March 20, 2021
Motortrivia Team (10191 articles)

Toyota Corolla Altis 1.8 Sport ลงตัวทั้งความคุ้มค่าและสมรรถนะ

เรื่อง – ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

●   ช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา โตโยต้า ประเทศไทย ปรับทัพ อัลติส หลายรุ่นย่อย ทั้งเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ เพิ่มอุปกรณ์ในรุ่นเดิม และปรับเปลี่ยนชื่อรุ่น เน้นความคุ้มค่ายิ่งขึ้น ทีมงานมอเตอร์ทริเวียมีโอกาสได้ทดลองขับรุ่นย่อยใหม่ 1.8 SPORT สีขาว Platinum White Pearl ราคาน่าสนใจ 964,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่สบายใจที่จะใช้รถไฮบริด แต่อยากได้อุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน

อุปกรณ์ครบในราคาเอื้อมถึง

●   ถ้าเปิดเวบไซต์ toyota.co.th/model/altis/specification เพื่อเปรียบเทียบราคาและอุปกรณ์มาตรฐาน จะพบว่ารุ่น 1.8 SPORT มีอุปกรณ์เพื่อความสะดวกและปลอดภัย เทียบเท่ารุ่น Hybrid Premium ที่มีราคา 994,000 บาท (แพงกว่า 30,000 บาท) และมีอุปกรณ์มากกว่ารุ่น Hybrid Smart ราคา 939,000 บาท (ถูกกว่า 25,000 บาท) หลายรายการ และถ้าเทียบกับรุ่นเบนซิน 1.8 ด้วยกันอย่าง GR Sport ที่มีราคา 1,009,000 บาท ซึ่งแพงกว่ารุ่น 1.8 SPORT 45,000 บาท มีอุปกรณ์มาตรฐานมากกว่าเล็กน้อย แต่เน้นการตกแต่งแบบสปอร์ตเป็นหลัก ดังนั้นรุ่น 1.8 SPORT จึงลงตัวสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ขนาดกลางกึ่งใหญ่ สำหรับใช้งานทั่วไป เน้นความสะดวกสบาย และยังไม่อยากข้ามไปไฮบริด

●   ไล่เรียงอุปกรณ์มาตรฐานกันอีกครั้ง ภายนอกประกอบด้วย ไฟหน้า LED พร้อมไฟ DRL แบบ LED และระบบ Follow-Me-Home ปรับระดับสูงต่ำได้ ลองเปิดไฟหน้าแล้วหมุนสวิตช์ปรับระดับไฟหน้า นับได้ถึง 11 ระดับ มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ป้องกันการลืมเปิดไฟหน้าได้ดี เพราะรถยุคใหม่ไฟชุดมาตรวัดสว่างตลอดเวลาอยู่แล้ว จึงมีโอกาสลืมเปิดไฟหน้าได้

●   ด้านหน้านอกจากจะดูดีด้วยไฟหน้า Bi-Beam LED Projector พร้อม LED Daytime Running Lights แล้วยังหล่อเหลาด้วยกระจังหน้าแบบสปอร์ต ไฟตัดหมอกหน้าถูกตัดออกไป แต่เท่าที่ลองขับใช้งานตอนกลางคืน ความสว่างของไฟหน้าก็เหลือเฟืออยู่แล้ว ถ้าอยากติดเพิ่มเพื่อความสวยงามก็เบิกศูนย์ได้ในราคาไม่แพงมาก พร้อมการรับประกัน โดยรวมมุมมองด้านหน้าดูดีเหมือนคัมรี่ย่อส่วน

●   ตัวถังด้านข้างทรงลิ่มหน้าลาดต่ำไล่ระดับสูงขึ้นสู่ด้านท้าย เติมความเฉียบคมด้วยเส้นสายพาดยาวหน้าจรดหลัง ขอบล่างของตัวรถคล้ายเป็นสเกิร์ตในตัวดูไม่โล่งจนเกินไป เสริมหล่อด้วยล้อแม็กทูโทนขนาด 17 นิ้ว ยาง 225/45 R17 ส่วนด้านท้ายดูสปอร์ตด้วยกันชนท้ายที่เล่นเส้นสายรับกับฝากระโปรงที่ออกแบบให้มีมิติ ขอบบนยกสันคล้ายเป็นสปอยเลอร์ในตัว มาพร้อมไฟท้ายแบบ Full LED

●   ภายนอกโดยรวมดูสวยแบบเรียบๆ ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่ถึงกับเรียบโล่งจนเกินไป วัยรุ่นขับได้วัยผู้ใหญ่ขับไม่เคอะเขิน การออกแบบกลางๆ ไม่เด่นไม่ด้อย มิติตัวรถมีความยาว 4,630 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร สูง 1,435 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,530/1,534 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุด 135 มิลลิเมตร ถังน้ำมันจุ 50 ลิตร

ห้องโดยสารเงียบกว้างอุปกรณ์มาตรฐานครบ

●   จุดหลักของการเพิ่มรุ่นนี้ก็คือ การเลือกใส่อุปกรณ์มาตรฐานที่ได้ใช้งานบ่อย และอุปกรณ์ที่มีแล้วทำให้ภาพรวมดูดีขึ้น สะดวกสบายและเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว สำหรับระบบ Smart Entry และ Push Start แค่พกกุญแจรถไว้ไม่ต้องหยิบออกมา ก็สามารถล็อก-ปลดล็อกและสตาร์ตรถได้ เปิดประตูเข้าไปจะเจอกับภายในที่ตกแต่งด้วยสี Piano Black แซมด้วยสีโครเมียม เบาะหนังและวัสดุสังเคราะห์สีดำ เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า พร้อมที่ดันหลังไฟฟ้า

●   กระจกหน้าแบบ Acoustic Glass ลดเสียงรบกวน ที่ปัดน้ำฝนหน่วงเวลาและตั้งเวลาได้ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว พับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อกรถ ในชุดมาตรวัดมีจอ MID-Multi Information Display ขนาด 7 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นปรับ 4 ทิศทาง พร้อมครูสคอนโทรล จอที่คอนโซลกลางเป็นระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay ทำงานร่วมกับกล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะแบบตายตัว ไม่แปรผันตามการหมุนพวงมาลัย ดีตรงที่มีเซนเซอร์กะระยะด้านหลังแยกซ้าย-ขวา พร้อมเสียงเตือนและสัญลักษณ์เตือนระยะในชุดมาตรวัดด้วย ไม่ได้ให้ผู้ขับกะระยะจากเส้นที่จอกลางเพียงอย่างเดียว ชอบใจกับระบบ Outer Mirror Reverse Function ปรับระดับกระจกข้างอัตโนมัติเมื่อเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง ทั้งด้านซ้ายและขวา ถ้าไม่อยากให้ปรับลง ก็หมุนสวิตช์เลือกปรับทิศทางกระจกมองข้างไว้ตรงกลางก็จะเป็นการปิดระบบ

●   ใต้แผงคอนโซลฝั่งผู้โดยสาร มีช่อง USB ด้านหน้าเชื่อมต่อกับชุดเครื่องเสียง แอร์อัตโนมัติพร้อมช่องแอร์หลัง มีที่ชาร์จแบบไร้สาย บนเพดานติดตั้งไฟอ่านแผนที่ ไฟส่องในที่บังแดดทั้ง 2 ฝั่งพร้อมกระจกเงาและฝาเลื่อนปิด เสียดายที่กระจกมองหลังตัดแสงแบบกระดกด้วยมือ ที่เก็บของกลางเบาะหน้าความจุน้อยไปนิด น่าจะเพราะต้องแบ่งพื้นที่ให้ช่องแอร์ด้านหลัง เปิดฝาที่เท้าแขนแบบบุนุ่มจะเจอกับช่อง USB และช่องจ่ายไฟฟ้า 12 โวลต์ คันเกียร์แบบโยกตรง มีโหมด M +/- 7 จังหวะ ถัดลงมาเป็นสวิตช์เบรก HOLD ลดความเมื่อยล้าเวลารถติด การปลดเบรกทำได้นุ่มนวลดี และเบรกมือไฟฟ้า เบาะหลังพับได้ 60:40 มีที่เท้าแขนตรงกลาง และมีช่องแอร์ที่ด้านหลังของที่เท้าแขนกลางเบาะหน้าด้วย

●   ชุดระบบความปลอดภัย ประกอบด้วย ระบบ Blind Spot Monitor ช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง, ระบบ Rear Cross Traffic Alert ช่วยเตือนจุดอับสายตาขณะถอยหลัง, ฟังก์ชั่น Back Guide Monitor กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, ระบบ Cruise Control ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ส่วนชุดระบบความปลอดภัยพื้นฐานมี ABS ป้องกันล้อล็อก, EBD กระจายแรงเบรก, BA เพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน พร้อมสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน EBS, TRC ป้องกันล้อหมุนฟรี, VSC รักษาเสถียรภาพ, HAC ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, แอร์แบ็ก7 ตำแหน่ง ประกอบด้วยคู่หน้า ด้านข้าง ม่านนิรภัย และแอร์แบ็กหัวเข่าผู้ขับ และโครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA พร้อมคานนิรภัย

●   ถ้ามองในแง่อุปกรณ์มาตรฐานทั้งเพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัย ถือว่าให้มาครบและคุ้มค่าในงบประมาณต่ำล้าน ภายในกว้างขวางนั่งสบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง การเก็บเสียงทำได้ดี เดินทางด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงลมปะทะมีน้อย เสียงเครื่องยนต์แทบไม่ได้ยิน ส่วนเสียงยางจะดังชัดกับพื้นผิวถนนบางประเภท

เครื่องยนต์เน้นใช้งาน

●   เครื่องยนต์รหัส 2ZR-FBE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,798 ซีซี อัตราส่วนการอัด 10.0:1 รองรับ E20 และ E85 กำลังสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Sequential Shift 7 จังหวะ ไม่มี Paddle Shift ที่พวงมาลัย

●   จากอุปนิสัยส่วนตัวที่ขับรถแบบเรื่อยๆ ตามสภาพการจราจร เร่งแซงตามจังหวะ ทำให้รู้สึกว่าเครื่องยนต์บล็อกนี้ตอบโจทย์ เพราะขับได้นุ่มนวล เร่งได้ดีพอสมควร และมีความต่อเนื่องจากเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่เด่นเรื่องการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลแทบไม่รู้สึก การเร่งแซงฉุกเฉินคิ๊กดาวน์เปลี่ยนเกียร์ลงต่ำยังรู้สึกชอบการตอบสนองของเกียร์อัตโนมัติแบบฟันเฟืองมากกว่า ลองเปิดใช้โหมด SPORT ชุดมาตรวัดความเร็วเปลี่ยนเป็นสีแดง คันเร่งกระฉับกระเฉงขึ้นอีกนิดพอสนุก สำหรับเครื่องยนต์และเกียร์ชุดนี้ ถ้าเน้นขับแบบสปอร์ตอาจไม่ถูกใจ แต่ถ้าขับใช้งานทั่วไปน่าจะโอเค ขับดีเร่งได้ทันใจ กับอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยแถบชานเมือง 13-14 กิโลเมตรต่อลิตร

ช่วงล่างเน้นนุ่มเบาแต่เอาอยู่

●   ระบบกันสะเทือนอิสระพร้อมเหล็กกันโคลงทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สัน ด้านหลังปีกนกคู่ เบรกดิสก์ 4 ล้อ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS วงเลี้ยวแคบสุด 5.4 เมตร เซตมาเอาใจสายชิล ขับเรื่อยๆ ไม่เร็วมากก็ให้ความหนักแน่นมั่นคงดี เข้าโค้งกว้างๆ ด้วยความเร็วสูงกว่าปกติเล็กน้อย ยังรับมือได้สบาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องแน่ใจว่าชินกับน้ำหนักพวงมาลัยที่โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเบาไปนิด ถ้าหนืดอีกหน่อยโดยเฉพาะที่ความเร็วสูงๆ จะดีมาก ความหนืดของสปริงและช๊อกฯ ถือว่าเหมาะสมกับสไตล์และกลุ่มเป้าหมายของรถ เน้นซับแรงสะเทือนได้ดี พอจะรองรับความเร็วเกินกฎหมายกำหนดไปเล็กน้อยได้ เบรกไม่เด่นไม่ด้อย การจับตัวเมื่อเริ่มแตะเบรกและแรงของการเบรก สัมพันธ์กับน้ำหนัดเท้าที่กดแป้นเบรก ทำให้เบรกให้นุ่มนวลได้ง่ายตั้งแต่ครั้งแรกที่ขับ ไม่ต้องปรับตัวเยอะ กดเบรกหนักๆ ก็ดึงรถอยู่ดี เบรกมั่นใจ

●   โตโยต้า โคโรลล่า อัตติส 1.8 SPORT ราคา 964,000 บาท น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถไว้ใช้งานทั่วไป และยังสบายใจกับการใช้เครื่องยนต์เบนซินมากกว่าไฮบริด รับได้กับอัตราสิ้นเปลืองในเมือง ที่กินมากกว่ารุ่นไฮบริดอยู่เล็กน้อย อุปกรณ์มาตรฐานทั้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้มาแน่นๆ รูปลักษณ์ภายนอกไม่ขี้เหร่ ภายในกว้างขวางและเงียบนั่งสบาย ดีไซน์อาจจะดูธรรมดาไปนิด ถ้าโอเคก็จะได้ความสบายใจเรื่องบริการหลังการขาย 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร กับศูนย์บริการที่แพร่หลายกว่า 471 แห่งทั่วไทย   ●

Test Drive : Toyota Corolla Altis 1.8 Sport