June 19, 2021
Motortrivia Team (10196 articles)

Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic ก่อนเข้าสู่ยุครถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

เรื่อง – ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

●   การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนในเมืองไทยปัจจุบัน ยังไม่สะดวกโล่งใจเท่าไรนัก ด้วยเหตุผลที่รู้กันอยู่แล้ว คนที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพราะอยากลอง อยากประหยัด หรือรักสิ่งแวดล้อม รถไฮบริดจึงลงตัวที่สุดกับความพร้อมในตอนนี้ รถไฮบริดที่ให้อารมณ์ใกล้เคียงรถไฟฟ้าล้วนก็คือ รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขับได้ไกล มอเตอร์กำลังสูงใช้ความเร็วได้ เน้นการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าจากภายนอกเป็นหลัก

●   รถปลั๊ก-อิน ไฮบริดในไทยมีหลายรุ่นหลากยี่ห้อ ครั้งนี้ลองขับ Mercedes-Benz GLC 300 e Coupe ลองความสะดวกในการชาร์จด้วยไฟบ้านและสถานีชาร์จ ลองการตอบสนองและระยะทางที่ใช้ได้เมื่อขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วน และฟังก์ชั่นการใช้งานอื่นๆ ด้วย

Charge to Change จิตอาสาลดมลพิษบนท้องถนน

●   การมุ่งเน้นไปที่สมรรถนะของรถหรือค่าพลังงานต่อกิโลเมตรเมื่อขับด้วยไฟฟ้าล้วน เป็นเรื่องส่วนบุคคลซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้ามองในภาพรวมรถรุ่นนี้จะมีส่วนในการลดมลพิษบนท้องถนนทุกครั้งที่ใช้งาน มากบ้างน้อยบ้างก็ยังดี ถ้าใช้รถประเภทนี้กันเยอะๆ ก็เป็นการช่วยลดมลพิษแบบคนละไม้ละมือ

●   รถปลั๊ก-อิน รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC ลองชาร์จไฟฟ้าแบบง่ายๆ ใช้เครื่องชาร์จที่มารถกับเสียบปลั๊กไฟบ้านที่มีกำลังไฟฟ้า 2 kW (ดูจากหน้าปัดรถตอนกำลังชาร์จไฟ) ชาร์จเต็มความจุแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน 13.5 kWh ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง (เครื่องชาร์จที่มากับรถรองรับกำลังไฟฟ้าสูงสุด 7.4 kW) ถ้ากลับบ้านไม่ดึกและรุ่งขึ้นไม่ได้ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด การชาร์จด้วยไฟบ้านก็สะดวกดี แบตเตอรี่เต็มความจุตามสเปคระบุขับได้ 45 กิโลเมตร ใช้งานจริงมีหลายปัจจัยที่จะลดทอนระยะทางให้สั้นลง

●   ลองชาร์จด้วยไฟบ้านทิ้งไว้ แต่ก็ดูเป็นระยะ ไม่มีปัญหาอะไรนอกจากไม่ทันใจเลยขับออกไปลองชาร์จตู้ EA Anywhere ที่โหลดแอพและลงทะเบียนไว้นานแล้ว ถ้าจะชาร์จตู้ใหญ่ต้องมีสาย Type 2 ทั้ง 2 ฝั่งเพื่อเสียบกับตู้และเสียบกับรถ ถ้าใช้ตู้เล็กมีสาย Type 2 ออกจากตู้ให้ ลากสายไฟเสียบกับรถ ล็อกรถ เปิดแอพ EA Anywhere สแกน QR Code เพื่อเลือกว่าจะชาร์จกี่ชั่วโมง เลือก 1 ชั่วโมง 50 บาท ใช้งานครั้งแรกต้องกรอกเลขบัตรเครดิต ครั้งต่อไปใส่แค่เลข CVV จากนั้นตรวจสอบสถานะผ่านแอพได้ โดยรวมไม่ยุ่งยาก ในแอพจะแจ้งว่าชาร์จด้วยกำลังไฟฟ้าเท่าไร ได้ไฟฟ้าไปแล้วเท่าไร และเหลือเวลาชาร์จอีกกี่นาที ครบเวลาแล้วให้สแกน QR Code เพื่อ Check out ภายใน 15 นาที

●   ความไม่สะดวกในการชาร์จแบบนี้คือ ที่จอดรถ ซึ่งน่าจะเป็นเฉพาะบางแห่ง ที่ไปชาร์จเป็น Shopping Mall รถพลุกพล่าน และตู้ชาร์จติดตั้งใกล้ทางเข้า-ออกและที่จอดรถ ไม่ใช่ที่จอดแบบเฉพาะ และไม่ใช่รถตัวเองเลยไม่กล้าทิ้งรถไปไหนไกล ต้องหาร้านใกล้ๆ เข้าไปนั่งรอในที่ๆ มองเห็นรถตลอดเวลา ถ้าชาร์จแบบนี้บ่อยๆ น้ำหนักตัวน่าจะเพิ่ม กินเพลินๆ ครบเวลา 1 ชั่วโมง ได้ไฟฟ้าเกินครึ่งไปเล็กน้อย ใช้งานได้ 37 กิโลเมตร กดใช้โหมดไฟฟ้าล้วน รถคันใหญ่แต่ขับเงียบกริบ ต้องระวังคนเดินถนนไว้ด้วย

●   กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียวๆ 90 kW หรือ 122 แรงม้า นอกจากจะเหลือเฟือสำหรับการขับใช้งานทั่วไปแล้วยังสนุกกับอัตราเร่งได้ด้วย กดคันเร่งเพลินๆ ความเร็วก็เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว (ตามสเปคระบุว่าในโหมดไฟฟ้าล้วน ทำความเร็วสูงสุดได้ 143 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) สวนทางกับมาตรวัดปริมาณไฟฟ้าและระยะทางที่ขับได้ ที่ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ถ้าขับด้วยความเร็วปกติหรือใช้งานในเมือง ระยะทางที่ขับได้จริงก็น่าจะใกล้เคียงกับที่มาตรวัดในรถแจ้งไว้ ชาร์จไฟฟ้าไว้แล้วยังไม่อยากใช้ทันที จะเก็บไว้ใช้ในเขตที่ต้องงดใช้เสียงหรือในที่จอดรถ ก็กดเลือกโหมด Battery Level ระบบจะไม่ดึงไฟฟ้าจากแบตเตอร์ไฮบริดไปใช้

●   แม้ไฟฟ้าแบตเตอรี่ไฮบริดจะหมดเกลี้ยง ก็ยังมีบางจังหวะที่เครื่องยนต์หยุดทำงานสังเกตจากวัดรอบ แสดงว่าระบบไฮบริดยังทำงานอยู่ ส่วนการชาร์จไฟฟ้ากลับด้วยการเบรกหรือชลอความเร็วจะชาร์จได้น้อยมาก ขับไปกว่า 50 กิโลเมตร แบบใช้ความพยายามให้ชาร์จ มาตรวัดปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่ยังขยับขึ้นมาแค่นิดเดียว แจ้งว่าขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ 2 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะแบตเตอรี่ไฮบริดมีขนาดใหญ่ เน้นการชาร์จไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊กเป็นหลัก

●   การใช้งานรถปลั๊ก-อิน ไฮบริดให้คุ้มค่า จึงควรเสียบชาร์จเมื่อมีโอกาส การติดตั้ง Wall Box เพื่อให้ชาร์จไฟฟ้าที่บ้านได้อย่างปลอดภัยสะดวกและรวดเร็วดูจะเป็นทางเลือกที่ดี อยู่บ้านก็เสียบชาร์จไว้ จะออกไปไหนก็ดึงปลั๊กออก ขับใช้งานแล้วไฟฟ้าหมดก็ไม่เป็นไร ไปต่อได้เพราะมีเครื่องยนต์ ส่วนค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรเมื่อขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสถานที่และช่วงเวลาที่ชาร์จ รวมถึงพฤติกรรมการขับที่แตกต่างกัน แต่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนที่ใช้รถประเภทนี้มีส่วนช่วยลดมลพิษบนท้องถนนได้

คูเป้เอสยูวีโฉบเฉี่ยวบนความเอนกประสงค์

●   ด้วยการออกแบบด้านท้ายที่ลาดลง ทำให้รถคันใหญ่ดูสปอร์ตปราดเปรียว ต่างจาก GLC SUV อย่างชัดเจน มิติตัวรถมีความยาว 4,731 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร สูง 1,600 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,873 มิลลิเมตร ล้อ 20 นิ้ว พร้อมยางหน้าหลังแบบต่างขนาด ด้านหน้า 255/45 R20 ด้านหลัง 285/40 R20

●   สมรรถนะสมน้ำสมเนื้อกับรูปลักษณ์เอสยูวีท้ายลาดแบบคูเป้โฉบเฉี่ยว ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 1,991 ซีซี ให้กำลัง 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,300-4,000 รอบต่อนาที แค่นี้ก็แรงเหลือๆ แล้ว แต่ยังพ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 122 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร แรงม้ารวมทั้งระบบ 315 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดรวม 700 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC กระชากรถหนัก 2 ตัน ให้ทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่งไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 5.8 วินาที ท๊อปสปีด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บางครั้งคนที่รักสิ่งแวดล้อมก็รีบเหมือนกัน

●   Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic เอสยูวีหรูทรงสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ขับแล้วดูไม่แก่ ตัวรถยกสูงใช้งานได้หลากหลายกว่าเก๋ง ประตูบานท้ายเปิดได้กว้างกับเบาะหลังแยกพับได้ 3 ส่วน เพิ่มความเอนกประสงค์ในการใช้งาน

●   ระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด ใช้งานแบบไฟฟ้าล้วนได้จริงจังขึ้น ถือว่าซ้อมไว้ก่อนจะใช้รถไฟฟ้าล้วน ความแรงหายห่วง 315 แรงม้า กับ 700 นิวตันเมตร มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะบนทางเรียบเป็นหลัก ใช้ลุยได้เบาๆ ภายในหรูหราทันสมัย อุปกรณ์มาตรฐานล้นๆ สมราคา 4,040,000 บาท

●   สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเชิญได้ที่ www.mercedes-benz.co.th

Test Drive : 2021 Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic