November 25, 2022
Motortrivia Team (10191 articles)

Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic ไฮบริดเสียบปลั๊ก แรง ประหยัด รักโลก

เรื่อง-ภาพ-วีดิโอ : นาธัส แสงสุริยะ

●   ช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดตัว 2 รถใหม่ส่งท้ายปี ทิ้งช่วงประมาณ 1 เดือน ทีมงานมอเตอร์ทริเวียก็ได้สัมผัส C 350 e AMG Dynamic อย่างเต็มอิ่มและทดลองขับระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร รถรุ่นนี้มีจุดเด่นที่ระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด ชาร์จไฟฟ้าเต็มในเวลาเพียง 30 นาที และขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตร ทำความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไฟหน้าเทคโนโลยีล่าสุด Digital Light ระบบเดียวกับรถไฟฟ้ารุ่นใหญ่อย่าง EQS ระบบความปลอดภัย Active Distance Assist DISTRONIC และช่วงล่างด้านหลังแบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ

●   ประสิทธิภาพของระบบไฮบริดที่มีให้เลือก 5 โหมดการทำงานจะเป็นอย่างไร ระบบความปลอดภัยจะสอดคล้องกับการขับแค่ไหน ระบบกันสะเทือนที่ผสมระหว่างสปริงโลหะด้านหน้าและสปริงลมด้านหลัง จะมีความนุ่มนวลและการยึดเกาะถนนที่ดีแค่ไหนเมื่อใช้ความเร็วสูง ทีมงานมอเตอร์ทริเวียมีคำตอบครับ

ภายนอกหล่อเหลาด้วยชุดแต่ง AMG Line

●   แม้จะใช้ชุดแต่งเดียวกับ C 220 d AMG Dynamic แต่สำหรับ C 350 e AMG Dymanic ก็มีหลายจุดที่แตกต่าง ทั้งชุดโคมไฟหน้าแบบ Digital Light, ล้อแม็ก AMG ขนาดย่อมเยากว่าหน่อย 18 นิ้ว ลวดลายเน้นแอโรไดนามิก ช่องชาร์จแบตเตอรี่ที่ตัวรถด้านซ้าย และสัญลักษณ์ C 350 e ที่ฝากระโปรงท้ายแบบแฮนด์ฟรี เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า

●   ในส่วนของล้อแม็ก ถ้าซื้อไปแล้วอยากแต่งหล่อด้วยล้อใหญ่ ใส่ยางกว้างแก้มเตี้ยกว่าของเดิมติดรถ ทางเบนซ์แจ้งว่าไม่ควรเปลี่ยนล้อและยางที่ขนาดเส้นรอบวงต่างจากเดิม เพราะมีผลกับระบบ Lever Control หรือระบบปรับสมดุลความสูงช่วงล่างอัตโนมัติ ถ้าจะเปลี่ยนแค่ลายล้อแม็กกับยางไซส์เดิมก็พอได้ แต่ก็จะสูญเสียความลู่ลมที่เบนซ์ได้ออกแบบช่องรีดอากาศที่กันชนหน้าให้ทำงานสัมพันธ์กับลวดลายของล้อแม็ก แนะนำว่าให้ใช้ล้อเดิมที่เป็นลายดาว 5 ก้าน ซึ่งก็ดูไม่ขี้เหร่ ยางที่ใช้เป็นแบบต่างขนาด ด้านหน้า 225/45/18 ด้านหลัง 255/40/18 เป็นยางธรรมดาไม่ใช่รันแฟลต ไม่มียางอะไหล่และมีชุดปะยางมาให้

●   การออกแบบภายนอกส่วนอื่นๆ ก็ใส่เอกลักษณ์ความเป็นเบนซ์ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งกระจังหน้าลายดาวโลโก้เบนซ์ Mercedes-Benz Pattern แอบเห็นว่าไม่มีกล้องหน้า จึงไม่มีระบบกล้อง 360 องศา แต่ให้เซ็นเซอร์ด้านหน้ามาแบบเต็มเหนี่ยว 6 จุด ครอบคลุมไปถึงด้านข้าง และด้วยระบบไฟหน้า Digital Light สปอตไลต์จึงกไม่จำเป็น ฝากระโปรงหน้าเพิ่มความดุด้วย Power Dome กระจกมองข้างมี Blind Spot และไฟส่องสว่างรูปโลโก้เบนซ์ มิติตัวรถไม่เล็กไม่ใหญ่ มีความยาว 4,793 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร สูง 1,442 มิลลิเมตร

ภายในแพรวพราวล้ำสมัย

●   ห้องโดยสารของเบนซ์รุ่นใหม่ๆ จะเน้นความแพรวพราวมีชีวิตชีวา ด้วยไฟเรืองแสงที่สามารถปรับเปลี่ยนเฉดสีได้ เมื่อรวมเข้ากับมาตรวัดและจอกลางแบบจอดิจิตอล จึงได้ในเรื่องของความล้ำสมัยเพิ่มเติมขึ้นมาจากความหรูหราที่มีอยู่เดิม จากการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง ให้ความรู้สึกที่ดีเมื่อสัมผัส และอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากรุ่น C 220 d AMG Dynamic ทั้งในส่วนของความปลอดภัยและความสะดวกสบาย

●   พวงมาลัยปรับไฟฟ้าทรงสปอร์ต 3 ก้านคู่ ขอบล่างปาดตรง ติดตั้งชุดควบคุมแบบสัมผัส Touch Control ที่แบ่งเป็นฝั่งละ 2 ชั้น เพื่อให้ใช้งานง่ายโดยไม่ต้องละสายตา เมื่อใช้งานจนชินแล้วก็แทบไม่ต้องละสายตาลงมามองที่พวงมาลัย การสั่งงานด้วยการสัมผัสปัดซ้ายขวาขึ้นลงก็มีความแม่นยำดี แต่โดยส่วนตัวแล้วยังชอบแบบปุ่มกดมากกว่าเพราะคลำได้โดยไม่ต้องมอง ที่คอพวงมาลัยมีคันเกียร์อยู่ด้านขวา ส่วนด้านซ้ายเป็นไฟเลี้ยวและที่ปัดน้ำฝน สั่งงานด้วยการหมุนและกดที่หัวก้านเมื่อต้องการปัดครั้งเดียว มี Paddle Shift ใช้ปรับตั้งระดับการชาร์จไฟฟ้ากลับในทุกโหมดการขับ ยกเว้นโหมดสปอร์ตที่ใช้ควบคุมจังหวะการเปลี่ยนเกียร์

●   ชุดมาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลายรูปแบบ และเลื่อนดูข้อมูลการขับได้ด้วย ส่วนจอกลางระบบสัมผัสขนาด 11.9 นิ้ว เป็นศูนย์รวมการควบคุมและปรับแต่งระบบต่างๆ ของรถ สั่งงานได้ทั้งการสัมผัสที่หน้าจอ หรือใช้ Touch Control ที่ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายบน มีระบบสแกนลายนิ้วมือ เพื่อดึงการตั้งค่าต่างๆ ให้ตรงกับผู้ใช้งาน ทั้งตำแหน่งเบาะ แผนที่ และโหมดการขับ โดยสามารถบันทึกได้ถึง 7 ผู้ใช้งาน ภายในของคันที่ทดลองขับเป็นสีทูโทนดำ-แดง ซึ่งจะจับคู่กับสีภายนอกสีขาวและดำ ถ้าอยากได้ภายในสีดำล้วน ต้องเลือกสีภายนอกสีเทาหรือสีเงิน

●   จอกลางควบคุมด้วยระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด MBUX7 Multimedia System ซึ่งมาจากคำว่า Mercedes-Benz และ User Experience (UX) คือการออกแบบระบบให้รองรับการใช้งานในทุกตำแหน่งที่นั่ง พัฒนาให้ระบบสามารถเรียนรู้ผู้ใช้งานได้ด้วยระบบ AI หรือ Artificial Intelligence และปรับระบบต่างๆ ให้เหมาะสมกับผู้ใช้งาน โดย MBUX สามารถอัพเดทตัวเองได้ผ่านเครือข่าย LTE โดยมีการทำงานร่วมกับ Mercedes me connect เพื่อเชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตได้

●   ความกว้างขวางภายในห้องโดยสาร เพียงพอสำหรับผู้ขับและผู้โดยสารด้านหลังที่มีความสูงประมาณ 170  เซนติเมตร ปรับท่านั่งให้ถูกต้องแล้วไปนั่งเบาะหลังฝั่งผู้ขับ ก็นั่งได้พอดีๆ ไม่อึดอัด ศีรษะไม่ติดเพดาน หัวเข่าไม่ติดพนักพิงเบาะหน้า แต่ก็ไม่ได้กว้างขวางเหลือเฟือนัก พนักพิงเบาะหลังปรับองศามาพอเหมาะ มีช่องแอร์มาให้ ที่เท้าแขนกลางเบาะหลัง มีที่วางแก้วน้ำแบบ 2 จังหวะ อุปกรณ์ด้านหลังที่เพิ่มเติมมาคือ ม่านบังแดดที่กระจกข้างประตูคู่หลังแบบแมนนวล และม่านไฟฟ้าที่กระจกบานหลัง ควบคุมด้วยหน้าจอกลาง มีพาโนรามิกซันรูฟไฟฟ้าแบบ 2 ตอน

●   การเก็บเสียงทำได้ดีสมกับระดับราคา ทำให้เผลอใช้ความเร็วสูงโดยไม่ตั้งใจบ่อยๆ ทั้งเสียงลม เสียงยาง และเสียงจากภายนอก ถูกลดทอนลงไปมากแม้ใช้ความเร็วแตะ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รอบเครื่องยนต์จะอยู่แถวๆ 2,000 รอบต่อนาทีเท่านั้น ทำให้เครื่องเสียงชั้นดีอย่าง Burmester® 3D Surround Sound 15 ลำโพง กำลังขับ 710 วัตต์ แสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ สมกับที่ออกแบบมาเพื่อรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ

●   ติเรื่องเดียวคือ เมื่อปรับเบาะและพวงมาลัยให้อยู่ในท่านั่งที่ถูกต้องแล้ว วงพวงมาลัยด้านบนจะบังมาตรวัด เพราะพวงมาลัยปรับระดับสูงต่ำได้ไม่มากนัก เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับการทำงานของถุงลมนิรภัย ถ้าจะปรับเบาะสูงขึ้นอีก ก็จะรู้สึกว่านั่งลอยๆ เกินไป ขาก็สั้นกดคันเร่งลำบาก จะกดเบาะลงต่ำสไตล์เซอร์กิตเพื่อมองลอดพวงมาลัย ก็จะสูญเสียทัศนวิสัยรอบคัน

●   มีโอกาสได้ออกไปขับตอนกลางคืนเพื่อลองไฟหน้า Digital Light ยิ่งเห็นว่าภายในห้องโดยสารมีความแพรวพราวน่าขับ ไฟ Ambient Light ปรับเปลี่ยนสีได้ทั้งแบบสีเดียวและไล่เฉด สามารถปรับเพิ่มลดความสว่างได้ จึงไม่แยงตา แต่กลับทำให้รถรุ่นนี้น่าขับยิ่งขึ้น

ชาร์จ 30 นาที ขับได้เกิน 100 กิโลเมตร

●   เมอร์เซเดส-เบนซ์ พัฒนาระบบไฮบริดใน ซี-คลาส มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่ 1-3 ในตัวถัง W205 มาถึง ซี-คลาส โฉมปัจจุบัน W206 ที่ใช้ระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด เจนเนอเรชั่นที่ 4 ถ้าเปรียบเทียบกับโฉมก่อนปัจจุบันที่มีกำลังขับเคลื่อนรวมทั้งระบบ 320 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร จะเห็นว่า C 350 e  ลดสมรรถนะลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเหลือเฟือกับการใช้งานทั่วไป โดยมีกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 313 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตัน-เมตร เพราะเบนซ์เน้นเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น ขับได้ระยะทางไกลขึ้นต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เพื่อลดมลพิษบนท้องถนนได้มากขึ้นนั่นเอง

●   C 350 e AMG Dynamic ใช้เครื่องยนต์เบนซิน M254 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,999 ซีซี 204 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 129 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตัน-เมตร ที่รับไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ความจุ 25.4 kWh รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้า AC 3.6 kWh ใช้เวลา 7 ชั่วโมง AC 7.4 kWh ใช้เวลา 3 ชั่วโมง และ AC 11 kWh ใช้เวลา 2 ชั่วโมง และถ้าชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC 55 kWh จะใช้เวลาชาร์จจาก 0-80 เปอร์เซ็นต์เพียง 20 นาที และชาร์จเต็มภายในครึ่งชั่วโมง

●   ในการทดลองขับครั้งนี้ ทางเบนซ์จัดรถให้ 1 คันต่อ 1 สื่อ จึงได้ลองเล่นระบบต่างๆ อย่างเต็มอิ่ม และขับได้ไกลพอสมควร เดินทางจากโรงงานเบนซ์ที่บางนา-ตราด กม.30 ไปที่โรงแรมเรเนซองส์ พัทยา ระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร มีลุ้นว่าถ้าชาร์จแบตฯ เต็มแล้วขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ไฟฟ้าจะหมดก่อน หรือถึงจุดหมายก่อน เห็นเพื่อนสื่อมวลชนหลายคนหมายมั่นปั้นมือว่าจะขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ให้ถึงปลายทาง เพราะตามสเปคระบุไว้ที่ 100 กิโลเมตร เลยเปลี่ยนใจลองขับด้วยโหมดไฮบริด จะได้มีตัวเลขที่แตกต่างกัน

●   ก่อนออกเดินทาง แบตเตอรี่ของรถแต่ละคันก็ไม่ได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในช่วง 96-98 เปอร์เซ็นต์ แต่ระหว่างการขับก็จะมีการชาร์จกลับบ้าง ทำให้ระยะทางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถึงปลายทางแล้วลองสอบถามเพื่อนๆ ก็พบว่าส่วนใหญ่ขับได้เกิน 100 กิโลเมตร อยู่ในช่วง 110-120 กิโลเมตร และไม่ได้ขับช้ามากเพราะถึงที่หมายในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนตัวขับด้วยโหมดไฮบริด มีสลับไปเล่นโหมดอื่นบ้างเล็กน้อย แต่โดยส่วนใหญ่ขับโหมดไฮบริด

●   ก่อนถึงที่หมายลองถ่ายตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง จากการเดินทางไป 71 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ยก็คิดง่ายๆ 71 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประหยัดเหลือเชื่อ คือ 1 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 100 กิโลเมตรต่อลิตร คิดคร่าวๆ ว่าเดินทางขามา เสียค่าน้ำมันไป 1 ลิตร ประมาณ 40 บาท แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะตัวเลขด้านล่างระบุว่า 67 กิโลเมตร หมายถึงตลอดระยะทาง 71 กิโลเมตรที่ขับมา ระบบไฮบริดจัดการให้ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าไปถึง 67 กิโลเมตร หรือ 49 นาที จากเวลาเดินทางทั้งหมด 1 ชั่วโมง หมายความว่าเครื่องยนต์ทำงานแค่ 11 นาที เท่านั้น จึงไม่แปลกที่จะประหยัดได้ขนาดนี้

●   ในโหมดการขับแบบไฮบริด ระบบจะจัดการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ถ้าแบตเตอรี่ไฮบริดมีไฟฟ้าเยอะ ก็จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลักไปก่อน ให้เครื่องยนต์ทำงานให้น้อยที่สุด เพื่อลดมลพิษจากการทำงานของเครื่องยนต์ ขับมาถึงจุดหมาย แบตเตอรี่ไฮบริดยังเหลืออีก 21 เปอร์เซ็นต์ หรือขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีก 20 กิโลเมตร ช่วงค่ำออกไปลองไฟหน้า Digital Light และใช้แบตเตอรี่ไฮบริดจนหมดเกลี้ยง ขากลับจะลองขับด้วยโหมดไฮบริดอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบอัตราสิ้นเปลือง

●   ไฟหน้า Digital Light เริ่มทำงานที่ความเร็ว 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำต่อเนื่องจนความเร็วลดลงเหลือ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชุดไฟมีความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซลต่อข้าง ส่องไกลสุด 650 เมตร ทำงานคู่กับกล้องที่กระจกหน้าเพื่อประมวลสภาพถนนและรถยนต์ มีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ปรับองศาตามการหมุนพวงมาลัย และเพิ่มความสว่างขณะเลี้ยว เท่าที่ลองขับถนนค่อนข้างสว่าง และใช้ความเร็วได้ไม่สูงนัก จึงไม่เห็นการทำงานของระบบนี้ แต่เห็นว่าไฟหน้าสว่างสุดๆ มีขอบเขตชัดเจนไม่ฟุ้งกระจายแยงตาผู้ขับรถคันอื่น สังเกตว่าตลอดทางที่ขับสวนกัน ไม่มีรถคันไหนยกไฟสูงใส่เลย

●   ขากลับขับเร็วกว่าเดิมพอสมควร เดินทางด้วยโหมดไฮบริดเป็นหลัก ลองใช้โหมดอื่นรวมทั้งโหมด EL ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ระบบก็ยังใช้งานได้แม้แบตเตอรี่ไฮบริดจะหมด เพราะระบบจะจัดการเรื่องการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมตามโหมดการขับที่เลือกและลักษณะการขับ ชาร์จไฟฟ้ากลับและใช้ออกไป วนไปเรื่อยๆ ส่วนโหมดสปอร์ต จะมีการชาร์จไฟฟ้ากลับมากที่สุด แต่ก็ยังไม่คุ้มค่าเพราะเมื่อชะลอความเร็วหรือเบรกเพื่อชาร์จไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ทำงานเพื่อชาร์จไฟฟ้าก็จะเกิดมลพิษขึ้น เบนซ์จึงแนะนำให้เสียบปลั๊กชาร์จไฟทุกครั้งที่มีโอกาส

●   ขากลับขับโหมดไฮบริดทั้งที่แบตเตอรี่ไฮบริดเหลือไฟฟ้า 0 เปอร์เซ็นต์ เกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ทำงานได้สอดคล้องกับลักษณะการขับและโหมดการขับ ใช้ความเร็วต่ำ เกียร์เปลี่ยนนุ่มนวล ขับความเร็วสูงหรือใช้โหมด Sport เกียร์จะเลี้ยงรอบไว้นิดๆ แต่ละเกียร์จะลากได้ยาวขึ้นหน่อย เพิ่มความกระฉับกระเฉง ลากรอบสูงๆ แล้วเสียงเครื่องยนต์จะกระหึ่มนิดๆ พอเร้าใจ ขับรวดเดียวถึงจุดคืนรถ ระยะทาง 115 กิโลเมตร ใช้เวลา 1.10 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ย 99 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะรถโล่งขับมอเตอร์เวย์ต่อด้วยลอยฟ้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยสมน้ำสมเนื้อกับความเร็วที่ใช้ 15.15 กิโลเมตรต่อลิตร แม้แบตเตอรี่ไฮบริดจะหมดตั้งแต่ออกเดินทาง แต่ระบบก็ยังแจ้งว่ามีการขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 18 กิโลเมตร เป็นเวลา 17 นาที ที่เครื่องยนต์หยุดทำงาน หรือคิดเป็นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของการเดินทาง อาจจะดูไม่มาก แต่ถ้ามีรถแบบนี้หลายๆ คันมลพิษบนถนนก็จะลดลง

ระบบความปลอดภัยใช้งานได้ดี

●   ระหว่างทางได้ลองระบบความปลอดภัยที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง ไม่รบกวนการขับจนต้องปิดระบบ และช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเครียดและความเหนื่อยล้าได้จริง ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือ Active Distance Assist DISTRONIC ทำงานได้เนียนและตรงใจ คือ จังหวะไหนที่คิดว่าควรจะลดความเร็ว ระบบก็จะลดให้อย่างนุ่มนวล ไม่ต้องกัดฟันหรือลุ้นว่าจะทำงานหรือไม่ และทำงานอย่างเนียนเหมือนนั่งกับคนที่ขับรถเก่งๆ เปิดใช้งานได้อย่างสบายใจ ไม่รบกวนการขับเพราะเหมือนว่าระบบจะเปิดโอกาสให้ผู้ขับตัดสินใจก่อน ยึดผู้ขับเป็นหลัก และระบบจะช่วยเสริมหรือเป็นกองหนุน

●   อีกระบบที่ได้ลองแบบไม่ตั้งใจคือ ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน(Active Lane Keeping Assist)ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist with PARKTRONIC) ช่วงขับขากลับ มองกระจกหลังเพลินไปหน่อยว่าเพื่อนที่ขับตามมาอยู่กันครบทั้ง 2 คันหรือไม่ พอดีถนนข้างหน้าเป็นโค้งอ่อนๆ รถกินเลนออกไปนิด ระบบดึงพวงมาลัยกลับค่อนข้างแรงน่าจะเพราะเป็นทางโค้ง ลองอีกครั้งในช่วงทางตรง ระบบจะรั้งพวงมาลัยไว้นิดๆ ก่อนในช่วงแรกที่เห็นว่ารถเริ่มเซไปชิดเส้นด้านในด้านหนึ่ง ถ้าผู้ขับยังไม่ตอบสนอง ก็จะดึงพวงมาลัยให้รถกลับเข้าเลนอย่างนุ่มนวล ระบบนี้จะทำงานเมื่อเบี่ยงรถชิดเส้นแบ่งเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว แต่จะปล่อยให้รถเข้าใกล้เส้นแบ่งเลนได้บ้าง ไม่ถึงกับเลี้ยงรถให้อยู่กลางเลนเป๊ะๆ ตลอดเวลา ช่วงที่ขับบนทางคดเคี้ยวแถวมาบประชัน มีกึ่งๆ ตัดเลนบ้าง ระบบก็ไม่ดึงให้จนน่ารำคาญ เป็นอีกระบบที่ฉลาดและไม่รบกวนการขับ

ช่วงล่างลูกผสม ถุงลมกับคอยล์สปริง

●   ซี-คลาส ใช้ระบบกันสะเทือนอิสระพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหน้าแบบ 4 ลิงก์ และด้านหลังมัลติลิงก์ เพื่อรองรับน้ำหนักด้านหลังที่เพิ่มขึ้นจากแบตเตอรี่ไฮบริดที่วางอยู่ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายช่วงด้านหลังของเบาะหลัง และเพื่อให้ส่วนสูงด้านหน้าและหลังของรถมีความสมดุลเมื่อมีผู้โดยสารด้านหลัง เบนซ์จึงเปลี่ยนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบถุงลมพร้อมระบบปรับระดับอัตโนมัติ Air Comfort Suspension with Level Control หรือ Self-Leveling ปรับระดับเมื่อมีน้ำหนักกดด้านหลัง

●   ตลอดการขับโดยเฉพาะขากลับที่ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง ไม่รู้สึกถึงอาการแปลกปลอมใดๆ ช่วงล่างยังคงหนึบแน่นไว้ใจได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าใช้ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง การดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่ความเร็วต่ำก็ทำได้นุ่มนวลหนักแน่น ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ จานเบรกหน้ามีครีบและรูระบายความร้อน ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติเวลาเหยียบเบรก สร้างแรงเบรกได้หนักหน่วงมั่นใจ พวงมาลัยก็ปรับระดับการผ่อนแรงมาพอเหมาะ และเซตเพิ่มเติมได้ระหว่าง Comfort กับ Sport และปรับเปลี่ยนอัตโนมัติตามโหมดการขับด้วย

●   C 350 e AMG Dynamic ตั้งราคาน่าสนใจ แพงกว่า C 220 d AMG Dynamic 360,000 บาท ถือว่าคุ้มค่า เพราะได้ระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด แบตเตอรี่ไฮบริดความจุสูง ขับได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตร ชาร์จเต็มเร็ว ตัวแบตเตอรี่มีขนาดเล็กไม่กินที่ ขับปกติก็ประหยัด อยากสนุกก็ตอบสนองได้ดี มีอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มเติมหลายรายการ หลักๆ ก็เช่น ไฟหน้า Digital Light ระบบความปลอดภัย DISTRONIC และช่วงล่างหลังแบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ นุ่มนวลและเกาะถนนดี ภายในหรูหราเปี่ยมคุณภาพและมีลูกเล่นแพรวพราวน่าสนใจ มาพร้อมราคาน่าสนใจ 3,350,000 บาท

ขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

Test Drive : 2022 Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic