August 15, 2022
Motortrivia Team (10199 articles)

2022 MG VS HEV X รถ SUV สปอร์ตไฮบริด เน้นขับสนุก

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●   หลังจากได้สัมผัสคันจริงอย่างใกล้ชิดในรอบพรีวิว ตามด้วยการเปิดราคาอย่างเป็นทางการ ทีมงานมอเตอร์ทริเวีย ก็มีโอกาสได้ทดลองขับเอสยูวีรุ่นใหม่ของ MG รุ่น VS HEV สปอร์ตตี้ ไฮบริด เอสยูวี รุ่นแรกของเอ็มจี เน้นจุดเด่นเรื่องสมรรถนะการขับ (PERFORMANCE) การควบคุม (HANDLING) การออกแบบ (DESIGN) และความปลอดภัย (SAFETY)ทำตลาดด้วย 2 รุ่นย่อยคือ VS HEV D ราคา 859,000 บาท และรุ่นที่ทดลองขับ VS HEV X ราคา 919,000 บาท ได้ลองขับแบบใช้งานจริงบนถนน วัดอัตราสิ้นเปลืองแบบใช้งานจริง และลองสมรรถนะของรถอย่างเต็มที่และปลอดภัยในสนามแข่ง

ภายนอกทันสมัยแต่ไม่สุด

●   ด้านหน้าสวยแปลกตาด้วยกระจังหน้า Electrified Matrix Grille Design ซ่อนช่องรับอากาศไว้ทำให้ดูเหมือนรถไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ประกบข้างด้วยโคมไฟหน้าทรงเพรียวแบบ LED Projector เปิด-ปิดอัตโนมัติพร้อม DAYTIME RUNNING LIGHT แซมด้วยสีฟ้าบ่งบอกถึงความเป็นรถไฮบริด ล้อแม็ก 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/55/17 มี AERO WHEEL COVER ฝาครอบพลาสติกเพิ่มความลู่ลม สามารถถอดออกได้ ทีมงานเอ็มจีลองถอดให้ดูแล้ว ลวดลายของล้อแม็กด้านในก็สวยดี สังเกตจากตอนถอดและใส่คิดว่าฝาครอบพลาสติกยึดกับล้อไว้อย่างแน่นหนา ไม่น่าจะหลุดง่ายๆ เพราะตัวฝาครอบก็ออกแบบให้ใช้กับล้อลายนี้โดยเฉพาะ

●   ตัวรถด้านข้างดูสปอร์ตด้วยสีทูโทนหลังคาดำ พร้อมหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ครอบคลุมพื้นที่หลังคากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ พร้อมแร็กหลังคา ที่ว่าสะดุดคือด้านท้าย เพราะแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่น ZS ที่ใช้เป็นพื้นฐานของรถรุ่น VS ถ้าปรับให้ทันสมัยเหมือนด้านหน้าก็คงจะดีไม่น้อย

●   มิติตัวรถมีความยาว 4,370 มิลลิเมตร กว้าง 1,809 มิลลิเมตร สูง 1,653 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,585 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,526 / 1,539 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุด 145 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1,450 กิโลกรัม

Dual Widescreen Cockpit ไฮไลต์ของรุ่นนี้

●   แม้ภายนอกจะเหลือเค้าโครงเดิมของ ZS อยู่บ้าง แต่ภายในของ VS มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนด้วยมาตรวัดแบบ Dual Widescreen Cockpit ซึ่งเป็นครั้งแรกของรถกลุ่ม B-SUV เป็นจอคู่ที่ออกแบบเป็นชิ้นเดียวกัน แสดงผลแบบ HD แบ่งเป็นมาตรวัด Full Virtual Dashboard ขนาด 12.3 นิ้ว และจอที่คอนโซลกลางขนาด 12.3 นิ้ว ควบคุมด้วยระบบสัมผัสและ Illuminated Touch Panel การแสดงผลคมชัดตามลำดับของ HD มาตรวัดปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลายรูปแบบ ภาพกราฟิกสวยสบายตาและเข้าใจง่ายมีความเป็นสากล อ่านค่าต่างๆ ได้ง่าย ส่วนจอที่คอนโซลกลางใช้ระบบสัมผัส ก็ตอบสนองได้ทันใจพอสมควร แสดงผลคมชัดเช่นกัน ที่ได้ใช้ตลอดการเดินทางคือระบบนำทางผ่าน AppleCarPlay

●   พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ก้านบนคอพวงมาลัยสไตล์ยุโรป ฝั่งซ้ายควบคุมไฟหน้าและไฟเลี้ยว ฝั่งขวาควบคุมที่ปัดน้ำฝนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ระบบเกียร์เป็นแบบไฟฟ้า ไม่มีแกนหรือชิ้นส่วนข้อต่อ ทำให้สามารถออกแบบคอนโซลกลางเป็นแบบ 2 ชั้น Double Layer เพิ่มพื้นที่ใช้สอย ด้านบนเป็นที่ชาร์จไร้สายแบบ Fast Charge สามารถชาร์จสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ได้ มีแผ่นกันลื่นที่ช่วยล็อกอุปกรณ์ให้อยู่กับที่ ด้านล่างของคอนโซลกลางมีช่องจ่ายไฟฟ้าและช่อง USB-A สำหรับเชื่อมต่อ และ USB-C สำหรับชาร์จ ตรงจุดนี้ใช้งานได้จริงจัง แต่คอนโซลจะเบียดขาซ้ายผู้ขับนิดๆ ช่องแอร์ที่คอนโซลกลางต้องย้ายลงไปด้านล่างเพราะจอกินพื้นที่ไปหมด แต่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องการส่งความเย็นไปด้านหลัง เพราะมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังโดยเฉพาะ พร้อมช่อง USB-A ลองขับตอนกลางวันแดดจัด รถไม่มีฟิล์มก็ยังไม่รู้สึกว่าร้อน แต่ก็ไม่ถึงกับฉ่ำ

●   อีกอย่างที่ชอบใจก็คือ ความกว้างขวางของห้องโดยสาร ผู้ขับสูง 170 เซนติเมตร ปรับเบาะให้ขับสบายและท่านั่งถูกต้องแล้ว ผู้โดยสารด้านหลังผู้ขับที่มีความสูงเกิน 180 เซนติเมตร ยังบอกว่านั่งสบาย เข่าไม่ติดเบาะ ศีรษะไม่ครูดเพดาน พนักพิงเบาะหลังก็ปรับความเอนมาพอเหมาะ มี 2 จุดที่อยากได้เพิ่มคือ กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ และพวงมาลัยที่สามารถปรับใกล้-ไกลได้ ที่ให้มาปรับได้เฉพาะสูง-ต่ำ ส่วนเบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ถือว่าให้มาดี หลังคาพาโนรามิกบานใหญ่ โดยส่วนตัวแล้วไม่ชอบเพราะแทบไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่คนส่วนใหญ่น่าจะอยากให้มี

●   พนักพิงเบาะหลังแยกพับได้ ใต้ที่นั่งฝั่งซ้ายมีช่องดูดอากาศเย็นในห้องโดยสารไประบายความร้อนแบตเตอรี่ไฮบริดที่อยู่ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย พื้นที่เก็บของเพียงพอต่อการใช้งาน ถ้านั่ง 4 คน ด้านหลังก็วางกระเป๋าเดินทางได้ แต่อาจต้องอาศัยความตั้งใจในการจัดวางกระชับพื้นที่กันเล็กน้อย ขาดไม่ได้สำหรับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่เชื่อมต่อผู้ขับเข้ากับฟังก์ชันอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์เอ็มจี พร้อม Digital Key Technology รับ-ส่งกุญแจดิจิทัลผ่านสมาร์ทโฟนได้

●   โดยรวมพอใจกับภายในห้องโดยสาร ทั้งในเรื่องคุณภาพของวัสดุ เพิ่ม Soft Touch ในจุดที่สัมผัสร่างกายบ่อยๆ การออกแบบก็สวยงามทันสมัย โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ Dual Widescreen Cockpit พื้นที่ใช้สอยก็กว้างขวางเมื่อเทียบกับขนาดตัวรถ มีที่เก็บของและช่องจ่ายไฟฟ้าเพียงพอ สมกับเป็นรถเอนกประสงค์ การเก็บเสียงก็ทำได้ดีถึงระดับความเร็ว 120-130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อุปกรณ์มาตรฐานทั้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยก็ครบครัน มีแค่อุปกรณ์มาตรฐานบางรายการที่อยากได้เพิ่ม

ไฮบริดขับสนุกแต่ไม่ประหยัด

●   NEW MG VS HEV มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH หัวฉีดมัลติพอยต์ ความจุ 1,498 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะชัก 75 x 84.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนการอัด 12.5:1 กำลังสูงสุด 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 95 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตัน-เมตร ให้กำลังสูงสุดรวม 177 แรงม้า (PS) แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 2.13 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถังน้ำมันจุ 48 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ E-CVT เลือกโหมดการขับได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Comfort และ Sport และมีระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ปรับการชาร์จไฟฟ้ากลับได้ 3 ระดับ

●   ได้ลองขับเป็นไม้แรก ช่วงแรกฝ่ารถติดไปขึ้นทางด่วน รู้สึกได้เลยว่าเป็นรถไฮบริดที่มีการตอบสนองช่วงความเร็วต่ำที่ดีมาก เร่งออกตัวทันใจ และเร่งดีไปจนถึงความเร็วกลางๆ ใช้งานในเมืองคล่องตัว พวงมาลัยปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ ในเมืองปรับเบาสุดจะลัดเลาะได้ดีมาก เมื่อรวมกับอัตราเร่งช่วงต้นที่ดี มอเตอร์ไฟฟ้าขยันทำงาน ตัวรถที่ไม่ใหญ่โตมากนัก เหมาะกับการใช้งานในเมือง หลุดช่วงรถติดขึ้นทางด่วนได้ลองอัตราเร่งช่วงความเร็วกลางขึ้นไป ก็ยังถือว่าทำได้ดี และน่าจะดีที่สุดของรถในกลุ่มเดียวกัน ณ เวลานี้ ช่วงความเร็วกลางถึงความเร็วสูง เครื่องยนต์จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ก็ยังถือว่าเร่งได้ทันใจ แซงขาดปลอดภัย

●   ก่อนออกเดินทาง เซต 0 ข้อมูลการขับทั้งหมด ขับถึงจุดหมายแรกระยะทาง 69.1 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 59 นาที ความเร็วเฉลี่ย 67 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.1 กิโลเมตรต่อลิตร ตอนแรกคาดหวังว่าจะได้มากกว่านี้เพราะเป็นรถไฮบริด และก็ไม่ได้ขับเร็วจัดจ้านอะไร มีลองความเร็วแค่ไม่กี่ครั้ง เพราะรู้ว่าเดี๋ยวจะได้ลองในสนามปิดซึ่งปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว เท่าที่สังเกตดูพบว่าใช้รอบค่อนข้างสูง ขับความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รอบป้วนเปี้ยนแถว 2,000 รอบต่อนาที ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะอัตราทดเกียร์ E-CVT ที่ไม่ได้ต่ำมาก 0.396-2.453 และใช้เฟืองท้ายค่อนข้างสูงคือ 5.73 น่าจะเน้นเลี้ยงรอบเพื่อให้ขับสนุกอัตราเร่งดี

●   แต่เมื่อทีมงานเอ็มจีส่งตัวเลขการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองมาให้ ขับ 5 คัน เฉลี่ยคันละกว่า 400 กิโลเมตร ขับในโหมด Comfort และ Eco ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 2 โหมดประมาณ 15.3-16.3 กิโลเมตรต่อลิตร มีบางคันขับโหมด Sport ได้ 12.9 กิโลเมตรต่อลิตร เพราะในโหมดนี้รอบเครื่องยนต์จะขยับสูงขึ้นเล็กน้อยด้วย ก็ตรงตามจุดประสงค์ในการพัฒนารถรุ่นนี้ให้เป็นไฮบริดที่เน้นขับสนุก อัตราเร่งดี ไม่ได้มีจุดเด่นเรื่องอัตราสิ้นเปลือง แต่ก็ยังอยากให้ประหยัดกว่านี้อีกนิดในยุคน้ำมันแพง

ลองสมรรถนะในสนามแข่ง

●   อีกหนึ่งไฮไลต์ของการทดลองขับครั้งนี้ คือ การลองอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่เอ็มจีเคลมไว้ 9 วินาที และลองประสิทธิภาพของช่วงล่างด้วยการขับแบบ Mini Circuit, Slalom และ LaneChange เริ่มจากลองอัตราเร่ง ใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐานเชื่อมต่อกับดาวเทียมเพื่อจับเวลาและระยะทาง ลอง 2 ครั้ง ขับแบบยกเท้าจากแป้นเบรกไปกดคันเร่ง ไม่ได้ออกตัวแบบใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรก เท้าขวากดคันเร่ง ได้ตัวเลขประมาณ 9.1-9.2 วินาที ถือว่าเกินหน้าตาของรถไปพอสมควร

●   เร่งผ่านจุดจับเวลาแล้วเบรกหยุดนิ่งเพื่อบันทึกผล จากนั้นขับในแบบเซอร์กิตย่อมๆ ไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมากนัก เน้นจับความรู้สึกมากกว่า ถ้าขับแบบสปอร์ตแนะนำให้ปรับพวงมาลัยเป็นแบบหนักสุด ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้หนักมากเกินไปถ้าปรับท่านั่งให้ถูกต้อง ก็ใช้โหมดนี้ได้ทุกสถานการณ์ ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชันบีม รองรับการขับแบบรุนแรงกว่าการใช้งานจริงได้สบาย ทั้งการเลี้ยวด้วยความเร็วค่อนข้างสูง สลาลอม และเปลี่ยนเลนกะทันหัน ถ้าใช้งานจริงขับด้วยความเร็วตามกฎหมายแล้วต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางก็น่าจะเอาอยู่ เพราะนอกจากพื้นฐานของช่วงล่างที่ดีแล้ว ยังมีตัวช่วยอีกมากมาย ทั้งระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)

●   ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน ก็ทำหน้าที่ได้ดี สร้างแรงเบรกได้เหมาะสมกับกำลังของเครื่องยนต์ และควบคุมแรงเบรกได้ง่าย ทั้งการเบรกแบบฉุกเฉิน หรือการเบรกอย่างนุ่มนวล มาพร้อม ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ระบบป้องกันการไหลของรถ AVH (Auto Vehicle Hold) 

●   ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-lock Brake System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution) และระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)

●   โดยรวมมองว่า MG VS HEV X เป็นรถที่คุ้มราคา 919,000 บาท รูปลักษณ์ด้านหน้าทันสมัย ด้านหลังแม้จะเป็น ZS แต่ก็มีการปรับให้ดูเข้ากับตัวรถ ภายในแค่จอ Dual Widescreen Cockpit ก็น่าจะทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อกันแล้ว ห้องโดยสารดูดีทั้งคุณภาพวัสดุ การออกแบบ การเลือกจับคู่สีในรุ่นทูโทน อุปกรณ์มาตรฐานก็ครบครัน ทั้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย ส่วนที่ขาดหายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้ามีให้ก็ดี ความกว้างขวางก็อยู่ในระดับใช้งานได้จริง นั่ง 4 คนสบายๆ ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดที่เน้นขับสนุกมากกว่าประหยัดน้ำมัน ก็ถือว่ามีแนวทางที่ชัดเจน     ●

ขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

Group Test : 2022 MG VS HEV X