November 26, 2022
Motortrivia Team (11062 articles)

New MG4 Electric แฮทช์แบ็คสปอร์ตอีวี มีดีที่สมรรถนะ

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●   หลังจากสร้างความฮือฮาด้วยการ เปิดให้จองออนไลน์ ก่อนเผยข้อมูลตัวรถ ในอีกไม่กี่วันให้หลัง ล่าสุด เอ็มจี ประเทศไทย ก็เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับ MG4 ELECTRIC รถไฟฟ้ารุ่นล่าสุด รุ่นย่อย X ซึ่งเป็นรุ่นท๊อป เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้วัยรุ่นด้วยทรงสปอร์ตแฮทช์แบ็ก มีจุดเด่นเรื่องสมรรถนะการขับด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง วางชุดมอเตอร์ขับเคลื่อนและอุปกรณ์ไว้ด้านหลัง ทำให้มีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลัง 50:50 แบตเตอรี่รุ่นใหม่ขนาดเล็กและบาง ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลถึงการทรงตัวที่ดี

●   ทาง MG ดูจะเชื่อมั่นประสิทธิภาพการทรงตัวของรถรุ่นนี้อยู่ไม่น้อย จึงจัดให้สื่อมวลชนทดลองขับในสนามปทุมธานี สปีดเวย์ จำลองการขับทั้งแบบใช้งานจริง และกึ่งสนามแข่งให้เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงได้ โดยยังคงอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย ส่วนรายละเอียดของรถและอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ไม่น่าจะคลาดเคลื่อนไปจากที่ลงไว้ก่อนหน้านี้ เหลือแค่การเปิดราคาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 นี้ที่ Motor Expo เมืองทองธานี ในบทความนี้จึงเน้นไปที่ความคิดเห็นหลังจากที่ได้สัมผัสรถรุ่นนี้อย่างใกล้ชิด และทดลองขับอย่างเข้มข้นเต็มอิ่มในเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง

อัพเดท : การจำหน่ายจะแยกเป็น 2 รุ่นย่อย MG4 Electric D ราคา 869,000 บาท และ MG4 Electric X ราคา 969,000 บาท

เป็นสากลทั้งคุณภาพและการออกแบบ

●   ไปถึงก่อนเวลานัดหมายหลายชั่วโมง จึงได้ลองเล่นรถเท่าที่จะไม่รบกวนทีมงานที่กำลังเตรียมรถอยู่ ดีไซน์ภายนอกเน้นความโฉบเฉี่ยวสุดๆ รุ่นย่อย D และ X มีการตกแต่งที่แตกต่างกันเล็กน้อยในส่วนของโคมไฟหน้า ตำแหน่งไฟเลี้ยว รายละเอียดของไฟท้าย และสีหลังคา ชอบใจเรื่องคุณภาพของตัวรถที่ใช้วัสดุคุณภาพดี ทั้งชิ้นส่วนหลักและชิ้นส่วนย่อยประดับตกแต่ง การประกอบก็ดูแน่นหนาและประณีตอย่างในส่วนของกันชน และรอยต่อหรือช่องไฟของชิ้นส่วนต่างๆ ทำได้เรียบร้อยสวยงามดี ลองเปิด-ปิดประตูให้เสียงและความรู้สึกที่หนักแน่นดี อาจเพราะใช้ขอบยางค่อนข้างหนา คาดหวังได้ว่าน่าจะลดเสียงรบกวนได้ดีเมื่อใช้ความเร็วสูง

●   เมื่อเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยก็รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมที่ดี ให้ความรู้สึกร่วมสมัยและเป็นสากล แผงคอนโซลและหน้าปัดเน้นความคลีนเรียบง่าย ซึ่งตรงนี้ก็มีจุดที่ไม่ชอบเป็นการส่วนตัวอยู่บ้าง ลองลูบคลำวัสดุภายในก็มีหลายจุดที่เป็น Soft Touch ผสมพลาสติกแข็งฉีดขึ้นรูปที่ออกแบบพื้นผิวให้ดูดี วัสดุตกแต่งสีดำเงาเปียโนแบล็กดูดีมีคุณภาพ ปุ่มสวิตช์ควบคุมระบบต่างๆ ให้ความรู้สึกแน่นหนาเมื่อใช้งาน ทั้งปุ่มบนพวงมาลัย ปุ่มใต้จอกลาง รวมทั้งปุ่มเลือกตำแหน่งเกียร์ อุปกรณ์มาตรฐานที่ให้มาก็ถือว่าครบครัน

●   ลองปรับเบาะไฟฟ้าฝั่งผู้ขับให้พอดีกับความสูง 170 เซนติเมตร แล้วย้ายไปนั่งเบาะหลังฝั่งผู้ขับ พื้นที่วางขาเหลือเฟือ พื้นห้องโดยสารด้านหลังเกือบเรียบ มียกนูนตรงกลางเพียงเล็กน้อย ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะมีเหลือมากกว่าที่คิด เพราะมองจากภายนอกแล้วหลังคาด้านหลังจะลาดต่ำลงตามสไตล์แฮทช์แบ็ก การตัดเย็บตะเข็บเบาะก็ทำได้เรียบร้อยดี พนักพิงเบาะหลังแยกพับได้ พับแล้วราบเสมอกับพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายที่ก็ทำได้ดีเช่นกันในแง่คุณภาพวัสดุ ที่ดูมีราคาและแน่นหนาไม่บอบบาง

●   ที่บอกว่าไม่ชอบใจบางเรื่องคือ การประหยัดปุ่มควบคุมระบบที่ใช้งานบ่อยๆ มากไปหน่อย เช่น ระบบแอร์ที่แม้จะมีปุ่มลัดมาให้ใต้จอสัมผัส แต่ถ้าจะปรับเพิ่มเติมก็ต้องกดหน้าจออยู่ดี ซึ่งการกดหน้าจอจะใช้การคลำแบบการกดปุ่มไม่ได้ ต้องมีละสายตาไปมองบ้าง ซึ่งทางเอ็มจีอาจจะมองว่า กดเปิดแอร์ออโต้แล้วคือจบก็เป็นได้ หน้าจอสัมผัสมีความคมชัด ตอบสนองการทำงานได้รวดเร็วลื่นไหลพอสมควร เมนูต่างๆ ออกแบบให้ใช้งานง่ายไม่ต้องเรียนรู้นาน สวิตช์เปิด-ปิดไฟหน้ารวมอยู่บนก้านไฟเลี้ยวฝั่งซ้าย ส่วนก้านฝั่งขวาเป็นที่ปัดน้ำฝน

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด

รถไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง ประเดิมแพล็ตฟอร์มใหม่

●   MG4 ELECTRIC เป็นรถรุ่นแรกที่ใช้แพล็ตฟอร์มใหม่ล่าสุดของเอ็มจี NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM หรือโครงสร้าง เนบิวลา ที่พัฒนาเพื่อเป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าประเภทอื่นได้หลายเซกเมนต์ และรองรับแบตเตอรี่ได้หลายความจุ ใช้แบตเตอรี่รุ่นใหม่ RUBIK’s CUBE BATTERY ความจุ 51 kWh จัดเรียงเซลล์แนวนอนและระบายความร้อนด้วย Liquid Cooling System ทำให้จัดวางแบตเตอรี่อยู่ในจุดที่ปลอดภัยสูงสุด ได้รับการปกป้องรอบทิศทางจากโครงสร้างหลักของรถ ตัวแบตเตอรี่มีความบาง ส่งผลให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ

●   หนึ่งในไฮไลต์ของรถรุ่นนี้คือ การกระจายน้ำหนักหน้า:หลังแบบ 50:50 เป็นผลมาจากการจัดวางมอเตอร์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อย่างอินเวอร์เตอร์ไว้ที่ด้านหลัง และใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนใต้ฝากระโปรงหน้าเป็นอุปกรณ์ระบายความร้อน และย้ายตู้แอร์ไปไว้ด้านหน้าด้วยทำให้เซอร์วิสง่าย ระบบกันสะเทือนอิสระ 4 ล้อ โอเวอร์แฮงค์หรือระยะยื่นหน้า-หลังที่สั้น ทำให้มวลส่วนใหญ่ของรถอยู่ตรงกลางระหว่างล้อหน้าและหลัง ยางติดรถคุณภาพดีจากคอนติเนนตัล ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ MG4 ELECTRIC เป็นรถที่ให้สมรรถนะการขับที่ดี สมกับที่วางตำแหน่งเป็นรถอีวีที่ขับสนุก

กลมกล่อมทั้งพละกำลังและการควบคุม

●   เห็นตัวเลขแรงม้าแรงบิดอาจดูไม่เร้าใจ แต่อย่าลืมว่าการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ต้องรอรอบ รถมีการกระจายน้ำหนัก 50:50 และใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง เมื่อกดคันเร่งน้ำหนักจะถ่ายไปด้านหลัง ทำให้ล้อขับเคลื่อนมีแรงกดมากขึ้น ลดโอกาสล้อฟรี ถ่ายทอดกำลังลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มที่ ทำให้รถพุ่งออกตัวได้อย่างรวดเร็ว

●   MG 4 ELECTRIC ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่ Lithium Iron Phosphate พร้อมเทคโนโลยี RUBIK’s CUBE BATTERY ความจุ 51 kWh ขับได้ไกลสุด 425 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) มีระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ปรับได้ 4 ระดับ ต่ำ, กลาง, สูง และแปรผันตามการขับหรือ (ADAPTIVE) ยิ่งปรับสูงรถจะยิ่งดึงหน่วงมากขึ้นเมื่อยกคันเร่ง ส่วนไฟเบรกจะสว่างหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ก่อนจะยกคันเร่ง และแรงหน่วงที่เกิดขึ้น มี 5 โหมดการขับ คือ ECO, NORMAL, SPORT, CUSTOM และ SNOW

●   พวงมาลัยปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ เบรกปรับได้ 3 ระดับ โดยจะปรับในส่วนของการจับตัวของเบรกเมื่อกดแป้นเบรก เอ็มจีให้ความสำคัญกับระบบเบรกเป็นพิเศษโดยพัฒนาร่วมกับคอนติเนนตัล เบรกตอบสนองเร็วขึ้น 300 มิลลิเซคัน เบรกจาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในระยะทางต่ำกว่า 37 เมตร และเมื่อเบรกหนักๆ ต่อเนื่องระยะเบรกจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.2 เมตร จากมาตรฐานที่ 1.2 เมตร

●   ทางเอ็มจี จัดให้ขับกันอย่างจุใจ คันละคนไม่ต้องวนกันขับ ไม่มีอินสตรัคเตอร์นั่งไปด้วย แค่พานั่งรถดูสนามก่อนขับจริง จังหวะดีได้นั่งรถคันนำขับโดยคุณ เอส นราศักดิ์ อิทธิริทพงษ์ ตอนแรกก็ยังคิดว่าทำไมต้องให้นักขับรถแข่งมากพรสวรรค์มาพาดูทาง หลังจากขับวนครบรอบแล้ว คุณเอส แวะจอดที่จุดสตาร์ต แล้วขับแบบปิดระบบช่วยการทรงตัว ถึงบางอ้อเลยว่าทำไมต้องถึงมือคุณเอส เพราะพวกเล่นดริฟเข้าโค้งสนุกมือเพื่อโชว์ประสิทธิภาพการทรงตัวของรถ บางโค้งเข้าไปแล้วหน้าดื้อ-อันเดอร์สเตียร์ ตามตำราว่าให้ผ่อนคันเร่ง แต่พี่ท่านเล่นกดคันเร่งสวนลงไปอีกให้ท้ายกวาดออก แต่งพวงมาลัยเคาน์เตอร์อีกนิดหน่อย รถก็ไหลไปตามโค้งได้แบบสวยๆ ขับเร็วแต่มั่นคง ไม่น่ากลัว รู้สึกว่ารถเกาะถนนดีจริงๆ เหมือนได้นั่ง Hot Lap กลายๆ นั่งครบแล้วลงมายืนดูเพื่อนๆ ขึ้นไปนั่งบ้าง แอ็คชั่นของรถสวยงามจริงๆ หน้าจิกท้ายกวาด แต่แค่ดูก็พอ ไม่คิดจะเลียนแบบแต่อย่างใด

●   ดูสนามแล้วกลับไปตั้งขบวน ปล่อยรถทีละคันและเว้นกันห่างพอสมควร ไม่มีการขับไล่จี้ท้ายกดดันกัน เมื่อผ่านบางสถานีก็ต้องเบรกหยุด แล้วรอสัญญาณธงจากผู้ควบคุมสนาม ขับวนกี่รอบก็ได้ในเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ได้ลองทั้งขับเร็วเท่าที่รู้สึกว่ายังควบคุมรถได้ และขับด้วยความเร็วปกติให้คล้ายๆ การขับบนถนนจริง รวมทั้งลองเปลี่ยนโหมดการขับ ปรับน้ำหนักพวงมาลัย เบรก และปรับการใช้กำลังของรถ รวมทั้งระบบ KERS มีจุดให้ลองเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ Lane Change จำลองการหักหลบฉุกเฉิน

●   เรื่องพละกำลังก็อย่างที่บอกคือ ตอบสนองทันทีที่กดคันเร่ง ขับในสนามที่วางทางให้มีช่วงทางตรงยาวๆ กดคันเร่งแล้วไม่รู้สึกว่ามีจังหวะไหนที่ไม่ทันใจ โดยเฉพาะเมื่อปรับใช้กำลังสูงสุดจากมอเตอร์ แต่ก็ยังเร่งได้นุ่มนวล คุมความเร็วผ่านคันเร่งได้ง่าย ถ้าปรับใช้กำลังต่ำสุดก็จะรู้สึกว่าอืดลงอย่างชัดเจน ต้องกดคันเร่งมากขึ้น การตอบสนองคันเร่งช้าลง ส่งผลดีเวลาขับช้าๆ เพราะจะได้ในเรื่องความนุ่มนวล ส่วนการปรับระบบ KERS ก็ช่วยหน่วงรถให้ช้าลงในระดับที่แตกต่างกัน ขับเร็วปรับหน่วงสูงสุด ผ่อนคันเร่งก่อนถึงโค้ง จะขับในสนามโดยแทบไม่ต้องแตะเบรก (ยกเว้นต้องเบรกหยุดในจุดที่กำหนด) การหน่วงความเร็วทำได้สัมพันธ์กับการผ่อนคันเร่ง ทำให้ควบคุมการหน่วงได้ง่าย ขับเองไม่เวียนหัว แต่ถ้ามีคนอื่นนั่งด้วยก็ไม่แน่

●   ลองปรับน้ำหนักพวงมาลัยและเบรกก็พบว่าให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน พวงมาลัย DUAL PINION ควบคุมด้วยไฟฟ้า ปรับน้ำหนักเบาสุด ดูจะเบาไปหน่อยเวลาขับเร็ว ปรับพวงมาลัยหนักสุดแล้วขับช้า ก็ไม่รู้สึกว่าหนักเกินไป อาจเพราะเป็นคนชอบพวงมาลัยหนักหน่อยอยู่แล้ว ส่วนเบรกลองแล้วชอบปรับไว้ตรงกลางมากกว่า ให้ความรู้สึกที่ดีทั้งเวลาขับเร็วและขับช้า ลองเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งดึงหนักในช่วงออกตัว และดึงต่อเนื่องจนถึงจุดเบรก (ปรับเบรกไว้ตรงกลาง) ลองกระทืบเบรกดูก็กระชากลดความเร็วลงได้อย่างเฉียบขาด ไม่มีไหลแถม ตัวรถไม่มีอาการเซ

●   ตลอดการทดลองขับ เปิดระบบช่วยการทรงตัวไว้ทั้งหมด รอบแรกๆ ขับให้ชินกับรถและสนาม จากนั้นจึงเพิ่มความเร็วขึ้น บางโค้งแคบๆ ถ้ากดคันเร่งหนักๆ ยังมีอาการท้ายออกอยู่เสี้ยววินาที เสียงยางลั่นเอี๊ยดสั้นๆ จากนั้นระบบก็จะจัดการให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ต้องใช้ฝีมือในการแก้ไขอาการของรถแต่อย่างใด ในรอบที่ขับช้าให้เหมือนขับใช้งานจริงจะรู้สึกว่าช่วงล่างค่อนข้างแข็งกระชับ แต่จะรู้สึกว่ารถมั่นคง มีการโคลงตัวไม่มากนักเมื่อขับเร็วหรือโยนเข้าไปในโค้ง การที่ล้อหน้ามีหน้าที่ควบคุมทิศทางเพียงอย่างเดียวไม่ต้องขับเคลื่อน ทำให้กดคันเร่งหนักๆ ตอนออกจากโค้งแล้วอาการของรถค่อนข้างเสถียร ทำให้ควบคุมรถง่ายและเบาแรง เมื่อล้อหน้าไม่ต้องรับภาระหนักทั้งเลี้ยวและขับเคลื่อน ก็จะช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนและยางได้ด้วย

ชาร์จไฟ AC/DC จ่ายไฟออก V2L

●   เอ็มจีพยายามลดความกังวลเรื่องการชาร์จไฟฟ้า ด้วยการออกแบบรถให้รองรับการชาร์จ 2 รูปแบบ ทั้งแบบ Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 10-80 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาประมาณ 35 นาที ที่ความเร็วสูงสุด 88 kWh และ Normal Charge ผ่าน MG HOME CHARGER 0-100 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง 30 นาที ที่ 6.6 kWh พร้อมสถานีชาร์จไฟฟ้าของเอ็มจี MG Super Charge ที่ติดตั้งแล้วกว่า 128 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังรองรับระบบ V2L หรือ Vehicle to Load จ่ายไฟฟ้าจากรถไปให้อุปกรณ์ไฟฟ้าได้ด้วย

●   โดยรวม MG 4 ELECTRIC เป็นรถที่ขับสนุกควบคุมง่าย ช่วงล่างและเบรกไว้ใจได้ รองรับแรงม้าแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ถ้าแรงกว่านี้ก็ต้องเซตช่วงล่างและเบรกให้รองรับ ก็อาจจะแข็งเกินไปสำหรับการใช้งานและรสนิยมของกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ กำลัง 170 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร เหลือเฟือกับการใช้งาน หรืออยากจะขับแบบสปอร์ตสนุกๆ ก็ยังไหว ภายนอกภายในดีไซน์สวย คุณภาพดีทั้งวัสดุและการประกอบ อุปกรณ์มาตรฐานทั้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยก็ให้มาเต็มเหนี่ยวตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ส่วนจะคุ้มค่าหรือไม่คงบอกได้หลังจากรู้ราคาจำหน่ายที่แอบลุ้นให้ต่ำล้าน รถไฟฟ้าจะได้แพร่หลายมากขึ้น มลพิษบนถนนจะได้ลดลง         ●

Preview : 2023 MG4 Electric