July 5, 2020
Motortrivia Team (10205 articles)

Mercedes-Benz Thailand Charge to Change

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●  บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวโครงการ “Charge to Change” อย่างเป็นทางการ ชวนผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกับพลังงานน้ำมัน หันมา “ชาร์จเพื่อเปลี่ยนโลก” โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานด้วยการชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนไทย

●  งานนี้จัดขึ้นที่โรงแรมเรเนซองส์ พัทยา โดยสื่อมวลชนกว่า 50 สื่อ ขับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ หลายรุ่นเข้าร่วมงาน ทีมงานมอเตอร์ทริเวียได้รถรุ่น CLS 300 d เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 245 แรงม้า เดินทางกันแบบสบายๆ ในช่วงเช้าวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เปิดเทอมวันแรกพอดี ทำให้สื่อมวลชนส่วนใหญ่ไปถึงจุดนัดหมาย Att U Park บางนา ก่อนกำหนด นั่งคุยกันเพลินๆ รอเวลาเดินทางต่อไปยังร้านอาหารกลางวันที่พัทยา จากนั้นจึงเข้าที่พัก เตรียมตัวร่วมงานแถลงข่าวในช่วงเย็น

มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ (กลาง) ประธานบริหาร พร้อมด้วย มร. บีเยิร์น กุซเทรา (ขวา) รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด และนายพุทธิ ตุลยธัญ (ซ้าย) รองประธานบริหารฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันเปิดตัวโครงการ Charge to Change อย่างเป็นทางการ

●  มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โควิด-19 เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบกับผู้คนทั่วโลก นำไปสู่การที่พวกเราต้องเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อลดการระบาด ส่วนปัญหามลภาวะทางอากาศของฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นดูเหมือนจะบรรเทาเบาบางลงและไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก”

●  “ทว่าในความเป็นจริง ปัญหานี้ยังอยู่กับเรา ไม่ได้หายไปไหน และการเดินทางด้วยรถยนต์ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิด PM 2.5 ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุชัดเจนว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของฝุ่นละออง PM 2.5 นั้นมาจากการเดินทางโดยรถยนต์ และเฉพาะในกรุงเทพฯ เพียงเมืองเดียวก็มีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนอยู่มากกว่า 10 ล้านคัน ไม่ว่าจะมีโควิดหรือหลังจากโควิดผ่านพ้นไป ปัญหา PM 2.5 จะยังเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยทุกภาคส่วนต้องหันมาร่วมมือกันแก้ไข”

●  “สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่เข้ามาลงทุนและทำตลาดในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เราได้กลับมาคิดทบทวนว่า จะมีทางใดที่เรายังสามารถใช้รถยนต์ต่อไปแต่ช่วยให้อากาศสะอาดขึ้นได้บ้าง ซึ่งเราพบว่า รถยนต์ EQ Power หรือรถยนต์รุ่นปลั๊กอินไฮบริดที่เรามีนั้นสามารถมอบการเดินทางที่ปราศจากมลพิษให้กับผู้ขับได้ แต่การจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในวงกว้างนั้นต้องมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะจากผู้ใช้รถยนต์ทุกคน”

●  “นี่จึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์โครงการ Charge to Change ขึ้นอย่างเป็นทางการในวันนี้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งผู้ใช้เมอร์เซเดส-เบนซ์และผู้ใช้รถยนต์แบรนด์อื่นๆ ตระหนักว่า คุณสามารถมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนโลกให้สะอาดขึ้นพร้อมทั้งลดปัญหา PM 2.5 ได้เพียงหันมาชาร์จรถยนต์ของคุณให้บ่อยขึ้น นอกจากนี้เรายังจะประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ร่วมมือกันขับคลื่อนเพื่อผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็นฮับของการเดินทางโดยรถยนต์พลังงานสะอาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตด้วย”

●  Charge to Change เป็นโครงการระยะยาว ที่จะแบ่งออกเป็น 3 เฟส ได้แก่:

เฟส 1 กระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

●  เมอร์เซเดส-เบนซ์พบว่า ผู้ใช้รถยนต์ EQ Power หลายท่านมักจะไม่ชาร์จพลังงานไฟฟ้า ด้วยสาเหตุสำคัญ 3 ประการคือ

  1. ไม่ทราบว่ารถยนต์ของตัวเองชาร์จได้
  2. ไม่ทราบว่าจะชาร์จได้ที่ไหนบ้าง
  3. ไม่สนใจที่จะชาร์จเพราะเติมน้ำมันแล้วขับด้วยน้ำมันสะดวกกว่า

●  เมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงมุ่งสร้างความตระหนักรู้ ทั้งผ่านวิดีโอออนไลน์และการร่วมมือกับบุคคลชั้นนำในวงการต่างๆ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่จะกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์รับรู้ว่า เพียงแค่ขับด้วยโหมดไฟฟ้าในทุกวัน คุณก็สามารถมีส่วนช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้ทันทีในทุกการขับ และไม่จำเป็นต้องเป็นรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เท่านั้น แต่ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด จากแบรนด์ใดก็สามารถมีส่วนช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้นได้เช่นกัน

เฟส 2 สร้างเครือข่ายการชาร์จที่มีความพร้อมและสะดวกมากขึ้นสำหรับผู้ใช้รถ

●  เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายวงการเพื่อขยายเครือข่ายการชาร์จ โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จ เพื่อทำให้ประสบการณ์ในการชาร์จพลังงานไฟฟ้าเป็นประสบการณ์ที่ทั้งสะดวกและเข้าถึงง่ายที่สุดสำหรับผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเริ่มต้นด้วยการมอบ Wallbox สำหรับการชาร์จไฟฟ้าจำนวน 100 ชุดให้กับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง

เฟส 3 สู่การสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า

●  เมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งหวังให้โครงการนี้มีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นพื้นที่ของการขับด้วยพลังงานสะอาด ลดปัญหามลภาวะทางอากาศ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น และสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ผลประกอบการ ไตรมาสแรก ปี 2563

●  เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยยอดจำหน่ายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ว่า รถสปอร์ตสมรรถนะสูงภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนรถยนต์ EQ Power หรือรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

●  แสดงให้เห็นว่า ความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อรถยนต์พลังงานทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมนั้น เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการสร้างสรรค์โครงการ Charge to Change ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีความตั้งใจจะทำเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาตระหนักในการมีส่วนร่วมในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นในอนาคต

โชว์รถใหม่ 2 รุ่น G-Class และ V-Class

●  นอกจากการเปิดตัวโครงการ Charge to Change อย่างเป็นทางการแล้ว ภายในงานเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้นำรถยนต์รุ่น Mercedes-Benz G 350 d Sport ที่สุดแห่งยนตรกรรมออฟโรดที่พร้อมพาคุณพิชิตทุกจุดหมายในการเดินทางได้อย่างมั่นคงด้วยวิถีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ G-Class ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยหมาดๆ มาจัดแสดงภายในงานด้วย

●  G 350 d เป็น G-Class เจนเนอเรชั่น 2 ที่เริ่มทำตลาดตั้งแต่ช่วงปี 2018 โดยรุ่นใหม่นี้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมทั้งภาพลักษณ์และประสิทธิภาพ ตัวรถมากับชุดไฟหน้า LED High Performance พร้อมไฟ LED Daytime Running Lights สำหรับขับกลางวัน, เพิ่มแพคเกจชุดแต่งภายนอก Stainless Steel Package, ซันรูฟไฟฟ้า, กระจกมองข้างและกระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ และล้อแม็ก 19 นิ้ว

●  เครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM 656 D 29 R SCR แบบ 6 สูบเรียง ความจุ 3.0 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จ กำลังสูงสุด 286 แรงม้า (PS) ที่ 3,400-4,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,200-3,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 7.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 199 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

●  Mercedes-Benz G 350 d Sport ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 9,390,000 บาท ส่วนรุ่น AMG Body Styling สามารถสั่งติดตั้งเพิ่มเติมได้ในราคา 300,000 บาท

●  อีกรุ่นที่นำมาจัดแสดง คือ Mercedes-Benz V 220 d แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย V 220 d Business 3,990,000 บาทและ V 220 d Avantgarde Premium 5,790,000 บาท

●  V-Class ใหม่ ตัวถังแบบ Extra Long กันชนหน้าใหม่พร้อมช่องรับอากาศ V 220 d Avantgarde Premium ใช้ไฟหน้า LED Intelligent Light System ล้อแม็ก 17 นิ้ว และระบบกันสะเทือน Agility Control ส่วน V 220 d Business ใช้ไฟหน้าฮาโลเจน เปิด-ปิดอัตโนมัติ ชุดระบบกันสะเทือนแบบ Comfort และล้อแม็ก 16 นิ้ว

●  V 220 d Avantgarde Premium ตกแต่งด้วยสีเบจ จัดวางเบาะแบบ 2 + 2 + 3, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง เบาะแถว 2 เป็นแบบ Luxury Captain Chair สามารถปรับหัวหมอน พนักพิง และที่รองน่องด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำ 2 ตำแหน่ง มีระบบระบายอากาศ, ระบบอุ่นเบาะ 3 ระดับ และฟังก์ชันนวดหลังที่ปรับได้ 3 โปรแกรม ส่วน V 220 d Business ตกแต่งห้องโดยสารด้วยสีเทา เลย์เอาท์เบาะแบบ 2 + 2 + 2 โดยทั้ง 2 รุ่นมีประตูไฟฟ้าเปิด-ปิดอัตโนมัติซ้าย-ขวาด้วยปุ่มสัมผัส และมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อม Direct Select Gearshift Paddles เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

●  ทั้ง 2 รุ่นย่อยใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 4 สูบ 2,143 ซีซี กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิด 38.7 กก.-ม. ที่ 1,400–2,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-TRONIC Plus    ●

Mercedes-Benz Thailand Charge to Change