ในปี 2022 สถานีบริการไฮโดรเจนสำหรับรถ FCEV มีปริมาณเท่าใด?
เรื่อง : AREA 54
● ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไฮโดรเจน ฟิว เซลล์ หรือ Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) ยังมีโอกาสเกิดในเชิงพาณิชย์หรือไม่? เมื่อยกมือขึ้นมานับนิ้วเพื่อดูการแข่งขันของรุ่นรถในตลาด เราจะพบว่ามีรถ FCEV อยู่เพียงไม่กี่รุ่นที่อยู่บนสายพานการผลิต และผู้ขับในต่างประเทศน่าจะยิ่งรู้สึกปวดหัวขึ้นไปอีกเมื่อต้องคิดว่าเมื่อซื้อรถแล้วจะวางแผนไปเติมไฮโดรเจนที่ไหน?
● แม้ว่าไฮโดรเจนจะอยู่ในกลุ่มเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางหรือขนส่งคาร์บอนต่ำ ทว่า ณ ปัจจุบันรถ FCEV มีส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกเพียง 0.01% ในขณะที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่มีแนวโน้มในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเกือบทุกภูมิภาค
● ปัจจุบันรถ FCEV ส่วนบุคคลรุ่นหลักๆ ที่ทำตลาดโลก และมีการผลิตในเชิงปริมาณ ไม่นับรวมรถ FCEV ในกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์หรืออื่นๆ มีเพียง 3 รุ่นเท่านั้น ประกอบด้วย (1) Honda Clarity (2) Hyundai Nexo และ (3) Toyota Mirai
Hyundai Nexo
การตั้งสถานีไฮโดรเจนไม่ใช่งานการกุศล
● อันที่จริง เรื่องของโครงสร้างพื้นฐานนั้น ทั่วโลกมีการวางแผนงานระยะสั้นและระยะยาวมาอย่างต่อเนื่อง บ้างก็สำเร็จ บ้างก็ล่าช้าตามแต่ละสถานการณ์นั้นๆ (เช่น ชะงักงันจากการระบาดของ COVID-19) ยกตัวอย่าง ในปี 2016 สหรัฐฯ เคยอนุมัติงบประมาณถึง 46.6 ล้านดอลลาร์โดยคณะกรรมาธิการพลังงานแห่งรัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างสถานีไฮโดรเจน 100 แห่งภายใน 10 ปี… งบฯ ดังกล่าวนั้นเป็นงบฯ เบื้องต้นสำหรับการสร้างสถานีไฮโดรเจนเพียง 28 แห่งเท่านั้น และล่าสุถดในปี 2022 นี้ สหรัฐฯ เพิ่งมีสถานีไฮโดรเจนที่เปิดให้บริการบุคคลทั่วไปเพียง 45 สถานี
● ในปีเดียวกันที่ประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดโครงการสังคมไฮโดรเจน หรือ Hydrogen Society ประกาศเพิ่มจำนวนสถานีไฮโดรเจนจาก 80 สถานีเป็น 160 สถานี ภายในช่วงปี 2020 ทว่าล่าสุดในปี 2022 นี้ ญี่ปุ่นมีสถานีไฮโดรเจนทั้งหมด 159 สถานี แม้จะไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่ต้องให้เครดิทกับญี่ปุ่น เพราะตัวเลขนี้ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนสถานีไฮโดรเจนมากที่สุดในโลก
● เหตุผลสำคัญอีกประการ… การตั้งสถานีไฮโดรเจนไม่ใช่งานการกุศล และไม่ใช่เรื่องง่าย อันดับแรกต้องคำนึงถึงสถานที่, งบประมาณในการก่อสร้าง, ต้องมีโรงผลิตก๊าซไฮโดรเจนรองรับ, ระบบขนส่งก๊าซในรูปแบบต่างๆ, ระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดอย่างมาก* และท้ายที่สุดแล้ว สถานีนั้นๆ จะต้องมีรถ FCEV เข้ามาใช้บริการด้วย (อย่างน้อยก็ขอให้ถึงจุดคุ้มทุน ซึ่งตรงนี้ความร่วมมือระหว่างรัฐฯ และเอกชนจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวด)
หมายเหตุ : *ฮอนด้าตั้งสถานีไฮโดรเจนในแคลิฟอร์เนียโดยมีการวางแผนงานร่วมกับหน่วยงานรัฐอย่างน้อย 2 แห่ง ครอบคลุมงานออกแบบ, การก่อสร้าง และการวางแผนงานด้านความปลอดภัย พวกเขาใช้กล้องอินฟราเรดตรวจจับการทำงานของระบบทุกจุดตลอดเวลา และจะทำการหยุดทุกระบบการทำงานโดยอัตโนมัติ ทันทีที่เกิดเพลิงไหม้ หรือแผ่นดินไหว
Honda Clarity Fuel Cell
มีข้อดีย่อมมีข้อเสีย
● รถ FCEV มีมลพิษเป็นศูนย์ และปล่อยของเหลือเพียงแค่น้ำจริงไหม? จริงครับ… รถฟิวเซลล์เป็นรถไฟฟ้ารูปแบบหนึ่ง หลักการทำงานคร่าวๆ คือ ระบบจะใช้ไฮโดรเจนจากถังบรรจุเป็นสารตั้งต้นร่วมกับออกซิเจนในอากาศ จากนั้นป้อนส่วนผสมดังกล่าวเข้าไปในเซลล์เชื้อเพลิง หรือ Cell stack แล้วผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้า โดยมีสิ่งที่คงเหลือเป็นน้ำ (H2O)
● ทว่ากระบวนการผลิตไฮโดรเจนในเชิงพาณิชย์ไม่ได้สะอาดขนาดนั้น โดยพื้นฐานการผลิตไฮโดรเจนจะมีการนำก๊าซธรรมชาติมาทำปฏิกิริยากับไอน้ำอุณหภูมิสูงเพื่อเปลี่ยนสภาพของสารตั้งต้นให้เป็นก๊าซไฮโดรเจน กระบวนการนี้เรียกว่า SMR หรือ Steam Methane Reformation ซึ่งระหว่างกระบวนนี้จะมีการก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย นอกจากนี้ขั้นตอนการขนส่งไฮโดนเจนไปยังสถานีด้วยรถบรรทุก ก็ยังคงเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ก่อให้เกิดมลพิษด้วยเช่นกัน ที่สำคัญไฮโดรเจนนั้นเป็นเชื้อเพลิงที่มีความไวไฟสูง และมีโอกาสที่จะรั่วไหลจากถังกักเก็บได้
● สถานีไฮโดรเจนแยกเป็น 2 แบบหลักๆ ประกอบด้วย (1) Home hydrogen fueling station สถานีไฮโดรเจนสำหรับให้บริการบุคคลทั่วไป และ (2) Hydrogen highway สถานีไฮโดรเจนแบบเครือข่ายซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างเอกชน หรือระหว่างรัฐฯ เช่น การให้บริการเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางในยุโรปตะวันตก เป็นต้น
● โดยรวมแล้ว อย่างที่กล่าวมาข้างต้น การเติบโตของรถ FCEV ส่วนบุคคลนั้น ปัญหาไม่ได้ซับซ้อนอะไร และไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีฟิวเซลล์ด้วย…. ปัญหาหลักอยู่ที่การแข่งขันในตลาดของผู้ผลิตรถยนต์มีน้อยเกินไป ยังผลให้จำนวนสถานีไฮโดรเจนมีอัตราการขยายตัวที่เชื่องช้าตามไปด้วยนั่นเอง (ยกเว้นการใช้งานในกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์) ●
Toyota Mirai
จำนวนสถานีไฮโดรเจนในปี 2022 โดยประมาณ
ประเทศ | จำนวนสถานี |
ญี่ปุ่น | 159 |
เกาหลีใต้ | 112 |
จีน | 105 |
เยอรมนี | 101 |
สหรัฐอเมริกา | 45 |
ฝรั่งเศส | 41 |
สหราชอาณาจักร | 19 |
สวิทเซอร์แลนด์ | 12 |
เนเธอร์แลนด์ | 11 |
แคนาดา | 9 |
เดนมาร์ค | 6 |
นอร์เวย์ | 5 |
ออสเตรีย | 5 |
ออสเตรเลีย | 4 |
สวีเดน | 4 |
ไอซ์แลนด์ | 3 |
เบลเยียม | 3 |
อินเดีย | 3 |
สเปน | 3 |
บราซิล | 1 |
อิตาลี | 1 |
สาธารณนัฐเชค | 1 |
ฮังการี | 1 |
มาเลเซีย | 1 |
ตุรกี | 1 |
ซาอุดิ อารเบีย | 1 |
สโลวีเนีย | 1 |
ไต้หวัน | 1 |
สหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ | 1 |
คอสตา ริกา | 1 |
หมายเหตุ : ข้อมูลล่าสุดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 รวมกับส่วนหนึ่งจากเว็บไซท์ www.statista.com