June 4, 2023
Motortrivia Team (10191 articles)

Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic ปรับโฉมเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน

เรื่อง – ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

●   เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส เปิดตัวโฉมแรกในตลาดโลกปี 1997 รหัสตัวถัง W168 ออกแบบมาเพื่อรองรับตลาดที่ต้องการรถยนต์ขนาดเล็กแต่ภายในกว้างขวาง ทำตลาดประมาณ 5 ปี ก็เปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 2 รหัส W169 โดยเป็น เอ-คลาส รุ่นแรกที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ต่อเนื่องด้วย W176 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ทีมงานมอเตอร์ทริเวียเคยได้ทดลองขับในสนามโบนันซ่า ได้รับความนิยมด้วยตัวถังแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตู โฉมปัจจุบัน เจนเนอเรชั่นที่ 4 เปิดตัวในไทยช่วงกลางปี 2019 ทำตลาดด้วยตัวถังซีดาน และทีมงานมอเตอร์ทริเวียเคยมีโอกาสได้ทดลองขับรุ่นนำเข้า

●   ทิ้งช่วงประมาณ 3 ปี เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ก็เปิดตัวรุ่นปรับโฉมของ เอ-คลาส มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งภายนอกและภายใน เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานหลายรายการ ทำตลาดรุ่นเดียว A 200 AMG Dynamic เป็นรถยนต์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Entry Luxury ภายใต้แนวคิด “CLASS FOR EVERY DAY” ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่กับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่ต้องการความคล่องตัว มีความหรูหราตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ดีไซน์โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตซีดาน ราคาเริ่มต้น 2,320,000 บาท

รุ่นปรับโฉมใหม่ เปลี่ยนหลายจุด

●   สำหรับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง มีเพิ่มเติมทั้งภายนอกและภายใน เริ่มจากภายนอก ด้านหน้าเป็นจุดที่เห็นความแตกต่างได้ชัดเจนที่สุด เพราะเปลี่ยนใหม่ตั้งแต่ชุดกันชนหน้า AMG Bodystyle ทรงใหม่ กระจังหน้าเปลี่ยนใหม่เป็นแบบ Star Pattern Radiator Grille และเปลี่ยนฝากระโปรงหน้าแบบ Power Domes มุมมองด้านข้างคล้ายจมูกฉลาม

●   ไฮไลต์การเปลี่ยนแปลงด้านหน้าคือ การเปลี่ยนโคมไฟหน้าแบบใหม่เป็น LED High-Performance เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมระบบ Adaptive Highbeam Assist ปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ เปลี่ยนล้อแม็กลาย AMG แบบ 5 ก้านขอบดำ ยางขนาด 225/45/18 กระจกมองข้างมีระบบปรับมุมต่ำเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง มีไฟเลี้ยว กล้องมองข้าง และระบบไฟพร้อมสัญญาณเสียงเตือนจุดบอด

●   อุปกรณ์ที่มีแล้วไม่ค่อยได้ใช้แต่ก็อยากให้มี อย่าง Panoramic Roof ก็ได้รับการติดตั้งเพิ่มเติมในรุ่นปรับโฉม มีม่านบังแสงบางๆ กับกระจกที่เปิดไปด้านหลังได้ด้วยระบบไฟฟ้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลังคาที่มีกระจกสีดำเงา ดูสวยดูแพงกว่าหลังคาโล้นๆ สีเดียวกับตัวรถ อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ไม่น่าจะขาดหายไปในรุ่นก่อนหน้า และให้มาในรุ่นปรับโฉมคือ ระบบ KEYLESS GO ที่แค่พกรีโมทคอนโทรลไว้กับตัว ก็สามารถล็อก-ปลดล็อก และสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าที่ต้องล็อกหรือปลดล็อกด้วยการกดที่รีโมทเท่านั้น ด้านท้ายมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยเปลี่ยนรายละเอียดในชุดโคมไฟท้ายใหม่ภายใต้โคมทรงเดิมที่เป็นแบบ LED และกันชนท้ายทรงเดิม

●   ฝากระโปรงท้ายเพิ่มฟังก์ชั่นการเปิดแบบแฮนด์ฟรี พกรีโมทไว้กับตัวและกวาดเท้าไปแถวใต้กันชนตรงกลาง ฝากระโปรงท้ายจะเปิดให้โดยอัตโนมัติ ระบบทำงานด้วยการปลดตัวล็อก แล้วสปริงจะทำหน้าที่เปิดฝาท้ายขึ้นให้ ไม่ใช่ระบบฝาท้ายไฟฟ้า ดังนั้นเวลาปิดจึงยังต้องใช้มือปิด ซึ่งรถเบนซ์ในคลาสนี้ในตลาดโลกก็ไม่มีฝาท้ายไฟฟ้าเช่นกัน ระบบนี้ช่วยอำนวยความสะดวกเวลาช็อปปิ้งถือของเต็ม 2 มือ แล้วต้องการเปิดฝาท้ายเพื่อใส่ของ

●   มิติตัวรถมีความยาว 4,558 มิลลิเมตร กว้างรวมกระจกมองข้าง 1,992 มิลลิเมตร สูง 1,429 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,567/1,558 มิลลิเมตร ระยะโอเวอร์แฮงค์หน้า/หลัง 923/906 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,729 มิลลิเมตร

●   ภายนอกหลังการปรับโฉม ดูทันสมัยขึ้นพอสมควรทั้งจากชุดแต่ง AMG รอบคัน และหลังคาดำที่ช่วยเพิ่มลุคสปอร์ต ฝากระโปรงหน้า Power Domes กับเส้นสายเดิมของรถก็ช่วยเพิ่มความโฉบเฉี่ยวได้อีกพอสมควร ช่วงล่าง Lowered Comport Suspension ลดความสูงลง 15 มิลลิเมตร รับกับล้อแม็ก 18 นิ้วพร้อมยาง 225/45/18 ได้ค่อนข้างพอดี ดูสมส่วน ช่องว่างระหว่างยางกับซุ้มล้อกำลังสวย ตัวรถขนาดกะทัดรัดทะมัดทะแมง ด้านหน้าลาดต่ำท้ายสั้นดูคล่องตัว เส้นสายเรียบง่ายแต่ดูไม่น่าเบื่อ ไม่ถูกใจอย่างเดียวคือ ปลายท่อไอเสียโครเมียมในกันชนที่เป็นท่อหลอก ส่วนท่อไอเสียจริงม้วนลงล่างด้านหลังกันชนฝั่งผู้ขับ

ภายในปรับใหม่หลายจุด

●   เมื่อเปิดประตูแบบเท่ๆ ไม่ต้องล้วงกระเป๋าหยิบรีโมทมากดปลดล็อก ก็จะเจอกับการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดคือ พวงมาลัยใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 5 วงล่างปาดตรง 3 ก้านแบบ 2 ชั้น พร้อมปุ่มสั่งงานด้วยระบบสัมผัส หุ้มหนัง Nappa เย็บด้ายแดง วงพวงมาลัยอวบกระชับมือ หนังคุณภาพสูงให้สัมผัสพรีเมี่ยม ปรับ 4 ทิศทางด้วยระบบกลไกไม่ใช่ไฟฟ้า มี Paddle Shift เหมือนรุ่นเดิม ก้านบนพวงมาลัยฝั่งขวาคุมไฟเลี้ยว และหมุนหัวก้านเพื่อเปิดระบบปัดน้ำฝน ฝั่งขวาเป็นคันเกียร์

●   เบาะหุ้มหนัง ARTICO สไตล์สปอร์ต ตัดสลับ MICROCUT Microfibre สีดำ ตกแต่งเดินด้ายสีแดง เบาะผู้โดยสารด้านหน้าเพิ่มหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง พร้อมที่ดันหลังไฟฟ้าทั้งผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า บนเพดานเพิ่มสวิตช์ไฟฟ้าควบคุม Panoramic Roof กินพื้นที่เหนือศีรษะผู้ขับ และสามารถกระดกเปิดไปด้านหลังได้ทั้งบาน ชุดมาตรวัดคงเดิมแบบ All-Digital Instrument Display ขนาด 10.25 นิ้ว ปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้ด้วยปุ่มบนพวงมาลัยฝั่งขวาบน

●   จอกลางขนาด 10.25 นิ้ว สั่งงานด้วยระบบสัมผัสพร้อม Fingerprint Sensor อัพเกรดระบบปฏิบัติการเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด MBUX 7 เพิ่มระบบ AI-Artificial intelligence เรียนรู้และประเมินพฤติกรรมและการใช้งานของแต่ละผู้ใช้งานได้ อัพเดทและปรับปรุงระบบได้ด้วยตัวเองผ่านสัญญาณไร้สาย LTE อัตโนมัติแบบ มาพร้อมบริการ Mercedes me connect ผู้ขับสามารถเชื่อมต่อโลกดิจิทัลและเข้าถึงฟังก์ชันชั้นนำของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้แบบไร้ขีดจำกัด รองรับการสั่งงานด้วยภาษาต่างๆ ได้ถึง 27 ภาษา รวมทั้งภาษาไทย (รุ่นเดิม 7 ภาษา) เชื่อมต่อด้วยระบบ Wireless ได้ทั้งฝั่ง Apple และ Andriod มาพร้อมระบบ Wireless Charger ลองชาร์จด้วยไอโฟน 11 โปรแม็ก ก็ชาร์จได้เร็วพอควร เชื่อมต่อ CarPlay ไร้สายได้ง่ายและเสถียร จอใหญ่คมชัด ดู Google Map สบายตา และข้างๆ แท่นชาร์จก็มีช่อง USB-C ไว้ให้อีกด้วย

●   ถัดลงมาเป็นที่วางแก้วพร้อมฝาปิด เห็นมีสัญลักษณ์รูปกุญแจสอบถามได้ความว่า เป็นที่รับสัญญาณจากรีโมทคอนโทร ใช้ในกรณีรีโมทแบตเตอรี่หมด ก็ถอดลูกกุญแจที่ซ่อนอยู่ในรีโมทเพื่อไขปลดล็อกประตูเข้ารถ แล้วนำรีโมทมาวางไว้ตรงสัญลักษณ์รูปกุญแจเพื่อให้ระบบรับสัญญาณ เพื่อให้กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ คอนโซลกลางช่วงหลังจากที่วางแก้วน้ำได้รับการออกแบบใหม่ ถอดชุด Touch Pad พร้อมที่รองมือออกไป แล้วแทนที่ด้วยช่องใส่ของพร้อมปุ่ม DYNAMIC ปรับโหมดการขับ ปุ่มเปิด-ปิดและปรับเสียง และปุ่มเปิดกล้อง ส่วนที่เท้าแขนกลางเบาะหน้ายังคงเดิม เปิดแบบแยกออก 2 ฝั่ง มีช่อง USB-C 2 ตำแหน่ง

●   เบาะหลังแยกพับได้แบบ 40:20:40 ด้วยระบบกลไก มีคันโยกสำหรับพับเบาะอยู่มุมซ้ายขวาของที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ในรุ่นก่อนปรับโฉมแบบประกอบในประเทศไทยไม่มีช่องแอร์หลัง สำหรับรุ่นปรับโฉมก็เพิ่มมาให้ พร้อมช่อง USB-C 1 ตำแหน่ง การกระจายความเย็นทำได้ดีเยี่ยม นั่งเบาะหลังช่วงกลางวันในรถที่ยังไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสงก็ไม่รู้สึกว่าแอร์ไม่ถึง

●   พื้นที่ใช้สอยด้านหลังค่อนข้างจำกัดตามขนาดของรถ แต่ยังไม่เป็นปัญหาสำหรับความสูง 169 เซนติเมตร พื้นที่วางขากับพื้นที่เหนือศีรษะยังเพียงพอ แต่ที่ไม่ค่อยชอบใจคือเบาะรองขาค่อนข้างสั้น และตัวเบาะวางอยู่ในตำแหน่งต่ำ ทำให้รองรับต้นขาได้ไม่เต็มที่ พื้นห้องโดยสารตรงกลางก็โป่งนูนขึ้นเหมือนเป็นอุโมงค์เพลาสำหรับรถขับล้อหลังหรืออุโมงค์ท่อไอเสีย เบียดบังที่วางเท้าไปพอสมควร

●   ห้องโดยสารหลังการปรับโฉมดูทันสมัยขึ้น จากพวงมาลัยทรงใหม่ และคอนโซลกลางที่โล่งขึ้น Panoramic กับม่านบังแสงบางๆ น่าจะเปิดทางให้ความร้อนเข้าห้องโดยสารได้มากขึ้น แต่ระบบปรับอากาศที่เปลี่ยนเป็นแบบ 2 Zone ยังรับมือได้สบาย ชอบการตกแต่งด้วยหนังกลับด้ายแดง แซมด้วยอะลูมิเนียมปัดด้าน Light Longitudinal-Grain Aluminum Trim ช่วยให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น คุณภาพของวัสดุไม่ต้องพูดถึง แม้จะเป็นรุ่นเล็กแต่ก็ยังคงใช้ของดี ให้ความรู้สึกดีเมื่อสัมผัส ช่วงค่ำหรือกลางคืนมีลูกเล่นเป็น Ambient Light มากถึง 64 เฉดสี ช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์ห้องโดยสารได้

●   ความปลอดภัยจัดเต็มด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับเต็มระบบ ADAS Advanced Driver-Assistance Systems ADAPTIVE Brake พร้อม Active Break Assist ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินแบบแอคทีฟ, Adaptive brake light ไฟกระพริบเบรกฉุกเฉิน, Cruise Control และ SPEEDTRONIC ระบบรักษาความเร็วและจำกัดความเร็ว, Blind Spot Assist ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา, Exit Warning Function ตือนสิ่งกีดขวางก่อนลงจากรถ โดยจะทำงานต่อเนื่องไปอีก 3 นาทีหลังจากดับเครื่องยนต์ ใช้ระบบหลักเดียวกับ Blind Spot เตือนเมื่อผู้ขับกำลังดึงที่เปิดประตูและมีสิ่งกีดขวางเคลื่อนที่เข้ามา ทั้งจักรยาน มอเตอร์ไซค์ หรือคนเดินถนน, Active Parking Assist ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ, Tyre Pressure Loss Warning System ระบบแจ้งเตือนระดับแรงดันลมยาง และระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับ ATTENTION ASSIST

●   การเก็บเสียงทำได้ดี เดินทางด้วยความเร็วตามกฎหมายได้อย่างเงียบสนิท แทบไม่มีเสียงลมปะทะ ส่วนเสียงยางมีให้ได้ยินแผ่วๆ เมื่อขับผ่านผิวถนนไม่ดี ส่วนเสียงเครื่องยนต์ในรอบปกติก็แทบไม่ได้ยินเช่นกัน และจะเริ่มได้ยินบ้างเมื่อลากรอบสูง ขับความเร็วต่ำในเมืองก็ตัดเสียงสภาพแวดล้อมที่จอแจไปได้ค่อนข้างมาก ลองแง้มกระจกดูจะรู้ว่าแตกต่างแค่ไหนกับเวลาปิดกระจกสนิททั้ง 4 บาน โดยรวมชอบทั้งการตกแต่ง คุณภาพวัสดุ และการเก็บเสียง ส่วนพื้นที่ใช้สอยรถคลาสนี้น่าจะเน้นเบาะคู่หน้าเป็นหลัก ซึ่งก็ทำได้ดี ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายก็เก็บงานได้ดีตามระดับราคารถ และมีความกว้างขวางใส่ของได้เยอะจริงจัง ความจุ 405 ลิตรไม่รวมพับเบาะ

ไม่เปลี่ยนแปลงทั้งความแรงและความประหยัด

●   เครื่องยนต์ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงใช้บล็อก M 282 พัฒนาโดยร่วมมือกับเรโนลต์ภายใต้แนวคิด The Art of Engineering ผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งบล็อก ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และแข็งแรงมากขึ้น ผนังลูกสูบเคลือบสาร NANOSLIDE ลิขสิทธิ์เฉพาะของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กระโปรงลูกสูบเคลือบกราไฟท์ Eco-Tough ลดแรงเสียดทานและต้านการสึกหรอ แหวนลูกสูบเคลือบ DLC หรือ Diamond-Like Carbon ป้องกันรอยขีดข่วนและเป็นตัวนำความร้อนที่ดี ข้อเหวี่ยงและก้านสูบผลิตจากโลหะด้วยวิธีบีบอัดหรือ Forged เสื้อสูบผลิตจากอะลูมิเนียมหล่อ เคลือบด้วยไฟฟ้าแบบ TWAS หรือ Twin-Wire-Arc-Sprayed ลดแรงเสียดทาน

●   M282 มีความจุ 1,332 ซีซี จากความกว้างกระบอกสูบ 72.2 มิลลิเมตร ช่วงชัก 81.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนการอัด 10.6:1 อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จแบบ Monoscroll พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ควบคุมแรงดันของเทอร์โบชาร์จด้วยเวสเกตไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่นสูง ปรับแรงดันภายในเทอร์โบได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และเหมาะสมกับลักษณะการขับ จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบไดเร็คอินเจ็คชั่น แรงดันสูงสุด 250 บาร์ หัวฉีดแบบหลายรูติดตั้งกลางห้องเผาไหม้และฉีดโดยตรงไม่ผ่านวาล์วไอดี

●   มีกำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ หรือ 163 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร หรือ 25.47 กก.-ม. ที่ 1,620-4,000 รอบต่อนาที รองรับการใช้น้ำมันได้ถึง E85 ตามมาตรฐาน EURO6 เมื่อเติม E10 จะได้อัตราสิ้นเปลืองในเมือง, นอกเมือง และเฉลี่ย อยู่ที่ 13, 20 และ 16.7 กิโลเมตรต่อลิตร ตามลำดับ ถังน้ำมันจุ 43 ลิตร

●   ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ดูอัลคลัตช์ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยร่วมมือกับซัพพลายเออร์ GETRAG น้ำหนักเบาลง 67 กิโลกรัม มีการพัฒนาเพิ่มความแม่นยำทั้งในส่วนของกลไกและอิเล็กทรอนิกส์ ชุดคลัตช์เปียกควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอไฮรอกลิก ซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมคลัตช์รองรับโหมดการขับที่ปรับตั้งได้ทั้ง ECO, Comfort, Sport และ Individual และรองรับระบบ ECO Start/Stop ตามสเปคระบุ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 8.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   เครื่องยนต์บล็อกนี้มีระบบ Cylinder Shut-off ที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นก่อนปรับโฉมแล้ว โดยเมื่อขับในโหมด ECO ใช้ความเร็วคงที่และมีการใช้คันเร่งไม่มากนัก ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์เหลือแค่ 2 สูบ สังเกตจากตัวอักษรบอกตำแหน่งเกียร์ D ในชุดมาตรวัดจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว โดยจะตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดของลูกสูบตามลำดับการจุดระเบิดคือ สูบ 1 กับสูบ 3 หรือ สูบ 2 กับสูบ 4 ตามความเหมาะสม ลูกสูบที่ตัดการทำงานยังคงเลื่อนขึ้น-ลงตามการหมุนของข้อเหวี่ยง วาล์วไอดีไอเสียเปิดปิดตามปกติ แต่ไม่มีการจุดระเบิดใน 2 สูบนั้น ช่วยให้ขับเคลื่อนโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยลง ลดมลพิษและความสิ้นเปลือง

●   จากการทดลองขับพบว่าตั้งใจขับให้ระบบนี้ทำงานได้ไม่ยาก เมื่อลองแล้วก็ขับไปตามการใช้งานปกติ ไม่ได้เคร่งเครียดว่าจะขับให้ระบบนี้ทำงานบ่อยๆ ขับรวดเดียวจากจุดปล่อยรถ โรงแรมสุโขทัย ถนนสาทร แวะพักดื่มกาแฟและสลับผู้ขับที่ปั๊มแถวบายพาสปราณบุรี หน้าจอแจ้งข้อมูลการขับ ระยะทาง 177 กิโลเมตร ใช้เวลา 2.32 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ย 69 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยแบบไม่มีการปั้นตัวเลข 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าประหยัดเพราะขับฝ่ารถติดหลายช่วง และใช้ความเร็วบ้างเมื่อถนนโล่ง

●   เครื่องยนต์ขนาดเล็กมีเทอร์โบ 163 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับสนุกตอบสนองดีในช่วงความเร็วรอบที่ใช้บ่อยคือ 1,500-4,000 รอบต่อนาที การเร่งแซงจากความเร็ว 80 หรือ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้อย่างทันใจโดยไม่จำเป็นต้องคิ๊กดาวน์ ใช้วิธีค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักในการกดคันเร่งลงไป ก็ได้อัตราเร่งที่ทันใจแล้ว เครื่องยนต์มีความยืดหยุ่นสูง แรงบิดดีตั้งแต่รอบต่ำ ดึงไม่หนักหน่วงแต่ต่อเนื่องไปถึงรอบสูง และด้วยการเก็บเสียงที่ดี ช่วงล่างที่มั่นคง เมื่อถนนโล่งๆ ก็จะทำความเร็วแตะ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้แบบไม่รู้ตัว ต้องยกความดีความชอบส่วนหนึ่งในระบบส่งกำลังแบบ DCT ที่เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วและนุ่มนวลต่อเนื่อง ทำให้เร่งสนุกทันใจ

●   อัตราทดเกียร์และเฟืองท้ายน่าจะออกแบบมาเน้นขับสนุก เพราะไม่ได้ลดรอบลงต่ำมากนัก แต่ขับทางไกลก็ยังได้ความประหยัด ขากลับเพื่อนขับชิลๆ จากหัวหินกลับกรุงเทพ ก่อนเจอช่วงรถติด ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 18.8 กิโลเมตรต่อลิตร หลังจากขับไป 165 กิโลเมตร ใช้เวลา 2.32 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ย 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และถึงจุดหมายปลายทางที่ระยะ 175 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางรวม 2.48 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ย 62 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.2 กิโลเมตรต่อลิตร มีลองอัตราเร่งอยู่หลายครั้ง ถ้าขับทางไกลความเร็วปานกลางต่อเนื่องยาวๆ น่าจะทำได้ตามสเปค 20 กิโลเมตรต่อลิตร

●   เครื่องยนต์และเกียร์ชุดนี้ เป็นอีกจุดที่น่าประทับใจของรถรุ่นนี้ ทั้งการทำงานที่ราบเรียบ ขับฝ่าเมืองหัวหินช่วงเย็นที่การจราจรหนาแน่น ก็ขับง่ายนุ่มนวล เร่งไปตามสั่ง ขับทางไกลเร่งแซงได้เฉียบขาดปลอดภัย ใช้ระยะทางและเวลาไม่นานก็แซงได้พ้น โดยไม่จำเป็นต้องลากรอบสูงให้เครียดทั้งรถทั้งคนขับ เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบเสียงเงียบและเดินเรียบไม่สั่นสะเทือน บุคลิกคล้ายเครื่องยนต์ดีเซลทั้งแรงบิดสูงและมาในรอบต่ำ และอัตราสิ้นเปลืองระดับอีโคคาร์ เกียร์ทำงานฉับไวและนุ่มนวล

Lowered Comport Suspension เตี้ยแต่นุ่ม

●   ระบบกันสะเทือนเน้นความคล่องแคล่วขับสนุก และเป็นแบบ Lowered Comport Suspension ลดความสูงลงจากรุ่นมาตรฐาน 15 มิลลิเมตร ช่องว่างระหว่างยางกับบังโคลนกำลังสวย เซตความหนืดมาค่อนไปทางสปอร์ตนิดๆ ขับเองไม่รู้สึกว่าแข็งเท่าไร แต่ถ้านั่งเบาะหลังจะรู้สึกมากกว่า โดยเฉพาะเวลาขับผ่านถนนขรุขระ ขับทางไกลใช้ความเร็วสูงได้ค่อนข้างนิ่ง แม้จะไม่นิ่งเท่ารุ่นใหญ่กว่าอย่าง E-Class หรือ S-Class แต่ก็อยู่ในระดับที่ไว้ใจได้

●   ระบบเบรกปรับปรุงจากรุ่นประกอบในประเทศ โดยเปลี่ยนคาลิเปอร์เบรกหน้าจากเดิมลูกสูบเดี่ยวขนาดใหญ่ เป็นแบบ 2 ลูกสูบขนาดเล็ก พื้นที่สัมผัสของผ้าเบรกยังคงเท่าเดิม แต่ดีกว่าในเรื่องการคืนตัวของลูกสูบเมื่อยกเท้าออกจากแป้นเบรก ลูกสูบคู่จะทำได้ดีกว่า รวดเร็วกว่า ส่วนจานเบรกยังมีขนาดเท่าเดิม เรื่องพละกำลังในการเบรกนั้นหายห่วง เบรกได้หนักแน่นและมั่นคงตามสไตล์รถยุโรปชั้นดี แต่ที่ชอบใจเป็นพิเศษคือ แป้นเบรกที่ส่งความรู้สึกมาที่เท้าได้ดี ควบคุมแรงเบรกได้ง่าย เบรกแล้วรู้สึกมั่นใจ

●   พวงมาลัยแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า พร้อมระบบ Steering Assistance เพิ่มความมั่นคงเมื่อหมุนพวงมาลัยด้วยอิเล็กทรอนิกส์เซอร์โว รักษาเสถียรภาพของพวงมาลัยในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การเบรกรุนแรงบนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน ลดอาการทอร์คสเตียร์ อาการประจำตัวของรถขับเคลื่อนล้อหน้า ปรับพวงมาลัยให้รถวิ่งตรงเมื่อมีลมปะทะด้านข้าง ลองกระทืบคันเร่งออกตัวแรงๆ ก็ยังมีอาการทอร์คสเตียร์ให้สัมผัสอยู่เล็กน้อย

●   พร้อมควบคุมการสั่งการภายในรถ ผ่านหน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับระบบเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟนทั้ง Apple CarPlay™ และ Android Auto™ รวมถึงฟังก์ชันและเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก อาทิ ระบบปรับโหมดการขับขี่แบบ DYNAMIC SELECT ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC แยกปรับอุณหภูมิ 2 โซน พร้อมช่องปรับอากาศผู้โดยสารตอนหลัง ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย พร้อมช่อง USB Type-C 4 ช่อง สร้างบรรยากาศที่เหนือชั้นด้วยไฟ Ambient Light รอบห้องโดยสารแบบปรับได้ 64 เฉดสี และครั้งแรกของ The new A-Class กับหลังคาพาโนรามิคซันรูฟแบบไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มความโปร่งสบายของห้องโดยสาร

●   Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic รถซีดานในกลุ่ม Entry Luxury เด่นที่คุณภาพของความเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งด้านภาพลักษณ์ ความหรูหรา คุณภาพของตัวรถ และสมรรถนะในด้านต่างๆ อุปกรณ์มาตรฐานทั้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยมีให้ครบครัน เครื่องยนต์ขับสนุก ประหยัด ตัวรถมั่นคงหนักแน่น ช่วงล่างดี เบรกมั่นใจ คันเล็กแต่นิ่ง ขับทางไกลได้อย่างผ่อนคลาย ถ้าจะขยับมาลองใช้เบนซ์ เริ่มต้นด้วยรุ่นนี้ไม่น่าผิดหวังกับคุณภาพตัวรถ มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาว Polar White, ดำ Cosmos Black, สีเงิน Iridium Silver และเทา Mountain Grey         ●

ขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

Group Test : 2023 Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic