July 3, 2022
Motortrivia Team (10203 articles)

Honda Civic e:HEV RS ได้ทั้งความแรงและความประหยัด

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●   ทิ้งช่วง จากการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย และ การประกาศราคาอย่างเป็นทางการได้ไม่นาน ฮอนด้าก็จัดทริปทดลองขับ ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี ใหม่ บนเส้นทางภาคเหนือ เชียงราย-เชียงแสน โดยใช้รถรุ่นสูงสุด RS ราคา 1,259,000 บาท ได้ลองทั้งทางตรงโล่งยาว และการใช้งานในเมือง สรุปสั้นๆ ได้ว่ารถรุ่นนี้ให้ทั้งความแรงในระดับที่น่าพอใจ และถ้าขับชิลๆ ก็ประหยัดน้ำมันได้ถึงระดับ 20 กิโลเมตรต่อลิตร

ภายนอกสปอร์ตซีดานกึ่งใหญ่

●   ซีวิค อี:เอชอีวี ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Exhilarating Civic’ เช่นเดียวกับฮอนด้า ซีวิค เทอร์โบ เจเนอเรชันที่ 11 บ่งบอกความเป็นรถไฮบริดด้วยด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย ออกแบบโครงสร้างให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำสไตล์ Low & Wide ทำให้รถกว้างและยาว ใช้เทคโนโลยี Roof Braze ในการประกอบตัวถัง เพื่อลดรอยต่อบริเวณหลังคา ช่วยให้ตัวรถมีเส้นสายที่ต่อเนื่องสวยงาม

●   กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม พร้อมสัญลักษณ์ RS ประกบด้วยไฟหน้าทรงเพรียวแบบ LED พร้อมไฟ DRL และสปอตไลต์ LED ติดตั้งอยู่ในกันชนหน้าทรงสปอร์ต ด้านข้างโดดเด่นด้วยล้อแม็กลายใหม่ สีดำสลับสีเงิน ขนาดใหญ่ 8×18 นิ้ว พร้อมยาง 235/40 R18 ตัวรถเน้นการตกแต่งด้วยสีดำเงาสไตล์ RS ที่กรอบกระจกมองข้าง ที่เปิดประตูซึ่งแซมด้วยสีโครเมียม และเสาอากาศทรงครีบฉลามสีดำ รับกับสปอยเลอร์หลังสีดำ ปลายท่อไอเสียโครเมียมทรงกลม

●   มิติตัวรถมีความยาว 4,678 มิลลิเมตร กว้าง 1,802 มิลลิเมตร สูง 1,415 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,734 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,537/1,576 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุด 128 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,429 กิโลกรัม

●   รูปลักษณ์โดยรวมมีความเป็นผู้ใหญ่กว่ารุ่นเดิม ขนาดตัวรถค่อนข้างใหญ่ ทรงรถแบนเตี้ยและยาวให้มุมมองที่สปอร์ต เมื่อรวมกับการตกแต่งของรุ่น RS ทำให้ซีวิครุ่นนี้ดูเป็นสปอร์ตซีดานกึ่งใหญ่ ยังคงความปราดเปรียวและมีกลิ่นไอของความหรูหราที่มาจากทั้งการตกแต่งและภาพลักษณ์ของแบรนด์ฮอนด้า เป็นรถที่ครอบคลุมช่วงอายุของกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น

ภายในสปอร์ตเรียบหรูและดูดี

●   ห้องโดยสารออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Fine Morning’ แผงคอนโซลอยู่ในระดับต่ำและไม่ยื่นยาวออกมามากนัก เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง ทำให้ผู้ขับอยู่ในตำแหน่งท่านั่งที่ถูกต้องและสะดวกสบาย ทัศนวิสัยรอบคันค่อนข้างโปร่ง ช่วยให้ขับได้อย่างมั่นใจและใช้เวลาไม่นานในการปรับตัวเข้ากับรถ รู้สึกว่าควบคุมรถได้ง่ายและคล่องตัว แม้เบาะนั่งจะวางตำแหน่งไว้ค่อนข้างต่ำ เพื่อให้ความรู้สึกสปอร์ตมั่นคง แต่ยังคงกะระยะรอบคันได้ง่าย

●   อุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ที่ต้องชมคือ ให้ระบบความปลอดภัยในกลุ่ม Honda SENSING มาเท่าเทียมกันทุกรุ่นย่อย อุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ก็จัดเต็มตามลำดับขั้นของรุ่นสูงสุด ที่ได้ใช้ตลอดทริป คือ Wireless Apple CarPlay สำหรับดู Google Map และระบบ Wireless Charger ที่แรงพอจะชาร์จสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ได้จริง ไม่ต้องพกสาย USB ให้รุงรัง จอที่คอนโซลกลางเป็นระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว ใหญ่เต็มตา มีความละเอียดคมชัด และตอบสนองการสั่งงานได้รวดเร็ว เบาะหลังมีสาธารณูปโภครองรับทั้ง ช่องแอร์และ 2 ช่องเชื่อมต่อ USB พนักพิงแยกพับ 60:40 ที่มีเฉพาะรุ่น e:HEV RS ช่วงถาม-ตอบ มีเพื่อนสื่อมวลชนสอบถามว่า ทำไมรุ่นอื่นไม่ทำพนักพิงเบาะหลังพับได้ เพราะต้นทุนไม่น่าเพิ่มขึ้นมาก ได้คำตอบว่าเพื่อสร้างความแตกต่าง เนื่องจากฮอนด้าให้อุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยใกล้เคียงกันในแต่ละรุ่นย่อย

●   การเก็บเสียงเป็นอีกเรื่องที่น่าชื่นชม สมกับที่เพิ่มระบบ ANC (Active Noise Control) และระบบ ASC (Active Sound Control) โดย ANC ทำหน้าที่ลดเสียงรบกวนโดยตรง เช่น ลดเสียงรบกวนในช่วงที่ขับบนถนนขรุขระ ส่วน ASC เป็นเสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์ แปรผันตามการกดคันเร่ง เส้นทางที่ทดลองขับบางช่วงเป็นทางตรงโล่งยาว และแทบไม่มีรถคันอื่น ได้ลองใช้ความเร็วสูงเกินการใช้งานปกติไปบ้าง พบว่ามีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารน้อยมาก รวมทั้งเสียงเครื่องยนต์และเสียงยาง ก็ดังในระดับที่ไม่ถึงขั้นเสียงรบกวน ขับความเร็วเดินทาง 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ห้องโดยสารเงียบสงบ ขับได้อย่างผ่อนคลายและรู้สึกปลอดภัย ด้วยสภาพแวดล้อมภายในห้องโดยสาร ทั้งคุณภาพวัสดุ อุปกรณ์มาตรฐาน และความกว้างขวาง แม้จะเป็นรถในกลุ่มคอมแพกต์ แต่สามารถใช้เป็นรถสำหรับครอบครัวขนาดเล็กได้สบาย

ไม่ต้องเลือกระหว่างความแรงและความประหยัด

●   ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV มีส่วนประกอบหลักคือ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แบ่งเป็นมอเตอร์สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน น้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์หม่ ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว อัตราส่วนการอัด 13.9:1 กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที

●   ควบคุมการทำงานด้วยชุดควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU) กำลังมอเตอร์สูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดมอเตอร์สูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ที่ 0-2,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT)อัตราสิ้นเปลือง 25 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 96 กรัมต่อกิโลเมตร ระบบส่งกำลังได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และการควบคุมการทำงานของระบบฟูลไฮบริด ส่วนเครื่องยนต์ใหม่ก็ได้รับการพัฒนาให้เก็บเสียงและแรงสั่นสะเทือนได้ดีขึ้น

●   ระบบฟูลไฮบริด e:HEV มี 3 รูปแบบการขับเคลื่อน ซึ่งระบบจะเลือกให้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์การขับ ได้แก่:

  • EV Drive Mode : รถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ให้อัตราเร่งที่ดี ออกตัวรวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องรอรอบ ระบบจะขับเคลื่อนด้วยโหมดนี้เมื่อใช้ความเร็วต่ำ-ปานกลาง อย่างเช่นการขับในเมือง โดยแบตเตอรี่ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความจุมากขึ้น จึงขับในโหมด EV Drive ได้นานขึ้น
  • Hybrid Drive Mode : ระบบจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว ให้อัตราเร่งที่ดี
  • Engine Drive Mode : เมื่อใช้ความเร็วสูงคงที่ ระบบจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ให้ประสิทธิภาพสูงและมีแรงเสียดทานต่ำ ในโหมดนี้มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ขับเคลื่อนล้อ

●   ส่วนฟังก์ชั่น Drive Mode ที่ผู้ขับสามารถเลือกเองได้ 3 โหมดด้วยสวิตช์ที่คอนโซลเกียร์ ประกอบด้วย

  • ECON Mode : หรือโหมดการขับแบบประหยัด ปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับ เพื่อให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
  • Normal Mode : หรือโหมดการขับแบบปกติ สำหรับการขับใช้งานโดยทั่วไป
  • Sport Mode : หรือโหมดการขับแบบสปอร์ต ระบบจะตอบสนองคันเร่งรวดเร็วขึ้น เพิ่มความสนุกในการขับ

●   ที่คอพวงมาลัยมีแป้น +/- (Deceleration Paddle Selectors) ใช้สำหรับควบคุมการหน่วงและเลือกระดับการชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน เมื่อมีการชลอความเร็ว

●   แค่เริ่มขับด้วยความเร็วต่ำก็รู้สึกถึงพละกำลังที่เหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วไปแน่ๆ ช่วงขับในเมืองระบบเข้าโหมด EV Drive มอเตอร์ใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ไม่ทำงาน ขับได้นุ่มนวลราบเรียบและคล่องตัว การสลับโหมดระหว่าง EV Drive กับ Hybrid Drive ทำได้อย่างนุ่มนวล ถ้าไม่สังเกตจริงๆ จะแทบไม่รู้สึกว่าเครื่องยนต์ทำงานหรือยัง ส่วนโหมดการขับทั้ง 3 ลองสลับใช้งานแล้วก็รู้สึกถึงความแตกต่างได้

●   ลองใช้ Sport Mode ขับความเร็วต่ำจะขับให้นุ่มนวลได้ยาก เหมาะกับการขับทางโล่งใช้ความเร็วต่อเนื่องมากกว่า เพราะจะตอบสนองคันเร่งได้ทันใจขึ้น แต่โดยส่วนตัวแล้วใช้แค่โหมด Normal ก็ครอบคลุมการใช้งานแล้ว ขับในเมืองราบเรียบนุ่มนวล ขับทางไกลต้องการอัตราเร่งก็แค่ค่อยๆ เพิ่มแรงกดลงที่แป้นคันเร่ง รู้สึกว่ารถจะตอบสนองดีกว่าการกดคันเร่งสุดแบบพรวดพราดด้วยซ้ำ โดยรวมเป็นรถไฮบริดที่ขับสนุก มีชีวิตชีวา ไม่น่าเบื่อ ช่วงแรกขับค่อนข้างเร็ว ยังได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 14-15 กิโลเมตรต่อลิตร สมน้ำสมเนื้อกับลักษณะการขับ

●   ขากลับสลับผู้ขับ เซต 0 ข้อมูลการขับใหม่ ใช้ความเร็วตามกฎหมาย ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อัตราสิ้นเปลืองประมาณ 20 กิโลเมตรต่อลิตร ถ้าจะขับให้ได้เท่าตัวเลขจากโรงงาน ต้องใช้ความเร็วต่ำกว่านี้ คงที่กว่านี้ และใช้ระยะทางมากกว่านี้ ลองขับชิลๆ ได้ไม่นาน ผู้ขับก็อดใจไม่ไหวต้องลองกดคันเร่งดูบ้าง ถ้ารู้จังหวะในการกดคันเร่ง จะแทบไม่ต้องรีดเค้นเครื่องยนต์มาก ใช้ระยะทางและเวลาไม่นาน ก็สามารถทำความเร็วระดับเสียค่าปรับอัตราสูงสุดได้ไม่ยาก การเร่งแซงทำได้เฉียบขาดปลอดภัย

●   ในส่วนของระบบฟูลไฮบริด e:HEV พอจะสรุปได้ว่า ถ้าขับความเร็วปกติก็ให้ความประหยัด คาดหวังได้เกิน 15-16 กิโลเมตรต่อลิตร และถ้าจับจังหวะการกดคันเร่งได้แล้ว ก็จะเร่งได้อย่างทันใจ ด้วยแรงบิดที่ดีและต่อเนื่อง ขับสนุก และถ้าไม่ขยี้คันเร่งตลอดทาง อัตราสิ้นเปลืองก็ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้ รถรุ่นนี้ถังน้ำมันจุแค่ 40 ลิตร น่าจะมั่นใจในความประหยัดของตัวเองอยู่พอสมควร

ช่วงล่างหนึบแน่นมั่นใจ

●   ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี ใช้ระบบกันสะเทือนอิสระพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังมัลติลิงก์ ปรับค่า K ของสปริงให้มากขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์เพื่อรองรับน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นประมาณ 100 กิโลกรัม ส่วนช๊อกฯ ยังคงเดิม ให้ล้อและยางขนาดใหญ่ 235/40/18 เมื่อรวมกับการปรับเซตระบบต่างๆ แล้ว มีการดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีแม้ใช้ยางแก้มเตี้ย ขับแล้วไม่รู้สึกกระแทกหรือเหนื่อยล้า มีความนุ่มนวลและหนักแน่น ขับความเร็วสูงตัวรถนิ่งด้วยฐานล้อที่ยาวกับยางแก้มเตี้ยลดการบิดตัว นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการจัดวางอุปกรณ์ของระบบไฮบริดที่มีส่วนช่วยเสริมสมรรถนะการทรงตัว เช่น จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง 10 มิลลิเมตร จากการจัดวาง IPU ไว้ที่ใต้เบาะหลัง ส่งผลดีต่อสมรรถนะโดยรวมของการทรงตัว รวมทั้งโครงสร้างของรถในส่วน Upper Body ที่มีความแข็งแรง ไม่บิดตัวหรือโคลงง่าย จึงให้แฮนด์ลิ่งที่เฉียบคม คล่องแคล่ว และเบาแรง

●   พวงมาลัยดูอัลพิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า เบาแรงคล่องตัวที่ความเร็วต่ำ แต่รู้สึกว่าเบาไปนิดเมื่อใช้ความเร็วสูง ทำให้ต้องใช้ความตั้งอกตั้งใจในการเข้าโค้งมากขึ้น ถ้าพวงมาลัยหน่วงหนืดขึ้นก็น่าจะขับสนุกและเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ พร้อมตัวช่วยครบครัน ทำงานได้รุนแรงหนักหน่วงสมกับพละกำลังในการขับเคลื่อน การกดแป้นเบรกให้ความรู้สึกที่ดี ควบคุมแรงเบรกได้ง่าย จะเบรกเบาเพื่อชะลอหรือเบรกหนักหน่วงเพื่อหยุดกะทันหันก็ทำได้ดังใจ

Honda SENSING ระบบความปลอดภัยในทุกรุ่นย่อย

●   อีกจุดที่ต้องชมคือ การให้ระบบความปลอดภัยในกลุ่ม Honda SENSING ทั้ง 6 ระบบ เหมือนกันในทุกรุ่นย่อย ประกอบด้วย

●   ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) เตือนผู้ขับให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัยในกรณีรถสวนทาง ซึ่งหากผู้ขับยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชนระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ

●   ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) กล้องหน้าจะตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับ

●   ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)ใช้กล้องหน้าตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนที่พวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร

●   ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ทำงานร่วมกับกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า

●   ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับกดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง

●   ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า

Modulo ตกแต่งเพื่อแตกต่าง

●   ยกระดับความสปอร์ตไปอีกขั้นด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) ออกแบบด้วยแนวคิด ‘Make the CIVIC 3F (Fashion, Function and Featured)’ ประกอบด้วย สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรก 10,000 บาท, แป้นเหยียบแบบสปอร์ต 1,800 บาท, คิ้วบันได LED 5,100 บาท, ฝาครอบกระจกมองข้าง 1,000 บาท, คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า 1,950 บาท, ปลอกท่อไอเสียสเตนเลส 1,150 บาท, คิ้วตกแต่งกระจังหน้า 3,900 บาท, คิ้วตกแต่งกันชนหลัง 5,900 บาท และไฟส่องสว่างที่เท้า 2,200 บาท

●   หรือจะเลือกตกแต่งเป็นแพ็กเกจรอบคัน ซึ่งมีให้เลือก 3 แพ็กเกจ ได้แก่

  • Sport Package : 8,900 บาท ประกอบด้วย คิ้วตกแต่งกระจังหน้า และ คิ้วตกแต่งกันชนหลัง
  • Exclusive Sport Package : 17,200 บาท ประกอบด้วย คิ้วตกแต่งกระจังหน้า คิ้วตกแต่งกันชนหลัง และสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรก
  • Modulo Aero Package : 18,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า สเกิร์ตข้าง และสเกิร์ตหลัง

ขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด

Group Test : 2022 Honda Civic e:HEV RS