2022 Mercedes-Benz EQS ซาลูนหรูไฟฟ้าล้วนแบบแบตเตอรี่

4.3Kviews

เรื่อง : AREA 54

● เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวซาลูนหรูฟูลไซส์รุ่นใหม่ Mercedes-Benz EQS พร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนแบบแบตเตอรี่ งานออกแบบคลี่คลายรูปแบบมาจากรถต้นแบบ Mercedes-Benz Vision EQS Concept ที่จัดแสดงไปในงาน Internationale Automobil-Ausstellung 2019 การจำหน่ายจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2021 นี้

● แม้ว่าโดยรวมจะดูคล้าย S-Class ทว่า EQS ใหม่จะนับเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของซับ-แบรนด์ EQ ที่ประเดิมใช้แพลทฟอร์มใหม่ล่าสุด MEA หรือ Modular Electric Architecture ซึ่งเมอร์เซเดสออกแบบเพื่อผลิตรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ พื้นตัวถังเป็นแบบเรียบ แบตเตอรี่แพคจัดวางไว้กึ่งกลางตัวรถ วัสดุที่ใช้ในการผลิตประกอบด้วยโลหะ, อะลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงวัสดุในกลุ่มรีไซเคิล

● ไฮไลท์ในห้องโดยสารคือชุดระบบอินโฟเทนเมนท์รุ่นใหม่ แสดงผลด้วยชุดจอโค้ง OLED ขนาดมโหฬาร MBUX Hyperscreen วางเต็มพื้นที่ตลอดแผงแดชบอร์ด รวมแล้วนับเป็นการแสดงผลด้วยจอโค้งรวม 56 นิ้วเป็นรายแรกของโลก แยกเป็นมาตรวัดฟูลดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้วสำหรับผู้ขับ, จอกลางขนาด 17.7 นิ้ว และจอสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 12.3 นิ้ว ทั้ง 2 จอเป็นจอสัมผัสที่มาพร้อมฟังก์ชั่นสั่น (haptic) ตัวซอฟท์แวร์ระบบ MBUX เป็นรุ่นล่าสุด ประมวลผลด้วย CPU octa-core (8 แกนสมอง) พร้อมแรม 24 GB รองรับการใช้งานผู้ช่วยเสมือนที่ใช้เทคโนโลยี AI.

● ปิดท้ายด้วยฟังก์ชั่นเก๋ๆ ปิดประตูได้ด้วยการกวักมือแบบ Gesture control หรือใช้คำสั่งเสียง “close my door” ผ่านชุดคำสั่งเริ่มต้น Hey, Mercedes

● เทคโนโลยีอื่นๆ ในกลุ่มชุดระบบอำนวยความสะดวก, ช่วยขับ และระบบความปลอดภัย มีอาทิ ฟังก์ชั่น one-pedal driving เหยียบเร่ง-ถอนเบรค, ระบบ Active Lane Keeping Assist ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, ระบบ Active Lane Change Assist ช่วยผู้ขับเปลี่ยนช่องจราจร, ระบบ Active Blind Spot Detection ตรวจจับรถในจุดบอดขณะเปลี่ยนเลน, ระบบ Active Emergency Stop Assist ช่วยเตือนผู้ขับในกรณีที่ไม่มีการตอบสนองต่อการขับ เช่น หลับในหรือหมดสติ ระบบจะค่อยๆ หยุดรถในช่องจราจรนั้นๆ พร้อมเปิดไฟฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ, ระบบ Evasive Steering Assist ช่วยหลบหลีกการชนด้านหน้า ใช้สัญญาณเรดาร์และกล้อง MPC ตรวจจับคนและสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตราย และระบบ Intelligence Parking Pilot ช่วยจอดอัตโนมัติ เป็นต้น

● ไฮไลท์คือชุดระบบใหม่ DRIVE PILOT ซึ่งเป็นระบบช่วยขับแบบอัตโนมัติ ทำงานจนถึงความเร็วสูงสุด 60 กม./ชม. ในระหว่างการจราจรติดขัดอย่างหนัก ทว่าหากจะใช้งานบนมอเตอร์เวย์ ระบบนี้จะอนุญาตให้ใช้งานได้บนมอเตอร์เวย์บางเส้นที่เหมาะสมในเยอรมนีเท่านั้น ตัวระบบใช้ความสามารถร่วมกันระหว่างกล้องรอบคัน, เซนเซอร์ต่างๆ รวมถึง LiDAR เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของแบรนด์อื่นๆ

● ชุดระบบขับเคลื่อนเลือกได้ 2 แบบ ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวแบบกระแสสลับ แม่เหล็กถาวร หมุนล้อคู่หลัง กำลังสูงสุด 329 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 57.8 กก.-ม. อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 6.2 วินาที ต่อด้วยรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ หมุนล้อแบบ AWD (4MATIC) กำลังสูงสุด 516 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 87 กก.-ม. อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 4.3 วินาที ทั้งคู่จำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ประมาณ 209 กม./ชม.

● ในช่วงแรก EQS จะเริ่มทำตลาดด้วยแบตเตอรี่แพคความจุ หรือความสามารถในการจ่ายไฟต่อเนื่องภายใน 1 ชม. เท่ากับ 107.8 กิโลวัทท์-ชม. ชาร์จ 1 ครั้งวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 770 กม. จากการทดสอบตามมาตรฐาน WLTP ของยุโรป หลังจากนั้นจะมีรุ่น 90 กิโลวัทท์-ชม. ตามออกมาในภายหลัง ซึ่งแน่นอนว่าความจุที่ลดลงนี้จะช่วยให้ราคาเริ่มต้นของรถต่ำลงด้วย

● อย่างไรก็ตาม EQS ไม่ได้มีจุดขายอยู่ที่การรองรับสถาปัตยกรรมแรงดันไฟสูง (350 กิโลวัทท์) เหมือนกับคู่แข่งหลักอย่าง Porsche Taycan ทว่าหากผู้ขับชาร์จแบตเตอรี่ด้วยกำลังไฟ 200 กิโลวัทท์ ภายในระยะเวลาเพียง 15 นาที EQS ก็จะสามารถวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 300 กม. ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

● ด้านโครงข่ายสถานีชาร์จแบตเตอรี่ เมอร์เซเดสได้ร่วมมือกับ IONITY ติดตั้งสถานีชาร์จแบบเร็วตามเส้นทางหลักๆ ในโซนยุโรปตั้งแต่ช่วงปี 2019 โดยปัจจุบันน่าจะมีสถานีชาร์จที่เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 400 แห่ง (ข้อมูลจากช่วงปี 2019 ซึ่งเมอร์เซเดสระบุว่าจะเปิดให้บริการได้ทั้งหมดภายในปี 2020 ตามแผนงาน)

● คู่แข่งสำคัญที่รออยู่ในตลาดรถไฟฟ้ากลุ่มพรีเมี่ยมคือ Audi e-tron GT และ Porsche Taycan ซึ่งเปิดตัวในบ้านเราไปแล้วทั้ง 2 รุ่น และ Tesla Model S ซึ่งจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววของตัวแทนจำหน่าย (อย่างเป็นทางการ) เสียที

● Mercedes-Benz EQS ใหม่จะขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน Sindelfingen Plant ซึ่งตั้งอยู่รอบนอกของเมืองสตุทการ์ท โรงงานแห่งนี้นับเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ในเยอรมนีที่ผลิตรถในกลุ่ม EQ ราคาจำหน่ายในสหราชอาณาจักรคาดว่าจะเริ่มต้นประมาณ 80,000 ปอนด์ หรือราวๆ 3.5 ล้านบาทครับ ●