March 30, 2023
Motortrivia Team (11109 articles)

2023 All-New Honda CR-V ลอง 2 รุ่นท๊อป 2 บุคลิก

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●   ฮอนด้า ซีอาร์-วี ทำตลาดต่อเนื่องยาวนานเกือบ 30 ปี ทั้ง 5 เจนเนอเรชั่น มียอดจำหน่ายรวมกว่า 13 ล้านคันทั่วโลก โฉมปัจจุบันเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 เปิดตัวในไทยได้ประมาณ 1 สัปดาห์ มียอดจองแล้วกว่า 2,000 คัน เป็นรุ่น e:HEV ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นรุ่นเทอร์โบ ล่าสุดทีมงานมอเตอร์ทริเวีย มีโอกาสได้ทดลองขับซีอาร์-วี ใหม่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางมีทั้งทางเรียบตรงและทางโค้งลาดชันขึ้นลงเขา ได้ลองครบทั้ง 2 รุ่นท๊อป คือ 1.5 เทอร์โบ EL 4WD 7 ที่นั่ง ราคา 1,649,000 บาท และ 2.0 ไฮบริด e:HEV RS 4WD ราคา 1,729,000 บาท

●   ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ พัฒนาภายใต้แนวคิด ‘Blown Away CR-V’ เพื่อให้เป็นรถยนต์ที่เป็นที่สุดในทุกด้าน (The Ultimate All-around Vehicle) คล่องตัวและสะดวกสบายเทียบเท่ารถซีดาน มีความอเนกประสงค์ในแบบ MPV และสามารถลุยได้เทียบเท่ารถ Cross Country เพื่อให้ครอบคลุมทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและรองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่ ออกแบบด้วยแนวคิด ‘Sporty and Functional Body Frame’ เน้นดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม มีความแข็งแกร่ง ใช้เส้นสายที่ลากยาวต่อเนื่องจากด้านหน้าสู่ด้านท้าย ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวแข็งแกร่งทรงพลัง

คุณศิริพร ศรีสุข ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และกิจกรรมการตลาด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด

รุ่นเทอร์โบ ขับสนุกกว่าที่คิด

●   ไม่เกริ่นยาว เล่าความรู้สึกหลังได้ทดลองขับเป็นหลัก ช่วงเช้าได้ขับรุ่นท๊อปเทอร์โบ EL 4WD ซึ่งเป็นรุ่นย่อยเดียวที่มีแบบ 7 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ DOHC VTEC TURBO 16 วาล์ว ความจุ 1,498 ซีซี จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ PGM-FI ไดเร็คอินเจ็คชั่น อัตราส่วนการอัด 10.3:1 กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-5,000 รอบต่อนาที รองรับแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) ปรับปรุงลดเสียงและการสั่นสะเทือนและติดตั้ง Step-Shift Control ประหยัดน้ำมันสูงสุด 14.3 กิโลเมตรต่อลิตรในรุ่น E เครื่องยนต์ของรุ่นนี้เป็นบล็อกเดียวกับฮอนด้า ซีวิค เทอร์โบ แตกต่างกันในส่วนของท่อร่วมไอดีและท่อไอเสีย ทำให้ปริมาณของอากาศที่เข้าเครื่องยนต์แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อกำลังของเครื่องยนต์

Honda CR-V 1.5 Turbo EL 4WD

●   เห็นสเปคแรงม้าแรงบิดเมื่อเทียบกับมิติตัวรถและน้ำหนักรถ 1,749 กิโลกรัม ก่อนขับคิดว่าอัตราเร่งคงแค่พอได้ แต่หลังจากลองขับแล้วต้องเปลี่ยนใจ เพราะอัตราเร่งดีและมีความคล่องตัวมากกว่าที่คิด ช่วงขับในเมืองต้องมีการเร่งและเบรกบ่อยครั้ง เครื่องยนต์ทำงานได้ราบเรียบนุ่มนวล ขับง่ายไม่กระชาก คันเร่งและเครื่องยนต์มีการทำงานที่สอดคล้องกัน ควบคุมความเร็วได้ง่าย และเมื่อขับออกนอกเมืองทางโล่ง อัตราเร่งก็ทันใจพอสมควร แม้จะไม่ถึงกับดึงหนักถึงขนาดหลังติดเบาะ แต่ก็เร่งแซงได้อย่างเฉียบขาด เพียงแต่ต้องเรียนรู้จังหวะของเครื่องยนต์และคันเร่งบ้าง เมื่อจับจังหวะได้แล้วก็จะสนุกกับอัตราเร่ง

●   แรงบิดระดับ 240 นิวตัน-เมตร มาที่รอบต่ำและช่วงกว้าง 1,700-5,000 รอบต่อนาที ทำให้ไม่ต้องลากรอบสูงเมื่อต้องการเพิ่มความเร็ว แค่ค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักเท้าขวาลงบนคันเร่ง เครื่องยนต์ก็ให้การตอบสนองที่เพียงพอ โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเร่งได้ทันใจกว่าการกดคันเร่งสุดเพื่อลากรอบสูงด้วยซ้ำ เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ช่วยเสริมให้รถมีสมรรถนะที่ดีขึ้นด้วย ถ้ากดคันเร่งค้างไว้ เกียร์ก็จะคาอยู่ในรอบที่สัมพันธ์กับน้ำหนักและความลึกในการกดคันเร่ง ไม่ได้คาที่รอบสูงสุดเพียงอย่างเดียวแบบเกียร์ CVT รุ่นดั้งเดิม แต่ถ้ากดคันเร่งแล้วผ่อนเท้าขวา เกียร์ก็จะเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงให้ สังเกตจากรอบเครื่องยนต์ที่ลดลง ทำให้ขับได้นุ่มนวล ประหยัดเชื้อเพลิง ลดการสึกหรอ และลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์

Honda CR-V 1.5 Turbo EL 4WD

●   เกียร์มีตำแหน่ง D สำหรับการขับปกติ และ S น่าจะมาจาก Sport เพราะเมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่งนี้ รอบเครื่องยนต์จะขยับขึ้นสูงเล็กน้อย แม้จะใช้ความเร็วเท่ากับตอนอยู่ในตำแหน่ง D ทำให้เร่งทันใจขึ้นอีกนิด ส่วน Paddle Shift ก็มีการตอบสนองที่รวดเร็วกว่าที่คิดเล็กน้อย ใช้ควบคุมตำแหน่งเกียร์เวลาขับลงทางชันก็พอได้ แต่จริงๆ เกียร์ชุดนี้ก็ฉลาดพอตัว ถ้าลงเนินชันต่อเนื่องยาวๆ เกียร์ก็จะไม่เปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงให้ ช่วยหน่วงความเร็วแม้อยู่ในตำแหน่ง D ทำให้รถมีแรงฉุดดึงเพิ่มความปลอดภัย และลดภาระของเบรกได้พอสมควร

●   ขับช่วงแรกระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร เส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางราบและตรง มีขึ้นเขาคดโค้งบ้าง เครื่องยนต์เทอร์โบตอบสนองได้ดี เร่งทันใจ ไต่เนินชันได้สบายโดยไม่ต้องลากรอบสูง การเร่งแซงบนถนน 2 เลนสวน ก็ทำได้รวดเร็วมั่นใจ ข้อเสียเดียวของรุ่นเทอร์โบคือ อัตราสิ้นเปลืองที่ไม่หรูหรานักเมื่อต้องขับขึ้นทางชันหรือเร่งแซงบ่อยๆ ทำได้ประมาณ 10 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการนั่ง 2 คนรวมผู้ขับ ถ้านั่ง 7 คนเต็มความจุ อัตราสิ้นเปลืองก็จะลดลงตามสัดส่วน แต่ขอหมายเหตุไว้นิดว่า เป็นการขับที่ค่อนข้างเร็วกว่าการใช้งานปกติเล็กน้อย

ช่วงล่างรับมือได้สบาย ถ้าไม่เล่นแรง

●   ซีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อย ใช้ระบบกันสะเทือนอิสระพร้อมเหล็กกันโคลงทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังมัลติลิงก์ รุ่นเทอร์โบปรับเซตช่วงล่างในแบบที่ถูกใจคือ ค่อนไปทางหนึบแน่น เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจเพราะตัวรถจะไม่เอียงหรือโคลงมาก ควบคุมง่ายและเบาแรง แต่ยังคงมีการดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่ดีจากยาง 235/60 R18 ขับความเร็วต่ำนุ่มนวล ขับเร็วมั่นใจ แต่ถ้าใช้ความเร็วสูงแล้วเจอถนนที่เป็นคลื่นลอนต่อเนื่องก็ยังมีอาการยืดยุบขึ้นลงหลายครั้งให้สัมผัสบ้าง แค่ลดความเร็วลงนิดหน่อยอาการก็หมดไป

●   อีกจุดที่ชอบใจคือ พวงมาลัยดูอัลพิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า ขับความเร็วสูงเข้าโค้งบนทางขึ้นเขา พวงมาลัยให้อารมณ์คล้ายระบบผ่อนแรงด้วยไฮดรอลิกตรงที่มีความหนืดมือหนักแน่น รู้สึกว่าหน้ายางยึดเกาะกับพื้นถนน ขับบนทางคดเคี้ยวได้อย่างมั่นใจ ดีกว่าพวงมาลัยที่เบาหวิวที่เวลาขับเข้าโค้งแล้วรู้สึกลอยๆ เหมือนยางไม่เกาะถนน อีกข้อดีของพวงมาลัยชุดนี้คือ เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ จะมีการผ่อนแรงที่พอเหมาะ ทำให้ขับรถคันใหญ่ๆ ลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรได้อย่างคล่องตัว ขับง่ายจอดง่าย น่าจะถูกใจผู้ขับที่เป็นสุภาพสตรี การหมุนพมวงมาลัยก็ราบเรียบ ส่วนระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน ทำงานได้ดีตามมาตรฐาน ไม่ต้องปรับตัวก็สามารถกะน้ำหนักเบรกได้อย่างพอดีตั้งแต่ครั้งแรกที่ขับ มีการจับตัวของเบรกที่สัมพันธ์กับน้ำหนักเท้าที่เหยียบแป้นเบรก ไม่จับตัวเร็วเกินไป และไม่รู้สึกว่าเบรกไหล

Honda CR-V 1.5 Turbo EL 4WD

●   มีโอกาสทดลองนั่งเบาะแถว 2 ที่สามารถแยกปรับเลื่อนเดินหน้า-ถอยหลังได้ และแยกปรับความเอนพนักพิงได้ แบบ 60:40 มีเซอร์ไพรส์ตรงที่เข็มขัดนิรภัยเบาะแถว 2 ปรับระดับสูง-ต่ำได้ ปรับให้พอดีกับสรีระและการเอนของเบาะ มีที่เท้าแขนพร้อมที่วางแก้วน้ำกลางเบาะแถว 2 บนเพดานตรงกลางมีไฟส่องสว่าง LED ระบบสัมผัส และบนเพดานเบาะแถว 2 ฝั่งผู้ขับ มีสวิตช์ควบคุมลมแอร์สำหรับเบาะแถว 3 ซึ่งมีช่องแอร์อยู่บริเวณเหนือเสา C ส่วนเบาะแถว 2 มีช่องแอร์พร้อมช่อง USB-C อยู่ที่ด้านหลังของที่เท้าแขนกลางเบาะหน้า

●   เบาะนั่งแถว 2 ติดตั้งคันโยก ดึงครั้งเดียวเบาะแถว 2 จะกระดกขึ้นไปด้านหน้า เพื่อให้ผู้โดยสารแถว 3 เข้า-ออกได้สะดวก เบาะแถว 2 มีที่วางเท้าเหลือเฟือ พื้นที่บริเวณเข่าก็กว้างเกือบ 20 เซนติเมตร เมื่อนั่งหลังผู้ขับที่มีความสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ส่วนเบาะแถว 3 ไม่ได้ลองนั่ง แต่เท่าที่ชำเลืองดูน่าจะเหมาะกับผู้โดยสารร่างเล็กหรือเด็กมากกว่า ถ้าจะให้นั่งสบายต้องเลื่อนเบาะแถว 2 ไปด้านหน้าเล็กน้อย เฉลี่ยพื้นที่ใช้สอยกันไป

●   สรุปโดยรวมของรุ่นเทอร์โบ EL 4WD 7 ที่นั่ง เครื่องยนต์มีอัตราเร่งได้ดีเกินคาด แม้จะเป็นเครื่องยนต์บล็อกเล็กพ่วงเทอร์โบ แต่ก็มีความยืดหยุ่นสูง ขับง่าย ไม่ต้องลากรอบ อัตราสิ้นเปลืองสัมพันธ์กับลักษณะการขับและสภาพการจราจร ถ้าขับใช้งานทางโล่งมากกว่ารถติดก็น่าจะเห็นตัวเลข 2 หลัก ความประหยัดอาจไม่ใช่จุดเด่นของรุ่นนี้ แต่สำหรับบางคนที่ยังกังวลที่จะใช้รถไฮบริด รุ่นเทอร์โบ ก็เป็นทางเลือกที่สบายใจถ้าใช้งานระยะยาว

Honda CR-V 1.5 Turbo EL 4WD

e:HEV RS 4WD ความดีความชอบแบบครอบจักรวาล

●   คำถามแรกที่เกิดขึ้นคือ ทำไมรุ่นไฮบริดทั้ง 2 รุ่นย่อย ไม่มีภายในแบบ 7 ที่นั่ง เพราะดูจากอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ระบุโดยฮอนด้าแล้ว รุ่นไฮบริดประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นเทอร์โบพอสมควร น่าจะเหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวแบบครอบครัว ในช่วงถามตอบหลังจบการทดลองขับ ทีมวิศวกรฮอนด้าให้เหตุผลว่า เพราะต้องการให้รุ่นไฮบริดขับสนุกสไตล์สปอร์ต ถ้าทำ 7 ที่นั่งแล้วนั่งเต็มความจุ จะมีน้ำหนักบรรทุกมากขึ้น ทำให้ขับไม่สนุก แต่โดยส่วนตัวแล้วก็ยังแอบเถียงในใจ เพราะด้วยแรงบิด 335 นิวตัน-เมตร จากมอเตอร์ ก็น่าจะขับเคลื่อนได้อย่างเพียงพอ

Honda CR-V e:HEV RS 4WD

●   ถ้าเน้นเรื่องอัตราเร่งและความสนุกในการขับ ก็ต้องยอมรับว่า e:HEV RS 4WD ขับสนุกกว่าจริงๆ โดยเป็นผลงานความร่วมมือของเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ PGM-FI ไดเร็คอินเจ็คชั่น Atkinson-Cycle ความจุ 1,993 ซีซี อัตราส่วนการอัด 13.9:1 กำลังสูงสุด 148 แรงม้า ที่ 6,100 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 183 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว สำหรับสร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และสำหรับขับเคลื่อนรถ (Motor Drive) โดยรับไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอเตอร์ขับเคลื่อนมีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000-8,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ที่ 0-2,000 รอบต่อนาที กำลังขับเคลื่อนรวมทั้งระบบ 207 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) ประหยัดน้ำมันสูงสุด 20.8 กิโลเมตรต่อลิตร ในรุ่น e:HEV ES ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 113 กรัมต่อกิโลเมตร

●   มี 3 โหมดการขับ ได้แก่ ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ขับด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และขับด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) ซึ่งระบบจะเลือกให้เองว่าจะขับเคลื่อนด้วยโหมดไหนตามความเหมาะสม ที่ผู้ขับสามารถเลือกได้คือ 3 โหมดการขับ (Drive Mode Switch) ประกอบด้วยโหมดสปอร์ต (Sport Mode) การขับแบบปกติ (Normal Mode) และการขับแบบประหยัด (Econ Mode)

●   รุ่น e:HEV RS 4WD ถูกกำหนดให้ขับคนละเส้นทางกับรุ่นเทอร์โบ แต่ก็พอได้สัมผัสถึงสมรรถนะที่ดีกว่ารุ่นเทอร์โบทั้งความสนุกในการขับ และอัตราสิ้นเปลืองที่ประหยัดกว่ากันอย่างชัดเจน ถ้าต้องใช้รถบ่อยๆ ทั้งในเมืองนอกเมือง เรื่องการกินน้ำมันที่แตกต่างกันก็เป็นนัยยะสำคัญ เพราะถ้าเทียบระหว่างรุ่นท๊อปด้วยกัน รุ่นเทอร์โบถูกกว่ารุ่นไฮบริด 80,000 บาท ใช้งานเยอะๆ ไม่กี่ปีส่วนต่างของราคารถก็น่าจะคุ้มกับค่าน้ำมันที่ประหยัดได้แล้ว แม้รุ่นเทอร์โบจะรองรับ E85 ส่วน e:HEV RS 4WD รองรับ E20 ก็ตาม

●   รถไฮบริดของฮอนด้ารุ่นก่อนหน้านี้ จะออกแบบให้เน้นการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก ในการใช้งานปกติเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ชาร์จไฟฟ้าผ่านเจนเนอเรเตอร์มอเตอร์ และเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถเฉพาะที่ความเร็วสูงเท่านั้นโดยใช้ระบบ Lock-up High Clutch แต่ในซีอาร์-วี ใหม่ ได้เพิ่มระบบ Lock-up Low Clutch เป็นครั้งแรกของฮอนด้า เพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยขับเคลื่อนรถในขณะกดคันเร่งอย่างนุ่มนวล ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเนื่องจากลดภาระของเครื่องยนต์ที่ต้องทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าป้อนให้แบตเตอรี่ไฮบริดเพื่อส่งต่อให้มอเตอร์ขับเคลื่อน การออกแบบให้เครื่องยนต์ช่วยขับเคลื่อนที่ความเร็วต่ำ นอกจากช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังช่วยให้อัตราเร่งดีขึ้นด้วย

●   ลองขับแล้วก็ต้องบอกว่า ความพยายามของทีมวิศวกรฮอนด้าสัมฤทธิ์ผล เพราะ e:HEV RS 4WD ขับสนุกกว่ารุ่นเทอร์โบจริงๆ ทั้งอัตราเร่งที่ความเร็วต่ำถึงความเร็วสูงและการเร่งแซง เป็นรถที่มีกำลังสำรองเยอะ เรียกเมื่อไรก็มา แต่ยังคงควบคุมได้ง่ายด้วยการให้น้ำหนักในการกดคันเร่ง เร่งทันใจ เป็นความแรงแบบสุภาพราบเรียบสไตล์ผู้ใหญ่ ดึงไม่หนักหน่วงแต่ต่อเนื่องและมาเรื่อยๆ โดยไม่ต้องใช้รอบสูง ที่สำคัญคือ ขับในสไตล์เดียวกับรุ่นเทอร์โบ แต่ประหยัดกว่าเกือบเท่าตัว อาจมีปัจจัยที่ทำให้ประหยัดกว่ากันมากก็คือเรื่องสภาพเส้นทางและสภาพการจราจร

●   ระบบกันสะเทือนแม้จะใช้รูปแบบเดียวกันทุกรุ่นย่อย แต่ต่างทั้งค่าความแข็งของสปริง ช๊อคฯ และเหล็กกันโคลง เพื่อการรองรับน้ำหนักตัวรถที่ต่างกัน โดยรุ่น e:HEV RS 4WD มีน้ำหนัก 1,815 กิโลกรัม ใช้ล้อขนาด 7.5×19 นิ้ว ยาง 235/55 R19 โดยส่วนตัวรู้สึกว่าช่วงล่างของนี้ให้ความละมุนละเอียดกว่ารุ่นเทอร์โบ ขับสบายกว่า นั่งนุ่มกว่า แต่ยังคงมีการยึดเกาะถนนที่ดี และไม่รู้สึกว่ากระแทกหรือสะเทือนกว่า แม้จะใช้ยางกว้างกว่าและซีรีส์ต่ำกว่ารุ่นเทอร์โบก็ตาม

●   ช่วงล่างขับนุ่มแล้วเสียงเครื่องยนต์ก็เงียบกว่า เนื่องจากขณะขับถ้าเงื่อนไขทุกอย่างลงตัว ระบบจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เครื่องยนต์หยุดทำงาน สังเกตได้จากสัญลักษณ์ EV สว่างขึ้นในชุดมาตรวัด และเมื่อเครื่องยนต์กลับมาทำงาน ก็เป็นไปอย่างนุ่มนวลแทบไม่รู้สึก

Real Time(TM) AWD อีกหนึ่งไฮไลต์ของรุ่น

●   ระบบ 4WD ของทั้งรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบและไฮบริด เป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (Real Time(TM) AWD with E-DPS) ที่ช่วยให้การขับและการควบคุมรถทำได้ง่ายขณะเข้าโค้ง โดยแบ่งการขับเคลื่อนเป็น 50:50 ซึ่งเหมาะสมกับการเข้าโค้ง และปรับเปลี่ยนอัตราส่วนการขับเคลื่อนได้ถึง 60:40 ตามลักษณะการขับ รองรับทั้งการลุยบนถนนขรุขระและการเข้าโค้ง โดยเพิ่มแรงขับเคลื่อนล้อหลังในทุกช่วงความเร็ว ในช่วงความเร็วต่ำส่งผลให้มีการออกตัวที่ดีขึ้น แม้ขับบนทางลาดชัน ในช่วงความเร็วปานกลางหรือบนถนนเปียก ให้การเร่งความเร็วที่ดีขึ้น และในช่วงความเร็วสูงจะให้การทรงตัวที่ดีขึ้น

●   ลดเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือน (NV) ด้วยการใช้ Torsional Damper ทำให้สามารถดูดซับการแกว่งของแรงบิด และการแกว่งของความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ทำให้ได้ความเงียบที่ดีขึ้น ในช่วงความเร็วต่ำ รวมทั้งมีการใช้ชุดเพลาขับ (Constant-Velocity Joint) ที่มีขนาดเล็ก ช่วยลดการแกว่งตัวที่เกิดจากรอบการหมุนของเพลากลาง ส่งผลให้มีความเงียบดีขึ้นในทุกช่วงความเร็ว

●   จากเดิมที่เคยสมมุติว่าถ้าจะซื้อรถรุ่นนี้คงเลือกรุ่น ES 4WD 5 ที่นั่ง เพราะคุ้มค่าและสบายใจในระยะยาว แต่พอได้ลองขับรุ่น e:HEV RS 4WD แล้วเกิดความลังเลอย่างแรง เพราะทั้งขับสนุกและประหยัด รูปลักษณ์ภายนอกภายในก็ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวกว่าจากชุดแต่ง RS ถ้าจะให้ตอบแบบคิดแทนหรือฟันธงไปเลยว่าควรซื้อรุ่นไหน ก็คงตอบว่าถ้าเงินไม่ใช่ปัญหาก็ไปรุ่น e:HEV RS 4WD เจ็บแต่จบ ครบทั้งความสวย สมรรถนะ และอุปกรณ์มาตรฐานที่มีแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าคาใจเพราะเกิดนึกอยากใช้แต่ไม่มี

รูปลักษณ์ทันสมัยลงตัว

●   กระจังหน้าดีไซน์ใหม่สีดำ Piano Black ส่วนรุ่น E เป็นกระจังหน้าสีดำ Piano Black ตกแต่งด้วยโครเมียม ประกบด้วยไฟหน้าและ DRL แบบ LED ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED กระจกมองปรับไฟฟ้าพับเก็บอัตโนมัติพร้อมไฟเลี้ยวในตัว หลังคาพาโนรามิกซันรูฟไฟฟ้า (ยกเว้นรุ่น E) ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-Free Power Tailgate with Walk Away Close) เสาอากาศครีบฉลาม ปลอกท่อไอเสียสเตนเลสคู่ (ยกเว้นรุ่น E)

●   e:HEV RS 4WD ยกระดับความสปอร์ตด้วยการตกแต่งเฉพาะรุ่น เช่น สัญลักษณ์ RS บนกระจังหน้า, กระจกมองข้างสีดำ Piano Black ด้านล่างของกันชนหน้าและหลังสีเดียวกับตัวรถ แถบกันกระแทกด้านข้างสีเดียวกับตัวรถ, คิ้วที่ประตูสีดำ Gloss Black, ไฟตัดหมอกหลัง LED สปอยเลอร์หลังสีเดียวกับตัวรถ พร้อมตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black เสาอากาศครีบฉลามสีดำ Piano Black และล้อแม็ก 19 นิ้ว ภายในห้องโดยสารเพิ่มชุดแต่งลายอะลูมิเนียมปัดเงาและสีดำ Piano Black เบาะหนังสีดำและพวงมาลัยสีดำ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง แป้นเหยียบแบบสปอร์ต

●   รุ่นเทอร์โบทุกรุ่นย่อยและรุ่นไฮบริด e:HEV ES ให้ล้อขนาด 7.5×18 นิ้ว ยาง 235/60 R18 ส่วนรุ่นสูงสุดไฮบริด e:HEV RS 4WD ให้ล้อขนาด 7.5×19 นิ้ว ยาง 235/55 R19 รุ่นเทอร์โบมีล้ออะไหล่แบบ Full Size ส่วนรุ่นไฮบริดมีชุดปะยาง ไม่สามารถใส่ยางอะไหล่ได้เพราะต้องแบ่งพื้นที่ให้แบตเตอรี่ไฮบริด

●   มิติตัวรถมีความยาว 4,691 มิลลิเมตร กว้าง 1,866 มิลลิเมตร รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า สูง 1,681 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุด 198 มิลลิเมตร รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ สูง 1,691 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุด 208 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,606-1,815 กิโลกรัม

Honda CR-V e:HEV RS 4WD

ภายในหรูหรากว้างขวางและอเนกประสงค์

●   ห้องโดยสารออกแบบภายใต้แนวคิด ‘High Quality but Tough’ เปี่ยมด้วยความพรีเมียมแต่มีความทนทาน มุ่งเน้นความสมดุลระหว่างผิวสัมผัสคุณภาพสูงและความทนทาน การออกแบบที่พรีเมียมแต่เรียบง่าย โดยการจัดวางทุกองค์ประกอบอย่างลงตัว พื้นที่กว้างขวาง สะดวกสบายทุกที่นั่ง และคงไว้ซึ่งอรรถประโยชน์ การขึ้น-ลงรถที่สะดวกสบายสไตล์รถเอสยูวี การวางตำแหน่งของผู้ขับที่มอบความมั่นใจและทัศนวิสัยที่ดียิ่งขึ้น

●   คอนโซลด้านหน้าจนถึงแผงประตูมีการออกแบบให้เชื่อมต่อกันอย่างลงตัว พร้อมด้วยบริเวณ Cockpit ที่ออกแบบให้ใช้งานง่าย ไม่รบกวนการขับ ผนวกกับการจัดเลย์เอาต์และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ที่จัดวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม โดดเด่นด้วยชุดตกแต่งภายในที่พรีเมียมและแตกต่างกันในแต่ละรุ่น มาพร้อมอุปกรณ์ใหม่ที่ติดตั้งเฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD ประกอบด้วย ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD), ระบบเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง และระบบนำทางเนวิเกเตอร์

Honda CR-V e:HEV RS 4WD

●   ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD), ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับ (Driver Memory Seat), ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light) ที่ได้รับการติดตั้งในหลายตำแหน่งเป็นครั้งแรกในซีอาร์-วี เช่นที่แผงประตูหน้าหลังและที่วางแก้วน้ำ รวมทั้งอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger)

●   ระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร Plasmacluster (รุ่น e:HEV ES และ e:HEV RS 4WD) ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้ายขวา แบบ i-Dual Zone (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD), ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3 (เฉพาะรุ่น EL 4WD) และไฟอ่านหนังสือด้านหลัง LED แบบสัมผัส

●   มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับแบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว (ยกเว้นรุ่น E ขนาด 7 นิ้ว) ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสแบบ Advanced Touch ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto ผ่านช่อง USB และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง (USB Type-C 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ด้านหน้า 1 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง)

Honda CR-V e:HEV RS 4WD

เบาะปรับได้หลายรูปแบบ

●   รุ่น 5 ที่นั่ง เบาะหลังทั้ง 2 ฝั่ง สามารถพับลงแนวราบได้เรียบ (Utility Mode) เพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย และสามารถปรับเอนพนักพิงเบาะหน้าและพนักพิงเบาะหลังในฝั่งเดียวกัน (Long Mode) เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของที่มีความยาว ส่วนรุ่น 7 ที่นั่ง (เฉพาะรุ่น EL 4WD) สามารถปรับพับเบาะแถว 3 เพิ่มพื้นที่วางสัมภาระด้านท้าย ในขณะที่ผู้โดยสารแถว 2 สามารถนั่งได้อย่างสะดวกสบาย หรือพับพนักพิงเบาะแถวที่ 2 และ 3 ลงราบกับเบาะนั่ง (Utility Mode) เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ และสามารถปรับเอนพนักพิงเบาะแถว 2 และ 3 ในฝั่งเดียวกัน (Long Mode) เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีความยาว

ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING

●   กลายเป็นแนวทางของรถรุ่นใหม่ไปแล้ว ที่ให้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่ใกล้เคียงกันในทุกรุ่นย่อย ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นจนถึงรุ่นสูงสุด ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะไม่ว่าจะจ่ายเงินเท่าไรก็ควรได้ความปลอดภัยเท่ากัน แล้วค่อยไปลดในส่วนของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหรืออุปกรณ์ตกแต่งแทน สำหรับฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ก็เช่นกัน เท่าที่ไล่เรียงในส่วนของระบบความปลอดภัย ก็ให้มาเต็มที่ตั้งแต่รุ่น E ที่มีกล้องมองหลังปรับได้ 3 มุมมองมาให้ ส่วนรุ่นอื่นเป็นกล้องมองภาพรอบทิศทาง Multi-view Camera System: MVCS ซึ่งเป็นระบบใหม่ และรุ่นเทอร์โบทุกรุ่นย่อยไม่มีเซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด หลัง 4 จุด ซึ่งเป็นระบบใหม่เช่นกัน และไม่มีชุดปะยาง นอกนั้นมีเหมือนกันทุกรุ่นย่อย อีก 2 ระบบความปลอดภัยใหม่ ประกอบด้วย ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) และไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD)

●   ระบบความปลอดภัยของซีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อย ใช้การทำงานร่วมกันของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจหารถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้กับระบบความปลอดภัยต่างๆ เช่น ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)เตือนผู้ขับให้ลดความเร็วเมื่อตรวจพบว่ารถยนต์คันหน้า จักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนน อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง หากผู้ขับยังไม่ตอบสนองหรืออยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ ทำงานที่ความเร็วตั้งแต่ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป

●   ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) กล้องด้านหน้าตรวจหาเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ และระบบจะเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อให้ผู้ขับควบคุมรถอยู่ในช่องทาง และลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับ ทำงานที่ความเร็ว 72-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW) ใช้กล้องด้านหน้าตรวจหาเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูล พร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย ถ้ารถเบี่ยงออกนอกช่องทางมากขึ้น ระบบจะหน่วงพวงมาลัยเพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทาง ทำงานที่ความเร็ว 72-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ควบคุมความเร็วรถให้คง ที่ตามที่ผู้ขับตั้งค่าไว้ และจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยเรดาร์และกล้องด้านหน้าจะทำงานร่วมกันในการตรวจจับรถคันหน้า เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับกดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง โดยระบบจะทำงานที่ความเร็ว 30-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจพบว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า

●   ครั้งแรกกับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) ระบบจะปรับการทำงานของไฟสูง-ต่ำ แยกอิสระซ้าย-ขวา อัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์การขับ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืน และปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถยนต์ด้านหน้าหรือรถที่กำลังสวนทางมา โดยระบบจะทำงานที่ความเร็ว 10-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●   ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า โดยระบบจะตรวจจับรถที่หยุดด้านหน้าในระยะ 10 เมตร

●   นอกจากนี้ยังมีระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch), ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับ (Driver Attention Monitor), ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) (รุ่น e:HEV ES และ e:HEV RS 4WD) และระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) (รุ่น ES 4WD และ EL 4WD)

ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT)

●   เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับและรถยนต์ (ยกเว้นรุ่น E) ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน มี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก อำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัย ได้แก่

●   My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป

●   Car Log ข้อมูลการขับจะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และบันทึกการเดินทาง ที่สามารถเลือกทริปโปรดและแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์, อินสตาแกรม, เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ เป็นต้น

●   Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง

* ต้องสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) และผู้สมัครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย

●   Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมนิรภัยทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น

●   Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และแจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู, ฝากระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ

●   Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์เครื่องยนต์ พร้อมตั้งอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และสั่งการดับเครื่องยนต์ และสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน

●   Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับรถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย

●   Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน

ราคาจำหน่าย

●   ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มี 5 รุ่นย่อย แบ่งเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ 3 รุ่นย่อย

  • E 5 ที่นั่ง 1,419,000 บาท
  • ES 4WD 5 ที่นั่ง 1,599,000 บาท
  • EL 4WD 7 ที่นั่ง 1,649,000 บาท

●   เครื่องยนต์ไฮบริด 2 รุ่นย่อย

  • e:HEV ES 5 ที่นั่ง 1,589,000 บาท
  • e:HEV RS 4WD 5 ที่นั่ง 1,729,000 บาท

●   รุ่นไฮบริด e:HEV รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

●   มี 6 สีให้เลือก ได้แก่ สีใหม่ น้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD และ e:HEV ES, สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD, สีขาวแพลทินัม (มุก) สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) และสีดำคริสตัล (มุก)

Modulo ตกแต่งเพื่อความแตกต่าง

●   เสริมความสปอร์ตในสไตล์เอสยูวี ด้วยชุดแต่งโมดูโล (Modulo) ที่มาพร้อมแนวคิด ‘Vibrant SUV’ ประกอบด้วย สปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต 12,000 บาท คิ้วตกแต่งกระจังหน้า 3,900 บาท บันไดข้าง 16,500 บาท ไฟส่องสว่างประตูคู่หน้าแบบ LED (1 ชุดมี 2 ชิ้น) 4,350 บาท คิ้วขอบห้องสัมภาระ LED 8,000 บาท และชุดแร็คหลังคาพร้อมชุดบรรทุกสัมภาระ 27,500 บาท

●   หรือสามารถเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ได้แก่

●   Elegant Package 31,000 บาท และ 32,500 บาท (สำหรับรุ่น e:HEV RS 4WD) ประกอบด้วย กันชนหน้าแบบสปอร์ต, ชุดตกแต่งกันชนด้านหลัง, คิ้วตกแต่งกระจังหน้า และชุดตกแต่งประตูข้าง

●   Premium Sport Package 43,500 บาท และ 45,000 บาท (สำหรับรุ่น e:HEV RS 4WD) ประกอบด้วยกันชนหน้าแบบสปอร์ต, ชุดตกแต่งกันชนด้านหลัง, คิ้วตกแต่งกระจังหน้า, บันไดข้าง และชุดตกแต่งฝาท้ายคิ้วโครเมียม

●   Exhaust Pipe Finisher Package 2,500 บาท ประกอบด้วยปลอกท่อไอเสียสเตนเลส 2 ชิ้น และสามารถดูรายละเอียดชุดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ www.hondaaccess.co.th/products/crv

●   อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น สีน้ำเงินแคนยอน ริเวอร์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD และ e:HEV ES สำหรับสีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 12,000 บาท และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 8,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งไม่รวม VAT 7%         ●

ขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

Group Test : 2023 Honda CR-V