February 10, 2022
Motortrivia Team (10076 articles)

BMW ประกาศเดินหน้าสู่ยุคไฟฟ้า พร้อมเปิดตัวรถในเครือรวม 10 รุ่น

ภาพ : สุพรรณี ยังอยู่

●   บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เดินหน้าฉลองความสำเร็จต่อเนื่อง ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียม 2 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของบีเอ็มดับเบิลยู และมินิ 45.5% เพิ่มจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 44.6% และอัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า MINI Electric เพิ่มขึ้นถึง 263% เมื่อเทียบปีต่อปี พร้อมเปิดตัวยนตรกรรมใหม่ถึง 10 รุ่นมาครบทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้พร้อมสำหรับอนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้า

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

ปีแห่งความเป็นผู้นำของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

●   มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการขับเคลื่อนแห่งอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามเป้าหมายด้วยการส่งมอบความพึงพอใจในการขับขี่ พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และแนวคิดพลังแห่งทางเลือก (Power of Choice) ให้กับลูกค้า ส่งผลให้คะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS Score) ขึ้นสูงสุดทั้งด้านการขายและการให้บริการ เราตระหนักดีว่าลูกค้าทุกคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน เราจึงสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านโซลูชันส์ที่หลากหลาย เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดและความสุขให้แก่ลูกค้าตลอดเส้นทางแห่งการเดินทางของพวกเขา”

●   “สิ่งที่ทำให้เรามีความโดดเด่นและทำให้เป็นองค์กรเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือการที่เราผสานปรัชญาด้านนวัตกรรมที่มีมาอย่างยาวนานกับพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้า เรายังสร้างสรรค์นวัตกรรมไปสู่การเปิดตัวเทคโนโลยีผู้ช่วยขับขี่อันล้ำสมัยในตลาดไทย ส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมนี้ เราได้สร้างสรรค์อนาคตแห่งยนตรกรรมที่พร้อมทั้งดิจิทัลและมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น โดยผสมผสานทั้งดีไซน์ พลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อ และความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน เราพร้อมจะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนแห่งอนาคต และมุ่งหมายที่จะจุดกระแสแนวทางแห่งการขับเคลื่อนด้วยยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้แก่ผู้ขับขี่ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ยานยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และโดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2565”

คุณกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ทำลายสถิติด้านการผลิต

●   มร. เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “ปี 2564 เป็นปีแห่งประวัติการณ์ของการผลิตของเรา โดยจำนวนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ถูกผลิตไปทั้งหมด 33,428 คัน รวมการผลิตทั้งหมดกว่า 250,000 คัน นับตั้งแต่เปิดโรงงาน การผลิตในปี พ.ศ. 2543 และเรายังคงสามารถปรับเปลี่ยนไลน์การผลิต ให้มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับความต้องการแต่ละช่วง ซึ่งการผลิดรถยนต์นั้นได้เพิ่มขึ้นกว่า 17.8% รวมถึงการผลิตเพื่อการส่งออกได้เพิ่มขึ้น 11.6% เช่นกัน”

●   “เรายังมุ่งมั่นในเรื่องความยั่งยืนภายใต้แนวคิดการกำจัดขยะโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม (zero-waste-to-landfill) โดยในด้านการผลิตนั้น เราสามารถลดปริมาณขยะในการผลิตแต่ละโมเดลได้ถึง 35.6% นำปริมาณของขยะสะสมไปรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 27,208 ตัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เรายังมุ่งมั่นในด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon-neutral) หรืองดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยมีการใช้พลังงานสะอาดจากแผงโซล่าเซลล์ในบางส่วนที่โรงงานระยอง และพลังงานบางส่วนมาจากเครือข่ายการจ่ายไฟฟ้า (grid) ซึ่งได้รับการรับรองเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สำหรับด้านการสนับสนุนบุคลากรรุ่นใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ BMW Service Apprentice Program นั้น มีนักศึกษาทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ในโครงการฯ และนักเรียนที่สำเร็จการศึกษารวม 223 คน และในจำนวนนี้ ได้เข้าทำงานกับผู้จำหน่ายรวม 186 คน ในขณะที่โครงการการศึกษาระบบทวิภาคีด้านแมคคาทรอนิกส์ที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ซึ่งมอบทุนการศึกษาเต็มจำนวนและเบี้ยเลี้ยงตลอดระยะเวลาโครงการ มีนักศึกษาลงทะเบียน 102 คน และทำงานในโรงงานที่ระยอง 33 คน”

มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย

บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยเดินหน้าโครงการด้านดิจิทัล

●   มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า “ถึงแม้ปีที่ผ่านมา เรายังต้องเผชิญกับความท้าทายในสถานการณ์โควิด แต่ยอดสินเชื่อของธุรกิจใหม่นั้นเติบโตขึ้นถึง 13% โดยสองในสามของลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยู ให้ความมั่นใจทำธุรกรรมกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิสในปี 2564 ส่งผลให้ยอดรวมของสินเชื่อใหม่คิดเป็นมูลค่า 19,000 ล้านบาท โดยยอดสินเชื่อรวมในพอร์ตของบริษัทฯ ในขณะนี้เท่ากับ 52,000 ล้านบาท เราได้มองเห็นเทรนด์ของตลาดในเรื่องที่ลูกค้าให้ความสนใจด้านผลิตภัณฑ์ที่การันตีมูลค่าในอนาคต (Guaranteed Future Value) ผ่านโปรแกรมทางการเงิน Freedom Choice ในการมอบทางเลือกและอิสระสูงสุด ซึ่งเติบโตขึ้นถึงสองเท่า”

●   “และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กับการดำเนินงานอันยาวนานในประเทศไทย ร่วมกับผู้จำหน่ายอันทรงเกียรติและพันธมิตรอย่างเป็นทางการ ทางบริษัทฯ จึงมอบรางวัลพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้โชคดีที่ซื้อบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมทำสัญญาทางการเงินกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิสไปแล้ว รวมมูลค่า 2.6 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยยังคงมีรางวัลใหญ่ ได้แก่ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupe จำนวน 1 คัน รถยนต์ไฟฟ้า มินิ คูเปอร์ เอสอี จำนวน 1 คัน และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT จำนวน 1 คัน ที่เตรียมมอบในช่วงท้ายของแคมเปญในปีนี้อีกด้วยและนอกเหนือจากแคมเปญนี้ เรายังคงสนับสนุนแบรนด์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปทั้งหมดร่วมกับแคมเปญต่าง ๆ ที่ยังคงมีให้ลูกค้าทุกท่านอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะมุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของเราทุกท่าน”

●   ในปี 2564 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยได้ให้สัญญาในเรื่องการส่งมอบเทคโนโลยีโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เช่น การมอบความสะดวกสบายด้วยการขอสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ ให้เชื่อมต่อกับช่องทางการจองผ่านออนไลน์ของบีเอ็มดับเบิลยู ทั้งนี้เส้นทางของการเพิ่มประสบการณ์แก่ลูกค้านั้นไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ แต่ยังจะเพิ่มเติมต่อเนื่องในปี 2565 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ต่าง ๆ เช่น การบริการด้านไฟแนนซ์ อย่างเต็มรูปแบบ หรือ “MyBMW Finance” เพื่อให้ลูกค้าสามารถจัดการด้านไฟแนนซ์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย ผ่านทางแพลตฟอร์มในการตรวจสอบตัวตนด้วยระบบ เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์อันดีให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ยอดจดทะเบียนในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% ร่วมกับการขยาย ChargeNow ตามพื้นที่ต่างๆ

●   บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% และได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทยมาโดยตลอด ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าทั้งในรูปแบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หลากหลายรุ่นให้แก่ผู้ขับขี่ในประเทศไทย และยังร่วมมือกับพันธมิตรในการขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ChargeNow เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งเปิดกว้างให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทุกยี่ห้อ พร้อมติดตั้งหัวจ่าย ChargeNow ไปแล้วทั้งหมด 130 หัวจ่าย ใน 48 สถานีทั่วประเทศไทย นอกจากนั้น ยังมีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมถึงสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่กรุงเทพฯ พร้อมติดตั้งหัวจ่ายทั้งสิ้น 183 หัวจ่าย ดังนั้น เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้บริการ ChargeNow ได้อย่างสะดวกสบายภายใต้เครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมทั้งสิ้น 313 หัวจ่าย พร้อมทั้งมีการส่งมอบเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ Wallbox แก่ลูกค้าทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้นราว 2,000 เครื่อง

●   ทั้งนี้ จากเครือข่ายความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังสามารถเข้าถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้ากว่า 300 หัวจ่าย ดังนั้น เมื่อรวมจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่มีให้บริการในโครงการ ChargeNow ผู้จำหน่ายของบีเอ็มดับเบิลยู และพาร์ตเนอร์ทั้งหมด ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิจะสามารถเข้าถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้ทั้งหมดกว่า 600 หัวจ่าย นอกจากนั้น ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2565 นี้ เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน EVolt ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเพื่อใช้บริการสถานี ChargeNow

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอบแทนคืนสู่สังคมไทย

●   เรื่องความยั่งยืนเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลักของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯ มุ่งหมายที่จะสร้างความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว เฉกเช่นเดียวกับการสร้างความยั่งยืนภายในบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง โดยให้ทุกภาคส่วนในเครือมีส่วนร่วมในการคิดและสนับสนุนเรื่องความยั่งยืนในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจและธรรมาภิบาล

●   บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยได้ริเริ่มกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนเพื่อสนับสนุนสังคมไทยมากมาย เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการกับลูกค้าด้วยการสมทบเพิ่มจากเงินบริจาคของลูกค้าแต่ละรายในจำนวนเท่ากัน การจัดงานบีเอ็มดับเบิลยู กอล์ฟ คัพ 2564 ที่นำเงินค่าสมัครเข้าร่วมกิจกรรมไปสมทบกองทุนสู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ) ของมูลนิธิชัยพัฒนา มีการสนับสนุนเรื่องการตรวจ ATK เชิงรุกในเขตกรุงเทพมหานครร่วมกับทีมแพทย์ชนบท รวมถึงอาสาสมัครที่ดูแลเรื่องการส่งอาหารและยาสำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อโควิดในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ทางบีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังได้จับมือกันเรื่องการให้บุคคลากรทางการแพทย์สามารถยืมใช้รถโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และการให้บุคคลทั่วไปเช่ารถผ่านแอพพลิเคชั่นคาร์แชร์ริ่ง HAUP ในราคาที่เหมาะสม ทางบริษัทฯ ยังเดินหน้าส่งต่อความช่วยเหลือในช่วงวิกฤติโควิด-19 ผ่านกิจกรรมประมูลเพื่อการกุศล “We Care, We Share” ภายใต้มูลนิธิแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ เพื่อสนับสนุนการจัดสร้างห้องระบบแลกเปลี่ยนอากาศแรงดันลบแบบสมบูรณ์ (True Negative Pressure) ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ โดยมูลนิธิชัยพัฒนา

●   นอกจากนี้ มูลนิธิแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ ยังคงเดินหน้ากิจกรรมการบริจาคเครื่องกรองน้ำเข้าสู่ปีที่ 7 เพื่อช่วยเหลือและให้ความรู้คนในชุมชนให้มีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค ขณะที่ทางโครงการได้มอบเครื่องกรองน้ำไปแล้วกว่า 7,018 เครื่องใน 95 ชุมชนทั่วประเทศ

ไฮไลท์รถใหม่ 10 รุ่น ในปี 2565

●   BMW 430i Convertible M Sport : บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 เวอร์ชั่นเปิดประทุน พร้อมชุดแต่ง M Sport เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Sport Steptronic พร้อมช่วงล่าง M Sport กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,550 และ 4,400 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.2 วินาที

●   ราคาโดยประมาณ 4,300,000 – 4,500,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้)

●   BMW X6 xDrive40i M Sport : (รุ่นประกอบในประเทศ) X6 xDrive40i M Sport เจเนอเรชั่นที่ 3 ประกอบขึ้นในประเทศไทย เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ BMW TwinPower Turbo ขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive เจเนอเรชั่นล่าสุด กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 5,200 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   ราคาจำหน่าย: 5,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

●   BMW X7 xDrive40d M Sport : (รุ่นประกอบในประเทศ) รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (SAV) เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบรุ่นใหม่ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo เสริมความประหยัดด้วยระบบ Mild Hybrid แบบ 48 โวลท์ เกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,250 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 6.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 243 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   ราคาโดยประมาณ 6,100,000 – 6,300,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้)

●   BMW i4 M50 และ BMW i4 eDrive40 M Sport : รถยนต์นั่งขนาดกลาง i4 มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ประกอบด้วย 2 รุ่นย่อย ได้แก่ i4 M50 รถ M รุ่นแรกจาก M GmbH ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 795 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.9 วินาที วิ่งทำระยะทางได้สูงสุด 521 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และ i4 eDrive40 M Sport ขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.7 วินาที วิ่งทำระยะทางได้สูงสุด 590 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

●   เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชั่น 5 ใช้แบตเตอรีแพคความจุ 83.9 กิโลวัทท์-ชั่วโมง ชาร์จไฟแบบกระแสตรง (DC) ได้สูงสุดที่ 205 กิโลวัทท์ ระยะเวลาในการชาร์จ 0 – 80% จากจำนวนเต็มประมาณ 31 นาที

●   BMW i4 M50 ราคาจำหน่าย: 4,999,000 บาท จำกัดจำนวน 16 คัน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) ส่วน BMW i4 eDrive40 M Sport ราคาจำหน่าย: 4,499,000 บาท จำกัดจำนวน 6 คัน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) ฟรี BMW Wallbox พร้อมติดตั้ง สำหรับลูกค้า 22 ท่านที่จองออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

●   BMW iX3 M Sport : มากับแบตเตอรี่แพค 80 กิโลวัทท์-ชั่วโมง ระยะเวลาในการชาร์จ 0 – 80% ภายใน 34 นาที กำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จ 1 ครั้งวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP

●   ราคาจำหน่าย: 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) ฟรี BMW Wallbox พร้อมติดตั้ง สำหรับลูกค้า 33 ท่านแรกที่จองออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

●   MINI John Cooper Works Anniversary Edition : ฉลอง 60 ปีด้วยรุ่น Anniversary Edition เป็นครั้งแรกในประเทศไทย จำนวนจำกัดเพียง 740 คันทั่วโลก บ้านเราได้โควต้า 22 คัน ตัวรถใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 จังหวะ กำลังสูงสุด 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร อัคราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 246 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   ราคาจำหน่าย: 3,450,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

●   MINI Cooper S Convertible Sidewalk Edition : รุ่นพิเศษสีเหลือง Zesty Yellow หลังคาเปิดประทุนในดีไซน์ Sidewalk จำกัดจำนวนในไทย 12 คัน เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.1 วินาที

●   ราคาจำหน่าย: 3,090,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard) โดยจะเปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ minionlinesales.com ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

●   BMW R 1250 RT : มอเตอร์ไซค์ทัวริ่งรุ่นใหม่ที่มาพร้อม R 1250 RT ใหม่ สี Option 719 Mineral white metallic เครื่องยนต์บ็อกเซอร์รุ่นใหม่ เทคโนโลยี BMW ShiftCam แบบ 2 สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลว 1,254 ซีซี กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที ประหยัดเชื้อเพลิง และปล่อยมลพิษน้อยลง มาตรฐานยูโร 5 โหมดในการขี่เลือกได้ระหว่าง Rain, Road และ Riding Modes Pro ที่เพิ่มโหมดการขับขี่แบบโปร คือ Dynamic, Dynamic Pro พร้อมโหมดใหม่ล่าสุด Eco

●   ราคาจำหน่าย: สี Triple Black และสี Racing Blue Metallic ราคา 1,310,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่วน Option 719 Mineral White Metallic ราคา 1,420,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

●   BMW S 1000 R : บิ๊กไบค์ โรดสเตอร์ ตระกูล R เฟรมตัวถังแบบใหม่ Flex Frame เช่นเดียวกับรุ่น S 1000 RR เครื่องยนต์ 4 สูบ 4 จังหวะ 999 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำและน้ำมัน กำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 114 นิวตันเมตร ที่ 9,250 รอบต่อนาที โหมดการขับขี่มี Rain, Road, Dynamic และ Dynamic Pro สามารถปรับตั้งค่าระบบควบคุมการยกของล้อหน้า และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง

●   ราคาจำหน่าย: 789,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

●   BMW K 1600 B : มอเตอร์ไซค์แบ็กเกอร์ พร้อมชุดแต่ง Option 719 Midnight เครื่องยนต์ 6 สูบ พร้อมเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยาแบบใหม่ และมีการปรับเปลี่ยนระบบให้ลดอัตราการปล่อยมลภาวะตามเกณฑ์ Euro 5 กำลังสูงสุด 160 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ที่ 5,250 รอบต่อนาที ช่วงล่างควบคุมด้วยไฟฟ้า (Dynamic ESA) Next Generation สามารถปรับระบบกันสะเทือนให้เหมาะสมกับสภาวะการขี่และน้ำหนักบรรทุกได้โดยอัตโนมัติ

●   ราคาโดยประมาณ 1,600,000-1,800,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้)

●   สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทย เชิญได้ที่ www.bmw.co.th หรือ www.mini.co.th หรือ www.bmw-motorrad.co.th หรือ Call Center โทร. 1397 ●