย ส่วนเบาะหลังที่ยังไม่มีโอกาสได้ทดลองนั่งเป็นแบบ Comfort Rear Seating Cushions แผงคอนโซลทรงเรียบๆ และคุ้นตา ทำให้พวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้านดูเด่นขึ้นมา โดยเฉพาะโลโก้กลางพวงมาลัยที่เป็นสีดำเงาตัวหนังสือสีแดง เป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น ฝั่งขวาควบคุมครูสคอนโทรล ฝั่งซ้ายควบคุมเครื่องเสียงและหน้าจอ TFT 3 มิติ ขนาด 7 นิ้วในชุดมาตรวัด ที่แสดงข้อมูลได้หลากหลาย และเป็นศูนย์กลางการปรับแต่งค่าต่างๆ ของรถด้วย

●   นั่งเบาะหน้าครั้งแรกอาจรู้สึกว่าแข็งไปนิด และเหมือนว่าฟองน้ำจะบางกว่าเบาะทั่วไป แต่ถ้าได้นั่งนานๆ จะพบข้อดีคือ ไม่เมื่อยก้นที่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะแรงกดจากน้ำหนักตัวจะกระจายออก พนักพิงก็ออกแบบให้รองรับตามสรีระของกระดูกสันหลัง ถ้าเพิ่มปีกให้สูงขึ้นอีกนิดก็น่าจะนั่งได้กระชับกว่านี้ ทรงเบาะที่ให้มาน่าจะออกแบบให้รองรับสรีระได้หลากหลาย และยังเป็นแบบปรับด้วยมือ ต่างจากรุ่น 4WD VL 7AT (ราคา 1,129,000 บาท) ที่เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมที่ดันหลังไฟฟ้า ทั้งที่ราคารุ่น PRO-4X ก็แพงกว่า (1,149,000 บาท)

●   ภายในตกแต่งด้วยสีดำ ส่วนครึ่งบนตั้งแต่เสาไปถึงเพดานเป็นสีขาว ที่น่าจะมีโอกาสเปื้อนง่ายในรถประเภทนี้ ถ้าเป็นดำล้วนถึงเพดานห้องโดยสารก็จะดูทึมลงไปอีกนิด แต่แลกกับการดูแลรักษาง่าย ไม่โทรมเร็วก็น่าจะคุ้ม ที่โหนหรือมือจับตรงเสาหน้าและบนเพดานมีเฉพาะฝั่งผู้โดยสาร ทำให้เวลาผู้ขับจะขึ้นรถ ต้องโหนที่พวงมาลัย หรือไม่ก็เหยียบบันไดก่อนแล้วจึงขึ้นรถ การไม่ติดตั้งที่โหนฝั่งผู้ขับก็น่าจะมีเหตุผล เพราะจะได้ใช้ประโยชน์แค่ขึ้น-ลงเท่านั้น ขณะขับมือก็ต้องจับพวงมาลัย และมือจับที่เสาหน้าฝั่งผู้ขับอาจเกะกะสายตาได้ เมื่อไม่มีที่โหนก็แค่ปรับวิธีการขึ้น-ลงรถนิดหน่อยก็ไม่มีปัญหา

●   เชื่อมต่อไม่สะดุดด้วย Nissan Connect Service มีหลากหลายฟังก์ชั่น เช่น การค้นหาตำแหน่งรถ, โทรฉุกเฉิน เรียกรถยก, เตือนเมื่อถึงเวลาเข้าศูนย์บริการ, เตือนเมื่อรถเคลื่อนที่หรือถูกยก, การจำกัดขอบเขตการใช้งาน และเตือนความเร็ว อุปกรณ์มาตรฐานจัดมาให้ครบครัน ใช้งานแล้วไม่รู้สึกว่าขาดแคลน ชอบใจตรงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วที่คอนโซลกลาง รองรับ Apple CarPlay ต่อสาย USB เพื่อใช้ระบบนำทางและฟังเพลงพร้อมชาร์จแบตไปในตัว ช่องจ่ายไฟฟ้าก็มีให้เพียงพอกับการใช้งาน ที่เท้าแขนกลางเบาะหน้าจุของน้อยไปนิดเมื่อเทียบกับขนาด

●   ห้องโดยสารลดเสียงรบกวนด้วยกระจกแบบ Noise-reducing acoustic glass รวมทั้งการติดตั้งฉนวนกันเสียงระหว่าห้องโดยสารกับห้องเครื่อง การเก็บเสียงโดยรวมทำได้ดี ช่วงขับในเมืองก็ได้ยินเสียงจากสภาพแวดล้อมไม่มากนัก เดินทางด้วยความเร็ว 90-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แทบไม่ได้ยินเสียงรบกวนทั้งจากเครื่องยนต์ เสียงลมปะทะ และเสียงยาง ถ้าเพิ่มความเร็วขึ้นเป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงแรกที่เพิ่มขึ้นมาคือ เสียงลมปะทะบริเวณเสาหน้า แต่ยังอยู่ในระดับที่รับได้ ขับที่ความเร็วนี้นานๆ ได้โดยไม่หูอื้อหรือรำคาญ

●   การออกแบบภายในโดยรวมดูดีแล้ว ติดอยู่ที่บางชิ้นส่วนที่ใช้ร่วมกับรถหลายรุ่นยังดูเชยไปนิด ทำให้ความทันสมัยยังไปไม่สุด แต่ถ้ามองข้ามไปได้หรือไม่ได้เน้นในจุดนี้มากนัก ก็ถือว่าใช้งานได้ โดยได้เรื่องความประณีตในการประกอบมาชดเชยกัน วัสดุส่วนที่เป็นพลาสติกแข็งก็ปั๊มลายให้ดูมีราคา นอกจากงานออกแบบบางจุดแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นให้ติ

ระบบความปลอดภัยชุดใหญ่

●   ภายในเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยในกลุ่ม Nissan Intelligent Mobility ประกอบด้วย ระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชน (Intelligent Forward Collision Warning-IFCW) เทคโนโลยีจะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า

●   ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking-IEB) ทำงานร่วมกับ IFCW โดยจะช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็ว และหยุดรถ เพื่อลดความรุนแรง หรือ ลดความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ

●   ระบบป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention-IBSI) ทำงานร่วมกับ Blind Spot Warning (BSW) เพิ่มความปลอดภัยขณะเปลี่ยนเลน ทันทีที่สัญญาณไฟเลี้ยวถูกเปิด ระบบจะส่งเสียงสัญญาณพร้อมไฟกระพริบเตือนให้รู้ล่วงหน้าว่าขณะนั้นกำลังมีรถคันอื่นอยู่ในเลนด้านข้างซึ่งผู้ขับไม่สามารถมองเห็น หากยังพบการเบี่ยงเข้าหาช่องทางด้านข้างที่มีรถตามมา ณ จุดอับสายตา เทคโนโลยีจะส่งแรงเบรกอย่างนุ่มนวลเพื่อดึงรถกลับสู่เส้นทาง

●   ระบบควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention-LI) ทำงานร่วมกับ Lane Departure Warning (LDW) ซึ่งจะแจ้งเตือนด้วย สัญญาณและเสียงเมื่อรถเคลื่อนที่ออกนอกช่องทาง โดยระบบจะทำงานเมื่อใช้ความเร็วตั้งแต่ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากพบว่ารถกำลังออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งแรงเบรกเพื่อดึงรถกลับเลน และเพื่อช่วยและเตือนผู้ขับให้รู้ว่ารถกำลังออกนอกช่องทาง

●   ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert-RCTA) ระบบจะเตือนระหว่างเข้าเกียร์ถอยหลัง เมื่อตรวจพบรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา ระบบจะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกระพริบเตือนในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา

●   ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor-IAVM) ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทางผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน กล้องทุกตัวจะจับภาพขณะเคลื่อนไหวจริง และแสดงผลเป็นภาพจากมุมสูงผ่านหน้าจอวิทยุ ซึ่งช่วยให้การขับรถในสถานการณ์ต่างๆ ง่ายยิ่งขึ้น เพิ่มระบบ Off-Road Meter เพื่อมุมมองขณะขับไปข้างหน้าในโหมด 4L นอกจากนี้จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุที่กล้องรอบคันจับการเคลื่อนไหวได้ โดยจะปรากฏบนหน้าจอกลาง

●   ลดความบาดเจ็บเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดด้วยถุงลมนิรภัย SRS 7 จุด ประกอบด้วย คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมซ้ายขวา และบริเวณหัวเข่าของผู้ขับ โดยถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า 3 จุดแบบรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts) สามารถปรับระดับได้ตามขนาดร่างกายของผู้โดยสารแต่ละคน เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ELR แบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง พร้อมจุดยึดเบาะที่นั่งเด็กแบบ ISOFIX

●   ระบบความปลอดภัยที่ได้ใช้บ่อยสุดของการเดินทางครั้งนี้คือ ระบบควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention-LI) ทำงานร่วมกับ Lane Departure Warning (LDW) ที่ยังรู้สึกว่าบางจังหวะทงานเร็วไปนิด เช่น เมื่อเบี่ยงรถอยู่ในเลนตัวเองเพราะมีรถบรรทุกใหญ่อยู่ข้างๆ หรือการเบี่ยงอยู่ในเลนตัวเองเพื่อลดการเหวี่ยงของรถเมื่อขับบนทางคดเคี้ยว ระบบก็จะเตือน ทดลองความรู้สึกเมื่อระบบส่งแรงเบรกเพื่อดึงรถกลับเลน พบว่าการเบรกและดึงทำได้นุ่มนวลดีไม่ทำให้ผู้ขับตกใจหรือกระตุกรถแรงเกินไป ส่วนระบบ กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor-IAVM) ก็ช่วยให้พอมองเห็นอุปสรรคเมื่อขับความเร็วต่ำหรือบนทางออฟโรด ถ้ากล้องและจอมีความละเอียดคมชัดกว่านี้ก็จะใช้งานพึ่งพาได้จริงจังมากขึ้น

2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ เร่งไหลลื่นติดเท้า

●   นาวารา PRO-4X 4WD ใช้เครื่องยนต์รหัส YS23DDTT บล็อกเดียวกับเทอร์ร่า เป็นแบบดีเซล 4 สูบ DOHC ทวินเทอร์โบ ความจุ 2.3 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันดีเซลทุกประเภททั้ง B7, B10 และ B20 เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อมโหมดการขับแบบแมนนวล

●   แรงม้าแรงบิดไม่มากไม่น้อย แต่เมื่อเจอกับตัวถังหนักเกิน 2 ตัน กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ และต้องลากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไปด้วย ก็เลยไม่คาดหวังเรื่องการตอบสนองมากนัก แต่พอได้ขับจริงจังก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะเมื่อทางโล่งและปลอดภัย ลองกดคันเร่งเพิ่มความเร็วแบบไม่คิ๊กดาวน์ ค่อยๆ ไล่รอบขึ้นไปแบบไม่เค้นเครื่องยนต์ ก็สามารถเพิ่มความเร็วจาก 90-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นไปถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้โดยใช้ระยะทางไม่มากนัก ลดความเร็วลงมาแล้วกดคันเร่งคิ๊กดาวน์เพิ่มความเร็วอีกครั้ง รู้สึกว่าเกียร์ตอบสนองได้ดี ทั้งความนุ่มนวลและความรวดเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำอยู่ในเกณฑ์ดี กดคันเร่งแช่ไว้ให้เกียร์เปลี่ยนขึ้นเอง รู้สึกว่าเกียร์เปลี่ยนได้ลื่นไหลต่อเนื่อง ไม่มีจังหวะวอดหรือเหี่ยวในช่วงเปลี่ยนเกียร์ เร่งได้สนุกและทันใจ

●   อีกเรื่องที่พบในช่วงคิ๊กดาวน์คือ การทำงานงานของเครื่องยนต์ที่นุ่มนวล ในรอบสูงๆ เสียงและการสั่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากในเครื่องยนต์ดีเซล แต่เท่าที่ลองพบว่าการเก็บเสียงจากเครื่องยนต์ทำได้ดีเกินคาด ส่วนความสั่นสะเทือนก็เป็นแบบถี่รัวแผ่วๆ ไม่ได้สั่นแบบเขย่า เป็นเครื่องยนต์ดีเซลในรถกระบะที่ทำงานนุ่มนวล การตอบสนองก็ทำได้ทันใจ ทั้งการไล่รอบของเครื่องยนต์ และความต่อเนื่องของอัตราทดเกียร์ การตอบสนองคันเร่งจึงทันใจ เสียงไม่ดังและไม่เขย่า กดคันเร่งเล่นเพลินๆ ในช่วงสั้นๆ เมื่อขับครบ 100 กิโลเมตรแรก ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13 กิโลเมตรต่อลิตร สมเหตุสมผลกับสมรรถนะ น้ำหนักรถ ลักษณะการขับ และสภาพการจราจร

ช่วงล่างหนักแน่นมั่นใจ

●   ระบบกันเทือนรูปแบบมาตรฐานของรถกระบะ ด้านหน้าอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังคานแข็งแหนบซ้อน รุ่นปรับโฉมนี้ปรับเพิ่มความสูงของ Ground Clearance เป็น 225 มิลลิเมตร ปรับช๊อกฯ ให้นุ่มนวล เพิ่มความแข็งแรงของยางรองหัวเก๋งเพื่อลดแรงกระแทก ความรู้สึกของช่วงล่างโดยเป็นแบบที่ชอบคือ แข็งนิดๆ หนึบและหนักแน่น ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเหมาะกับรถคันใหญ่หนักและสูง เพราะจะช่วยลดการโคลงเหวี่ยง ทำให้ขับด้วยความมั่นคงและมั่นใจ

●   ช่วงขับในเมืองก็รู้สึกถึงความแข็งนิดๆ แต่ก็เป็นความแข็งอย่างที่ควรจะเป็นของรถกระบะ ในความแข็งก็มีความยืดหยุ่นซับแรง ไม่ใช่แข็งกระด้างหรือกระแทก ให้ความรู้สึกถึงความหนักแน่นแข็งแรงของช่วงล่างสไตล์รถกระบะ ขับรูดฝาท่อหลุมบ่อได้แบบไม่ต้องกังวลมาก พอขึ้นทางด่วนใช้ความเร็วได้บ้าง รู้สึกถึงความหนึบแน่นมั่นคง พารถคันสูงใหญ่เลี้ยวโค้งด้วยความเร็วได้อย่างมั่นคง และให้ความมั่นใจแม้ใช้ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถยังไปได้อีกเยอะ ยังรู้สึกปลอดภัย ควบคุมง่าย และมีเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับกรณีฉุกเฉิน ช่วงจั๊มคอสะพานรู้สึกถึงความหนืดทั้งในช่วงยุบตัวที่เป็นไปอย่างช้าๆ และช่วงยืดตัวที่หน่วงหนืด ช๊อกฯ ดึงหน้ารถที่มีเครื่องยนต์หนักๆ วางอยู่ให้กลับสู่ระดับปกติได้เร็ว จึงไม่มีอาการหน้าสับหรือเด้งขึ้นลงหลายครั้ง

●   พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ ปรับอัตราทดให้น้อยลงและตอบสนองเร็วขึ้น เบาแรงขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ หนักเบาพอเหมาะเมื่อปรับท่านั่งให้ถูกต้อง ใช้งานในเมืองได้คล่องพอสมควร ลัดเลาะได้แบบไม่ต้องโหนพวงมาลัย และไม่เบาโหวงหรือวูบวาบเมื่อใช้ความเร็วสูง มีการแปรผันการผ่อนแรงที่เหมาะสม ขับช้าเบาแรง ขับเร็วหนืดมือ ทั้งช่วงล่างและพวงมาลัย ทำให้ขับรถคันสูงใหญ่ได้อย่างมั่นใจ มีความหนักแน่นมั่นคง แข็งแต่ไม่กระด้าง โดยส่วนแล้วชอบมากกกว่าการเซตช่วงล่างนิ่มๆ ย้วยๆ เพราะขับแล้วยวบยาบ ควบคุมรถยาก และไม่ค่อยมั่นใจ

●   เบรกหน้าดิสก์หลังดรัม ทำงานได้ตามมาตรฐานทั้งฟิลลิ่งและประสิทธิภาพ ดึงลดความเร็วรถคันสูงใหญ่ได้อย่างมั่นคง แตะเบรกแล้วไม่จับตัวเร็วเกินไปหรือเบรกไหล กะระยะเบรกได้ง่าย ตลอดการขับก็ใช้ความสูงของรถให้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะช่วงที่ใช้ความเร็วสูง ก็มองไกลๆ จะได้หาช่องทางหลบหลีกล่วงหน้า หรือเบรกแต่เนิ่นๆ เพราะรถกระบะยกสูงน้ำหนักมาก การหักหลบฉุกเฉินที่ความเร็วสูงหรือเบรกกะทันหันล้วนเป็นความเสี่ยง เลี่ยงได้ก็ดีแม้จะมีระบบช่วยมากมายก็ตาม

ลุยทางโหดใช้ครบโหมดการขับ

●   แวะกินมื้อกลางวันแล้วขับต่ออีกนิดก็เข้าสู่ทางออฟโรด เป็นทางออฟโรดที่ค่อนข้างจริงจังคือ รถกระบะความสูงมาตรฐาน ขับเคลื่อน 2 ล้อไม่น่าไปได้ เพราะบางช่วงต้องขับผ่านร่องน้ำเซาะทั้งตามยาวและตามขวาง มีหลุมเนินสลับตามธรรมชาติ ไม่เหมือนสถานีออฟโรดจำลองที่เคยขับ ช่วงที่รอตั้งขบวนพร้อมซักซ้อมทำความเข้าใจผ่านวิทยุสื่อสาร เพื่อความมั่นใจจึงเปลี่ยนเป็นระบบ 4H หมุนปุ่มได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์หลักเป็นเกียร์ว่างเหมือนเวลาจะเข้า 4LO ทางช่วงแรกก็ยังสบายๆ เหมือนให้วอร์มร่างกายก่อน ยิ่งขับเข้าไปลึกๆ ทางก็ยิ่งโหดขึ้นเรื่อยๆ

●   การขับต้องเว้นระยะห่างจากคันหน้ามากกว่าปกติ ป้องกันทั้งหินดีดใส่กระจก คันหน้าไหลกลับมาชน และยังเป็นการดูไลน์ ดูเส้นทางและอุปสรรคต่างๆ ด้วย พยายามหลบเลี่ยงการขับเบียดหินที่มีความคมเพราะอาจจะบาดยางได้ ถ้าเจอสิ่งกีดขวางที่มีความสูงมากๆ ไม่แน่ใจว่าจะคร่อมพ้น ก็ให้ขับหลบหรือปีนขึ้นไปเลยดีกว่า การปีนไต่หรือหย่อนรถลงหลุมลึก ต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะเป็นรถเดิมๆ ยังมีบันไดข้างและกันชนหน้าหลัง ที่อาจจะครูดได้

●   ระบบ HDC ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ทำงานได้สอดคล้องกับการขับ เบรกได้นุ่มนวลแลไม่เหวอ ช่วยลดภาระผู้ขับ ไม่ต้องควบคุมเบรก ดูทาง เลือกไลน์ที่ดีที่สุดและควบคุมพวงมาลัยอย่างเดียว หรือจะดึงเกียร์หลักเข้าตำแหน่ง Manual ก็ช่วยได้อีกแรง เมื่อขับความเร็วต่ำและทางแคบพอดีคันรถ เปิดกล้องมองรอบคัน เลือกมุมมองกล้องที่ล้อหน้าซ้าย ทำให้กะระยะได้แม่นยำมั่นใจขึ้น

●   ช่วงสุดท้ายเป็นทางหินก้อนใหญ่สลับไปมา ปลดเกียร์หลักเป็น N แล้วกดและบิดสวิตช์ไปที่ 4LO กดปุ่มเปิดใช้ระบบ Electronic Locking Rear Differential ล็อกการหมุนล้อหลังทั้ง 2 ข้างด้วยระบบไฟฟ้า เผื่อว่าล้อใดล้อหนึ่งลอย อีกล้อจะได้มีแรงบิดพารถเคลื่อนตัวไปได้ ในโหมดนี้รถมีแรงบิดรวมเหลือเฟือทั้งจากเครื่องยนต์และอัตราทดเกียร์ ปล่อยให้รถเคลื่อนที่ด้วย Walking Speed ได้ นุ่มนวลกว่าการกดคันเร่งเอง เพราะบางจังหวะรถเหวี่ยง คนขับก็เหวี่ยงทำให้ควบคุมน้ำหนักในการกดคันเร่งได้ยาก และเมื่อไม่ต้องกดคันเร่ง ก็มีสมาธิในการดูทางและคุมพวงมาลัยมากขึ้น

●   ในโหมด 4H พวงมาลัยแทบไม่มีอาการขืน เลี้ยวมุมค่อนข้างแคบได้สบาย ส่วนในโหมด 4LO จะรู้สึกถึงการขืนนิดๆ แต่ก็ยังหมุนพวงมาลัยได้ง่าย ด้วยตัวรถที่ยกสูง ช่วงล่างที่ให้ตัวได้มาก ระบบและตัวช่วยต่างๆ รวมทั้งเพื่อนร่วมทางที่ช่วยดูไลน์ ทำให้คนขับที่มีประสบการณ์ไม่มากนักในด้านการขับออฟโรดในสภาพถนนจริง สามารถขับผ่านไปได้โดยสวัสดิภาพ รถไม่บุบสลายหรือกระแทก ชื่นชมความสวยงามของจุดชมวิวเขาแด่นได้อย่างสบายใจ เพราะขากลับต้องสลับผู้ขับแล้ว

●   นิสสัน นาวารา PRO-4X 4WD 7AT เด่นที่รูปลักษณ์ภายนอกดูลุยๆ ดุดันทันสมัยลงตัว ภายในให้อุปกรณ์ครบครัน โดยรวมดูดีแบบเรียบๆ กึ่งอนุรักษณ์นิยม การตกแต่งบางจุดยังรอการปรับเปลี่ยน ความกว้างขวางเหลือเฟือ การเก็บเสียงทำได้ดี อีกจุดเด่นคือ เครื่องยนต์และเกียร์ มีการทำงานที่สอดคล้องส่งเสริมกันได้ดี เครื่องยนต์จัดจ้านพอตัว ลากรอบลื่นไหล เกียร์ก็ถ่ายทอดแรงได้ต่อเนื่องทันใจ อัตราเร่งดี แถมมีการทำงานที่เงียบและนุ่มนวล อัตราสิ้นเปลืองแปรผันตามน้ำหนักเท้าและสภาพการจราจร ระบบกันสะเทือนและพวงมาลัยให้ความรู้สึกในแบบที่ชอบและคิดว่าเหมาะสมกับประเภทรถ คือ หนักแน่นมั่นคงแข็งแรง และยังมีความนุ่มนวลในระดับที่รถกระบะ 4 ประตูควรจะให้ได้ ราคา 1,149,000 บาท คุ้มค่าถ้าถูกใจ ส่วนจะซื้อไปใช้งานแบบไหนก็เป็นเรื่องของเจ้าของเงิน   ●

Group Test : 2021 Nissan Navara PRO-4X 4WD 7AT