January 30, 2019
Motortrivia Team (10199 articles)

Mercedes-Benz GLC 250d สปอร์ตหรูเอนกประสงค์เน้นความประหยัด

เรื่อง – ภาพ – วีดิโอ : นาธัส แสงสุริยะ

 

●   เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLC รถเอนกประสงค์พื้นฐานเดียวกับซี-คลาส ทำตลาดในเมืองไทยด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2,200 ซีซี มีตัวถัง 2 แบบ คือ Coupe เน้นความปราดเปรียวด้วยด้านท้ายที่ลาดลง และตัวถัง SUV ทรงท้ายตัดเน้นพื้นที่ใช้สอย มีแยกย่อยเป็น 2 รุ่นตามการตกแต่งคือ OFF-ROAD ราคา 3.29 ล้านบาท และ Mercedes-Benz GLC 250d 4MATIC AMG Dynamic ราคา 3.69 ล้านบาท ซึ่งเป็นรุ่นที่ทีมงานมอเตอร์ทริเวีย มีโอกาสได้ทดลองขับ

เรียบหรูแฝงความสปอร์ต

●   แม้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มคอมแพ็คเอสยูวี แต่มิติตัวรถก็ไม่ถึงกับเล็ก มีความยาว 4,656 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร สูง 1,639 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,873 มิลลิเมตร ภายนอกตกแต่งเรียบๆ กลมกลืนกับเส้นสายหลักที่เน้นความโค้งมน แฝงอารมณ์ออฟโรดนิดๆ ด้วยการตกแต่งคล้ายการ์ดกันกระแทกบริเวณด้านล่างของกันชนหน้าและหลังพร้อมบันไดข้าง กันชนหน้าและหลัง AMG เน้นความสปอร์ตดุดัน ล้อแม็กลายก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/55 R19 แก้มยางหนาเหลือเฟือพร้อมลุยเล็กๆ

●   จากมุมมองด้านข้าง ตัวรถไม่ได้สูงโย่งมากมาย ช่องว่างระหว่างล้อกับซุ้มล้อกำลังสวย ระยะต่ำสุดประมาณ 180 มิลลิเมตร สูงกว่าเก๋งนิดหน่อย พอจะขับลุยทางวิบากเล็กๆ ได้ และไม่ลำบากในการขึ้น-ลงรถ

●   ที่ชอบใจเป็นพิเศษก็คือ ระบบไฟส่องสว่าง ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อขับกลางคืนได้ดี โคมแบบโปรเจ็คเตอร์รวมแสงเข้ม มีขอบเขตที่ชัดเจนไม่ฟุ้งแยงตาใคร มีระบบเลี้ยวตามพวงมาลัยและไฟส่องมุมข้างขณะเลี้ยว และประตูบานท้ายระบบไฟฟ้า เพียงพกรีโมทไว้ ก็สามารถใช้เท้ากวาดไปใต้กันชนเพื่อสั่งงานเปิด-ปิด หรือสั่งให้เปิดค้างในระดับความสูงที่ต้องการก็ได้

ห้องโดยสารสะอาดตา เข้าใจง่าย

●   ชุดมาตรวัดของ GLC ยังเป็นแบบเข็ม กรอบทรงกลมดูสปอร์ต คันนี้ตกแต่งด้วยโทนสีดำเข้มขรึม ตัดกับสีของโลหะที่แซมอยู่ในจุดต่างๆ คุณภาพของวัสดุและการประกอบสมราคารถ พวงมาลัยสปอร์ตขอบล่างปาดตรงพร้อม Paddle Shift ปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง คอนโซลกลางมีจอที่ใช้ควบคุมระบบต่างๆ ของรถ แต่ยังไม่ใช่จอสัมผัส ต้องใช้ชุดสวิตช์ Touchpad ติดตั้งอยู่บริเวณที่เท้าแขน คันเกียร์ย้ายไปติตตั้งที่คอพวงมาลัยฝั่งขวา

●   เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง ฝั่งผู้ขับรวมตำแหน่งกระจกมองข้างด้วย เบาะหลังแยกพับได้ 60:40 จากสวิตช์ในห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย และที่เท้าแขนตรงกลางสามารถแยกเปิดได้จากตำแหน่งเบาะหลัง สำหรับเอื้อมหยิบของโดยไม่ต้องลงจากรถ ห้องโดยสารเงียบและนิ่งสนิท แทบไม่รู้สึกว่าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล เครื่องเสียงระบบไฮเอ็นอย่าง Burmester สัญชาติเดียวกับรถ จึงทำหน้าที่ขับกล่อมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีข้อแม้ว่าต้องเล่นเพลงจากแหล่งที่มีคุณภาพดีด้วย

●   พื้นที่เบาะหลังมีให้ตามขนาดของรถที่ใช้พื้นฐานจากซี-คลาส ไม่ได้กว้างขวางเหลือเฟือ แต่ก็ไม่คับแคบจนรู้สึกอึดอัด นั่งเบาะหลัง 2 คนสบายๆ กับความสูงระดับ 170-175 เซนติเมตร ถ้าส่วนใหญ่ใช้งานแค่ 2 ตำแหน่งด้านหน้าก็ไม่ต้องกังวลในจุดนี้ ที่กว้างขวางเหลือเฟือคือ ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ที่ทั้งกว้างและลึก มีความจุ 550 ลิตร ใต้พื้นไม่มียางอะไหล่เพราะใช้ยางแบบรัน-แฟลต จึงมีที่เก็บของเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร มีม่านบังสายตามาให้พร้อม

●   ห้องโดยสารโดยรวม ถูกใจกับการตกแต่งในโทนสีดำ ดูสปอร์ตและไม่ต้องทนุถนอมมากเหมือนภายในสีอ่อน อุปกรณ์มาตรฐานเหลือล้น ความกว้างขวางเหลือเฟือกับการโดยสาร 2-4 คน ทัศนวิสัยรอบคันโปร่งตา เสริมความมั่นใจด้วยกล้อง 360 องศา และสามารถปรับมุมมองได้ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ดี ประตูบานท้ายเปิดได้กว้าง สามารถเคลื่อนย้ายสัมภาระที่มีขนาดใหญ่ได้ด้วยการพับเบาะหลังลง ที่ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรคือ ม่านบังแสงของซันรูฟไฟฟ้าแบบ Panoramic ที่เนื้อผ้าบางไปนิด แสงและความร้อนยังเล็ดลอดเข้ามาได้

เครื่องยนต์ดีเซลไฮไลต์ประจำรุ่น

●   หนึ่งในจุดที่น่าสนใจและอยากลอง สำหรับรถรุ่นนี้คือ เครื่องยนต์ดีเซล ที่เป็นแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว อัดอากาศด้วยระบบเทอร์โบคู่ โข่งไอดี 2 ตัว ตัวเล็กแรงดันสูงสำหรับการออกตัวที่รวดเร็วในรอบต่ำ และตัวใหญ่แรงดันต่ำสำหรับสร้างแรงบิดเมื่อรถออกตัวไปแล้ว พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบคอมมอนเรล เจนเนอเรชั่นที่ 4 เพิ่มแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงเป็น 2,000 บาร์ จากเดิม 1,600 บาร์ ความจุ 2,143 ซีซี กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร หรือ 50.9 กก.-ม. ที่ 1,600-1,800 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC น้ำหนักตัวรถประมาณ 1,770 กิโลกรัม

●   แม้ตัวเลขแรงม้าแรงบิดจะค่อนข้างดุเดือด แต่เมื่อขับในโหมด Comfort ก็ขับได้อย่างสบายสมชื่อ ควบคุมคันเร่งได้ง่าย การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล พวงมาลัยเบาลงเล็กน้อย ขับใช้งานทั่วไปได้อย่างรื่นรมย์ ทั้งการขับในเมืองและเดินทางไกล และถ้าอยากแก้ง่วงก็เลือกเป็นโหมด Sport หรือ Sport+ การตอบสนองของเครื่องยนต์จะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แตะคันเร่งเบาๆ รถก็พุ่งกระโจนออกไป ผ่อนคันเร่งแล้วเกียร์ก็ยังไม่เปลี่ยนขึ้นสูง ยังคาอยู่ในเกียร์เดิมกับรอบเครื่องยนต์ที่ขยับสูงกว่าปกติเพื่อรอให้เติมคันเร่งซ้ำ สะใจคนชอบขับแบบสปอร์ต มี Paddle Shift ให้ผู้ขับควบคุมจังหวะการเปลี่ยนเกียร์เองได้ พวงมาลัยหนืดขึ้นนิดหน่อยเพิ่มความมั่นใจ และมีโหมด Individual ให้เลือกแยกปรับเองได้ด้วย

●   เกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC แบบ 9 จังหวะ อัตราทดต่อเนื่อง เร่งเพิ่มความเร็วได้อย่างรวดเร็ว นุ่มนวลและต่อเนื่อง ขับในโหมด Comfort แทบไม่รู้สึกว่าเกียร์เปลี่ยน ลองใช้โหมด M แล้วเปลี่ยนเกียร์ด้วย Paddle Shift ต้องใช้ความเร็วเกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถึงจะเข้าเกียร์ 9 ได้ ถ้าเป็นคนขับรถที่รักษากฎจราจรอย่างเคร่งครัด เดินทางด้วยความเร็วตามกฎหมาย 90-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะใช้รอบเครื่องยนต์แค่ 1,500-1,800 รอบต่อนาทีเท่านั้น การเร่งแซงที่ไม่เร่งรีบหรือฉุกเฉินมากนัก ก็ไม่จำเป็นต้องคิ๊กดาวน์ลึกๆ แค่กดคันเร่งเพิ่มลงไปนิดหน่อย ก็สร้างอัตราเร่งได้ดีพอสมควรแล้ว

●   ขับเดินทางไกลแบบไปเรื่อยๆ ระยะทาง 136 กิโลเมตร ใช้เวลา 1.33 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ย 87 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 18.5 กิโลเมตรต่อลิตร ขับในเมืองช่วงเที่ยงวัน ระยะทาง 24 กิโลเมตร ใช้เวลา 32 นาที ความเร็วเฉลี่ย 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังได้อัตราสิ้นเปลืองที่น่าพอใจ 16.6 กิโลเมตรต่อลิตร

●   ข้อดีของเครื่องยนต์ดีเซลคือ แรงบิดสูงในรอบต่ำ ขับง่ายไม่ต้องลากรอบ และประหยัดน้ำมัน ใช้เทคโนโลยีช่วยลบจุดด้อยต่างๆ เช่น เรื่องเสียงดังและการสั่นสะเทือน ที่ถูกลดทอนไปจนเกือบหมดเมื่อเข้าไปนั่งในห้องโดยสารของรถระดับราคา 3 ล้านกว่าบาท การดูแลไม่ซับซ้อน แค่เลือกเติมน้ำมันดีเซลเกรดดีๆ จากปั๊มที่น่าเชื่อถือก็เพียงพอ

นุ่มหนึบขับสบาย

●   ระบบกันสะเทือนแบบอิสระ 4 ล้อ ให้มาแบบ Sport ต่างจากรุ่น OFF-ROAD ที่เป็นแบบ Comfort แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแข็งกระด้าง ยางขนาด 235/55 R19 แก้มยางหนาพอสมควร ดูดซับแรงกระแทกได้ดี ขับช้านุ่มนวล ขับเร็วหนักแน่น จำกัดอาการโคลงของตัวรถได้ดี ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะตัวรถก็ไม่ได้สูงมาก

●   ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ ทำผลงานอย่างที่ควรจะเป็น สร้างแรงเบรกได้อย่างมหาศาล แต่ควบคุมการเบรกให้นุ่มนวลได้ง่ายตั้งแต่ครั้งแรกที่ขับ มีระบบ HOLD ซ่อนอยู่ เมื่อรถจอดสนิทแล้วกดแป้นเบรกลงไปอีกนิด จะเข้าสู่โหมด HOLD ยกเท้าออกจากแป้นเบรกได้ เมื่อต้องการไปต่อก็แตะคันเร่งเบาๆ เบรกจะถูกปลดอย่างนุ่มนวล ผลงานของระบบกันสะเทือนและเบรกโดยรวม อยู่ในระดับที่น่าพอใจสำหรับการใช้งานปกติ แต่ถ้าชอบขับรถเร็วหรือขี้เกียจแตะเบรกก่อนเข้าโค้ง อาจจะอยากได้ช่วงล่างที่หนึบว่านี้อีกนิด

●   เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLC 250d AMG Dynamic เอสยูวีขนาดพอเหมาะ ไม่เล็กจนอึดอัด ไม่ใหญ่จนเกะกะ แต่งสปอร์ตทันสมัย เครื่องยนต์ดีเซลแรงเหลือๆ และประหยัดเกินตัว แม้อยู่ในช่วงปลายอายุตลาด แต่ยังมีความน่าสนใจ จากประสิทธิภาพของตัวรถ และชื่อชั้นของแบรนด์ รวมทั้งช่วงนี้มีโปรโมชั่นมากมายเพิ่มความคุ้มค่าและความน่าสนใจยิ่งขึ้น

Specification: Mercedes-Benz GLC 250d 4MATIC AMG Dynamic

•   แบบตัวถัง เอนกประสงค์ 5 ประตู
•   ยาว x กว้าง x สูง 4,656 x 1,890 x 1,639 มิลลิเมตร
•   ฐานล้อ 2,873 มิลลิเมตร
•   น้ำหนัก 1,770 กิโลกรัม
•   แบบเครื่องยนต์ ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์
•   ความจุ 2,143 ซีซี
•   กระบอกสูบ x ช่วงชัก 83 x 99 มิลลิเมตร
•   อัตราส่วนการอัด 16.2:1
•   กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที
•   แรงบิดสูงสุด 50.9 กก.-ม. ที่ 1,600-1,800 รอบต่อนาที
•   ระบบส่งกำลัง อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC
•   ระบบบังคับเลี้ยว แร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์
•   ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมเหล็กกันโคลง
•   ระบบกันสะเทือนหลัง อิสระ มัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง
•   ระบบเบรกหน้า/หลัง ดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ
•   ผู้จำหน่าย บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
•   โทรศัพท์ 02-034-1000
•   เวบไซต์ www.mercedes-benz.co.th.


2019 Mercedes-Benz GLC 250d 4MATIC AMG Dynamic