May 28, 2023
Motortrivia Team (10196 articles)

Range Rover Sport Dynamic SE Plug-In Hybrid 510PS อลังการทั้งความหรูและความแรง

เรื่อง-ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

●   ทิ้งช่วงจากการเปิดตัวในเมืองไทยได้ไม่นาน ทีมงานมอเตอร์ทริเวีย มีโอกาสได้ทดลองขับพรีเมียมฟูลไซส์เอสยูวี เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ไดนามิก เอสอี ขับเคลื่อนด้วยระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริดที่มีกำลังรวมทั้งระบบ 510 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ได้กว่า 88 กิโลเมตร นอกจากความหรูหราแล้ว เอสยูวีทุกรุ่นของแลนด์โรเวอร์ยังถูกออกแบบตัวรถและระบบขับเคลื่อนต่างๆ ให้ลุยทางออฟโรดได้อย่างจริงจัง ถ้าเจ้าของรถใจถึงอยากใช้รถให้คุ้มราคา 8,599,000 บาท ส่วนทีมงานมอเตอร์ทริเวียขอลองเฉพาะบนทางเรียบออนโรดเท่านั้น

ภายนอกเรียบหรูดุดัน

●   ตัวรถมีขนาดใหญ่ แต่ดูไม่เทอะทะด้วยการออกแบบเส้นสายให้มีความเรียบร้อยต่อเนื่อง ไม่เน้นความหวือหวา แต่จะดูได้นานโดยไม่เบื่อ โคมไฟหน้าทรงเพรียวดูล้ำสมัยแต่ให้แสงสว่างเหลือเฟือด้วยเทคโนโลยี Digital LED กระจังหน้าและกันชนใช้สีดำเงาเพิ่มความสปอร์ต แซมด้วยสีออกทองแดงในจุดต่างๆ มีสปอตไลต์ดวงเล็กอยู่ที่มุมกันชนด้านล่าง มุมมองหน้าตรงให้ความรู้สึกดุดันเอาเรื่อง

●   ด้านข้างสปอร์ตสมชื่อรุ่นด้วยล้อแม็กขนาดใหญ่ 21 นิ้ว รัดด้วยยาง 275/50 R21 ถ้าปรับลดความสูงของช่วงล่างลงมาจะให้มุมมองที่ดูทะมัดทะแมง และถ้าปรับช่วงล่างขึ้นสูงในโหมดออฟโรด ก็จะดูเป็นรถลุย ล้อแม็กสี Satin Dark Grey ช่วยให้คาลิเปอร์เบรกสีแดงทั้งหน้าและหลังดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ตัวรถด้านข้างเรียบลื่นไม่มีคิ้วให้สะดุดสายตา ใช้เส้นสายบนตัวรถช่วยเพิ่มมิติ ที่เปิดประตูเป็นแบบซ่อนและจะยื่นออกมาให้ดึงเปิดเมื่อกดปุ่มปลดล็อกที่รีโมท หรือกดปุ่มบนที่เปิดประตู มาพร้อมระบบประตูดูดหรือ Soft Door Close แค่ปิดประตูเบาๆ ให้เหลือช่องว่างประมาณ 6 มิลลิเมตร ระบบจะดูดประตูให้ปิดสนิทแทบไร้เสียงรบกวน กระจกมองข้างสีดำเงา มีไฟเลี้ยวและกล้องสำหรับระบบกล้องมองรอบคันแบบสามมิติ มีไฟเตือนจุดบอดด้านข้าง ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว

●   แนวเสาหน้าหรือเสา A ไม่ได้เอนลาดมากนัก ยังคงมีองศาที่ค่อนข้างชันตามสไตล์เอสยูวี เส้นขอบกระจกหรือ Belt Line ก็ค่อนข้างตรงเป็นเส้นเดียวกันต่อเนื่องมาจากแนวฝากระโปรงหน้า ทำให้รถดูหนักแน่นมั่นคง แล้วไปเพิ่มความปราดเปรียวด้วยการออกแบบแนวเส้นหลังคาให้ลาดลงเล็กน้อยสู่ด้านหลัง และด้วยขนาดตัวรถที่ใหญ่โต แนวหลังคาที่ลาดลงจึงไม่รบกวนพื้นที่เหนือศีรษะของผู้โดยสารด้านหลัง หลังคาพาโนรามิกซันรูฟไฟฟ้าเมื่อติดตั้งแร็กขวางจะรับน้ำหนักได้ 100 กิโลกรัม มีเสาอากาศแบบครีบฉลามคู่ติดตั้งกล้องสำหรับระบบมองรอบคัน บริเวณซุ้มล้อหลังฝั่งผู้ขับเป็นฝาปิดที่เติมน้ำมัน ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นฝาปิดที่ชาร์จแบตเตอรี่ไฮบริด

●   การออกแบบด้านท้ายสะกดสายตาด้วยความเรียบหรูและดูมั่นคง เหนือกระจกบานท้ายมีสปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 และซ่อนที่ปัดน้ำฝนหลังไว้ดูเรียบร้อยแนบเนียน ชุดไฟท้ายทรงเพรียวโอบไปถึงด้านข้าง เชื่อมต่อกันด้วยชื่อรุ่น RANGE ROVER สีดำ ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบป้องกันการหนีบ ด้านล่างมีไฟถอยหลังดวงเล็ก ใช้เป็นแค่สัญญาณบอกว่ากำลังถอยหลัง ไม่ได้ใช้ส่องสว่างเหมือนรถสมัยก่อนแล้ว เพราะมีกล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะแปรผันตามการหมุนของพวงมาลัยมาให้ ดุดันด้วยปลายท่อไอเสียโครเมียมขนาดใหญ่แยกออกซ้าย-ขวา

●   มิติตัวรถมีความยาว 4,946 มิลลิเมตร กว้าง (รวมกระจกมองข้าง) 2,209 มิลลิเมตร สูง 1,820 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,702/1,704 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,997 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2,810 กิโลกรัม เห็นคันใหญ่ๆ แบบนี้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศอยู่ที่ 0.29 เท่านั้น

หรูหรานั่งสบายขับง่ายกว่าที่คิด

●   ก่อนรับรถดูสเปคคร่าวๆ แล้วเริ่มกังวล เพราะรถคันใหญ่ยาวเกือบ 5 เมตร กว้าง 2 เมตรนิดๆ ต้องขับฝ่าเมืองในช่วงเวลาเร่งด่วนอีกด้วย ยังดีที่มีเวลาปรับท่านั่งให้เหมาะสมก่อนขับ ออกถนนใหญ่แล้วรู้สึกว่าขับง่ายกว่าที่คิด เพราะตำแหน่งนั่งค่อนข้างสูง พื้นที่กระจกรอบคันกว้าง ทัศนวิสัยรอบคันค่อนข้างดีไม่มีจุดอับสายตา รวมทั้งมีเซนเซอร์และระบบสนับสนุนต่างๆ เช่น Blind Spot ช่วยบรรเทาความเกร็งไปได้มาก แต่ก็ยังรู้สึกว่ารถคันใหญ่คับเลนอยู่ดี โดยเฉพาะเวลาขับตีคู่กับรถใหญ่

●   เบาะผู้ขับหนานุ่มนั่งสบาย ปรับด้วยไฟฟ้า 20 ทิศทาง พร้อม 3 หน่วยความจำ สามารถปรับความกระชับของปีกเบาะได้ด้วย ขับในเมืองก็นั่งแบบหลวมๆ หน่อย ขับบนทางออฟโรดค่อยปรับให้กระชับขึ้น มาตรวัดเป็นดิจิตอลความคมชัดสูง พร้อมระบบ HUD Head-up Display ปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้ด้วยปุ่มบนพวงมาลัยฝั่งซ้าย การใช้งานไม่ยุ่งยาก ลองเล่นไม่นานก็ควบคุมได้คล่อง เข้าเมนูไปจะพบกับการปรับตั้งระบบต่างๆ ของตัวรถได้อย่างละเอียด กระจกมองหลังมีระบบ ClearSight Interior Rear View Mirror เปลี่ยนเป็นจอแสดงภาพจากกล้องมองหลังแทนการสะท้อนด้วยกระจกปกติ ใช้กรณีมีคนนั่งเบาะหลังหรือบรรทุกสัมภาระบดบังกระจกหลัง

●   พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นปรับทิศทางด้วยไฟฟ้า ให้สัมผัสที่หรูหราและกระชับมือ พร้อม Paddle Shift จอที่คอนโซลกลางเป็นแบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาดใหญ่สะใจ ใช้ควบคุมระบบหลักของรถเช่นโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ และแสดงผลการทำงานของระบบขับเคลื่อน ชอบใจเป็นพิเศษเมื่อเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay แบบไร้สาย แสดงแผนที่ชัดเจนเต็มตา ด้านล่างของจอมีที่ชาร์จแบบไร้สายซ่อนอยู่ ถ้าไม่สังเกตอาจไม่เห็น ถัดลงมาเป็นสวิตช์ควบคุมระบบแอร์ ใช้ระบบปุ่มหมุนที่มีข้อดีตรงใช้งานง่าย ไม่ต้องละสายตาจากถนนก็ได้ แม้จะเป็นปุ่มหมุนแต่ก็ทันสมัยด้วยหน้าจอแสดงสถานะบนปุ่ม หมุนปุ่มเพื่อปรับอุณหภูมิ กดปุ่มลงไปเป็นการเปิดระบบอุ่นเบาะ ยกปุ่มขึ้นเพื่อปรับแรงลม หรือจะกด AUTO ก็สะดวกดี

●   ต่อเนื่องลงมาเป็นคันเกียร์ ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ ปุ่มเปิด-ปิดเครื่องเสียงและปรับวอลลุ่ม ส่วนฝั่งซ้ายสุดเป็นชุดควบคุมโหมดขับเคลื่อนที่มีให้เลือกตามสถานการณ์ หรือถ้าเลือกไม่ถูกก็มีโหมด AUTO ระบบจะปรับการขับ การส่งกำลัง การล็อกเฟืองเพลากลางและเพลาท้ายให้ตามความเหมาะสม มีปุ่มเลือกโหมดการขับว่าจะใช้แบบ HYBRID เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน, EV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ หรือโหมด SAVE ระบบจะไม่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เพื่อเซฟไฟฟ้าที่มีไว้ ก่อนถึงที่เท้าแขนมีช่องแช่เย็นปรับความเย็นได้ 2 ระดับ เป็นตู้เย็นขนาดจิ๋วที่ให้ความเย็นจริงจัง ไม่ใช่แค่เอาลมเย็นจากแอร์มาเป่า

●   การออกแบบภายในโดยรวมยังคงเน้นความเรียบง่ายของเส้นสาย แต่มีความแพรวพราวของอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ที่ผ่านการคิดมาอย่างดี เช่น ปุ่มปรับทิศทางของเบาะนั่งออกแบบให้มีปุ่มเซตหน่วยความจำของเบาะรวมอยู่ด้วย ช่วยลดปริมาณปุ่มให้น้อยลง การเปิดปิดไฟในห้องโดยสารใช้ระบบสัมผัสแผ่วเบา ย้ายไปนั่งเบาะหลังแล้วแทบไม่อยากขับต่อ เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและนั่งสบายสุดๆ ด้วยพนักพิงปรับไฟฟ้า มีช่องแอร์ที่แยกการควบคุมได้อย่างอิสระ พร้อมช่องจ่ายไฟฟ้า USB-C

●   ที่เท้าแขนตรงกลางมีที่วางแก้วกับที่ใส่ของพร้อมฝาปิด พื้นที่วางขาก็เหลือเฟือจากฐานล้อที่ยาวน้องๆ รถกระบะ 2,997 มิลลิเมตร พนักพิงเบาะหลังพับลงได้ด้วยระบบไฟฟ้า สั่งงานจากหน้าจอกลาง ขับกล่อมด้วยเครื่องเสียงไฮเอ็นประจำชาติอย่าง Meridian นั่งตอนกลางคืนมีไฟ Premium Cabin Lighting รอบห้องโดยสารปรับเปลี่ยนตามโปรไฟล์ผู้ขับที่บันทึกไว้ได้หรือจะปรับตามโหมดการขับก็ได้เช่นกัน

●   ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายกว้างขวางสะใจ มีความสูง 793 มิลลิเมตร กว้าง 1,103 มิลลิเมตร และลึก 970 มิลลิเมตร เมื่อวัดจากหลังเบาะแถว 2 รวมความจุ 647 ลิตร ถ้าพับเบาะแถว 2 ความจุจะเพิ่มเป็น 1,491 ลิตร ประตูท้ายไฟฟ้ากำหนดความสูงในการเปิดได้ เหมาะกับสุภาพสตรีร่างเล็กเพราะถ้าเปิดฝาท้ายขึ้นสุดจะกดปุ่มปิดฝาท้ายไม่ถึง ที่มุมขวาของที่เก็บสัมภาระ มีปุ่มพับและกางเบาะแถว 2 ทั้ง 2 ฝั่ง และมีปุ่มกดให้ช่วงล่างย่อตัวลงมาเพื่อให้เคลื่อนย้ายสัมภาระได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะของที่มีน้ำหนักมาก นับเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ผ่านการคิดมาอย่างรอบคอบ

●   แบตเตอรี่ไฮบริดตั้งตั้งอยู่บริเวณที่วางเท้าเบาะแถวหลัง จึงไม่กระทบพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย เปิดพื้นขึ้นมาจะเจอกับยางอะไหล่แบบ Full Size พร้อมล้อแม็กและยางขนาดเดียวกัน ถ้าต้องเปลี่ยนยางก็ขับได้ตามปกติ ไม่ต้องขับย่องเหมือนยางอะไหล่แบบ Compact Size ซึ่งก็เหมาะกับรถที่ใช้งานบนทางออฟโรดได้ด้วย นอกจากยางอะไหล่แล้วก็มีสายชาร์จไฟบ้านมาให้ได้ลองชาร์จกันด้วย

●   ภายในห้องโดยสารคงไม่ต้องสงสัยเรื่องความหรูหรา คุณภาพวัสดุ หรือความกว้างขวาง ที่ให้มาแบบเต็มเหนี่ยว แต่ที่น่าแปลกใจคือ การขับควบคุมที่ง่ายไม่ต้องปรับตัวกันนาน และสุภาพสตรีที่มีความสูง 150 เซนติเมตร ก็ยังขับได้อย่างมั่นใจทั้งทางไกลและในเมือง การเก็บเสียงทำได้ยอดเยี่ยม ขับทางไกลแทบไม่มีเสียงรบกวนทั้งจากลมปะทะและเสียงยาง บวกกับความใหญ่โตและความนิ่งของรถ ทำให้รู้สึกว่าช้ากว่าความเป็นจริง ต้องเหลือบดูมาตรวัดความเร็วบ่อยๆ เพราะไม่อยากโดนใบสั่งย้อนหลัง ถ้าจะให้ติก็คงจะเป็นเรื่องปุ่มกดระบบแอร์ที่คอนโซลกลางและที่พวงมาลัย ที่ตอนแรกคิดว่าเป็นระบบสัมผัส แต่จริงๆ แล้วต้องออกแรงกดพอสมควร อาจเพราะป้องกันการกดสั่งงานโดยไม่ตั้งใจก็เป็นได้

แรงโหดร้ายแต่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

●   ขับเคลื่อนด้วยระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด มีกำลังรวมทั้งระบบ 510 แรงม้า ที่ 5,500-6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-5,000 รอบต่อนาที เป็นผลงานความร่วมมือของเครื่องยนต์ เบนซินตระกูล Ingenium AJ300 แบบ 6 สูบเรียง DOHC พร้อมระบบแปรผันจังหวะการทำงานของวาล์วไอดีและไอเสีย กระบอกสูบ 83 มิลลิเมตร ช่วงชัก 92.3 มิลลิเมตร ความจุ 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จแบบ Twin Scroll แยกท่อไอดีเข้าเทอร์โบชุดละ 3 สูบ จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบไดเร็คอินเจ็คชั่นแรงดัน 200 บาร์ ถังน้ำมันจุ 71.5 ลิตร มีกำลัง 400 แรงม้า (PS) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 105 กิโลวัตต์ หรือ 143 แรงม้า (PS) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 38.2 kWh ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF ขับเคลื่อน 4 ล้อ Intelligent All-Wheel Drive ปรับการแบ่งกำลังไปยังล้อทั้ง 4 ตามสภาวะการขับโดยอัตโนมัติ

●   อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 242 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียเฉลี่ย 18 กรัมต่อกิโลเมตร โหมดไฮบริดขับได้ประมาณ 740 กิโลเมตร ส่วนโหมดไฟฟ้าล้วนขับใช้งานจริงประมาณ 88 กิโลเมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบชาร์จไฟฟ้ารองรับ DC Rapid Charging ชาร์จจาก 0-80 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาต่ำกว่า 1 ชั่วโมง ด้วยสถานีชาร์จ 50 กิโลวัตต์ เป็นหนึ่งในระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ชาร์จไฟฟ้าได้เร็วที่สุด หรือถ้าใช้ไฟกระแสสลับ 7.2 กิโลวัตต์ จะชาร์จเต็มในเวลาต่ำกว่า 5 ชั่วโมง และมีระบบ Brake Energy Recuperation ชาร์จไฟกลับเมื่อเบรกหรือลดความเร็ว ช่วยเพิ่มระยะทางการใช้งานของมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีกด้วย

●   ทุกครั้งที่สตาร์ตเครื่องยนต์ ระบบจะปรับเป็นโหมด HYBRID โดยอัตโนมัติ ทำงานแบบไร้รอยต่อระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า แต่หลังจากที่ได้ลองขับด้วยโหมดนี้บนทางโล่ง ก็แทบจะลืมเรื่องรักษ์โลกไปเลย เพราะขับสนุก ตอบสนองทันใจแบบสุดๆ แค่กดคันเร่งมิดก็กระชากรถคันใหญ่ๆ ให้พุ่งไปข้างหน้าได้อย่างทันท่วงทีในทุกความเร็วรอบ ดึงหนักหน่วงต่อเนื่องแต่มั่นคง ใช้ระยะทางและเวลาไม่นานความเร็วก็เกือบจะเกินที่กฎหมายกำหนดแล้ว เสียงเครื่องยนต์ก็กระหึ่มหนักแน่นเร้าใจเหมือนขับรถสปอร์ต เกียร์เปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วและนุ่มนวลต่อเนื่อง

●   ลองเข้าโหมด SAVE ไม่ใช้ไฟฟ้าไปขับเคลื่อนมอเตอร์ ขับด้วยเครื่องยนต์ล้วนๆ รู้สึกว่าการเร่งในช่วงความเร็วต่ำจะช้ากว่าโหมด HYBRID เล็กน้อย ส่วนในช่วงความเร็วปานกลางถึงความเร็วสูงไม่ต่างกันมากนัก ส่วนโหมด EV ที่มีไว้ให้ขับในเมืองเพื่อลดมลพิษเพราะเครื่องยนต์หยุดทำงาน แต่เท่าที่ลองขับทางไกลถนนโล่ง ก็ยังตอบสนองได้ดีพอตัว ไต่เนินชันบนไฮเวย์ได้สบายๆ เร่งได้นุ่มนวลทันใจเหมือนขับรถ EV คันโต แต่ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกชัดเจนว่าอืดกว่า 2 โหมดแรก และปริมาณไฟฟ้าจะลดลงค่อนข้างเร็ว

●   โหมด EV เมื่อใช้งานในเมืองจะรู้สึกว่าตอบสนองทันใจ เพียงพอกับการใช้งาน และรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ว่าช่วยลดมลพิษได้แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี ความรู้สึกของพวงมาลัยและเบรกในโหมดนี้ ไม่แตกต่างจากการขับในโหมด HYBRID หรือโหมด SAVE เบรกยังให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ และที่สำคัญคือ แอร์เย็นฉ่ำตามปกติ กลับบ้านมาลองใช้สายชาร์จที่ให้มากับรถ เสียบใช้งานไม่ยุ่งยาก มีไฟแสดงสถานะบนที่ชาร์จ ช่องชาร์จที่ตัวรถ และบนชุดมาตรวัด เสียบแช่ไว้นานสายไฟบ้านก็ไม่ร้อน แต่ใช้เวลาค่อนข้างนาน 11 ชั่วโมงกว่าสำหรับไฟบ้านแบบธรรมดาทั่วไป ถ้ากลับมาบ้านแล้วเสียบชาร์จไว้ เช้าขับไปทำงานก็น่าจะเกือบเต็ม

●   ลุยออฟโรดแบบจริงจังได้ด้วยระบบ Terrain Response 2® ช่วยให้การขับบนทางออฟโรดเป็นเรื่องง่ายแม้ไม่มีประสบการณ์ โดยโหมดการขับที่มีให้เลือกหลากหลาย หรือจะใช้แบบอัตโนมัติก็ได้ มาพร้อมฟังก์ชั่นใหม่ Adaptive Off-Road Cruise Control ควบคุมความเร็วอัตโนมัติบนทางวิบาก โดยระบบจะรับข้อมูลจากกล้องและเซ็นเซอร์หลายจุดรอบคัน และปรับความเร็วให้เหมาะสม ผู้ขับทำหน้าที่ควบคุมพวงมาลัยเพียงอย่างเดียว ช่วยให้การขับออฟโรดมีความสนุกและปลอดภัยยิ่งขึ้น

Flexible Mixed-Metal Architecture

นุ่มนวลและหนักแน่นด้วยช่วงล่างถุงลม

●   โครงสร้างตัวรถแบบ Flexible Mixed-Metal Architecture หรือ MLA-Flex ทนทานต่อแรงบิดมากกว่ารุ่นเดิม 35 เปอร์เซ็นต์ มาพร้อมเทคโนโลยี Integrated Chassis Control ที่ปรับแต่งเป็นพิเศษสำหรับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ ทำงานร่วมกับช่วงล่างถุงลมแบบ Dynamic Air Suspension ที่ติดตั้งในเรนจ์โรเวอร์สปอร์ตทุกรุ่นย่อย มาพร้อมระบบควบคุมที่ชาญฉลาด เพิ่มขอบเขตการทำงานของช่วงล่างให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ตัวรถมีการตอบสนองที่ฉับไวแม่นยำ ทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อ โดยล้อหลังจะเลี้ยวได้มากสุด 7.3 องศา ความเร็วต่ำล้อหลังเลี้ยวตรงข้ามกับล้อหน้า ทำให้วงเลี้ยวแคบลง ความเร็วสูงล้อหลังเลี้ยวทางเดียวกับล้อหน้า ช่วยเพิ่มความคล่องตัว

●   ระบบกันสะเทือนอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าปีกนก 2 ชั้น ด้านหลังมัลติลิงก์ พร้อมถุงลมปรับความสูงได้ 3 ระดับ คือ Offroad, Standard และ Access ปรับช่วงล่างต่ำสุดเพื่อให้ขึ้นลงสะดวก สเปคในส่วนของออฟโรดก็ไม่ธรรมดา ระยะต่ำสุดในโหมดสแตนดาร์ด 216 มิลลิเมตร มุมปะทะ 22.5 องศา มุมจาก 24.9 องศา มุมคร่อม 21.5 องศา และถ้าปรับเป็นโหมดออฟโรด ระยะต่ำสุดจะเพิ่มขึ้นเป็น 274 มิลลิเมตร มุมปะทะ 29.7 องศา มุมจาก 30 องศา มุมคร่อม 24.5 องศา ลุยน้ำได้ลึกสุด 90 เซนติเมตร

Dynamic Air Suspension

●   ความรู้สึกแรกหลังจากได้ลองขับคือ ความนุ่มนวลของระบบกันสะเทือน ขับในเมืองผ่านผิวถนนที่ขรุขระหรือฝาท่อระบายน้ำ แทบไม่รู้สึกถึงความสั่นสะเทือน พวงมาลัยหนักกว่าที่คิด ไม่ถึงกับเบาหวิวที่ความเร็วต่ำ เมื่อรวมกับเบาะนั่งที่หนานุ่ม การตกแต่งภายในที่หรูหรา และการเก็บเสียงที่ดี ทำให้เป็นรถที่ขับได้อย่างเพลิดเพลิน เมื่อทางโล่งลองเพิ่มความเร็วเป็น 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังสัมผัสได้ถึงความนุ่ม โดยเป็นความนุ่มที่ยังรู้สึกถึงการยึดเกาะถนน ไม่ใช่นุ่มแบบล่องลอย การตอบสนองของรถค่อนข้างละเมียดละไม สมกับเป็นรถระดับหรู  และช่วงล่างชุดนี้สามารถรับมือกับช่วงความเร็วสูงๆ ได้อย่างมั่นใจ ถ้าทางโล่งสามารถอยู่บนความเร็วสูงได้ยาวๆ รถยังไว้ใจได้และยังเหลือความสามารถในการหลบหลีกถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน ตัวรถที่สูงทำให้มองเห็นเส้นทางล่วงหน้าได้ไกล คาดการณ์ล่วงหน้าหรือเตรียมตัวได้แต่เนิ่นๆ

●   การตอบสนองของพวงมาลัยมีความคล่องแคล่ว ไม่อุ้ยอ้ายเมื่อเทียบกับขนาดตัวรถ การเปลี่ยนเลนเพื่อแซงทำได้รวดเร็วและตัวรถมีอาการโคลงไม่มากนักแม้จะเปลี่ยนเลนที่ความเร็วค่อนข้างสูง ขับความเร็วต่ำลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรที่ติดขัดทำได้อย่างเบาแรง อีกจุดที่ทำได้ดีคือ ระบบเบรก ที่สร้างแรงดึงได้มหาศาล กระชากลดความเร็วลงได้อย่างเฉียบขาดหนักแน่นและมั่นคง แทบไม่รู้สึกถึงอาการหน้าทิ่มท้ายยกเมื่อเบรกหนักๆ แรงเบรกสัมพันธ์กับน้ำหนักเท้าที่เหยียบแป้นเบรก และมีความคงเส้นคงวาเหมือนกันทั้งโหมด HYBRID, EV และ SAVE

●   Range Rover Sport Dynamic SE Plug-In Hybrid 510PS เอสยูวีขนาดใหญ่ เด่นที่รูปลักษณ์ภายนอกเรียบง่ายแต่สะดุดตา ภายในหรูหรากว้างขวาง เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ อุปกรณ์มาตรฐานครบครันทั้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย วันธรรมดาใช้เป็นรถประจำตำแหน่งก็ไม่ขัดเขินเพราะเบาะหลังกว้างขวางนั่งสบายและอุปกรณ์ครบ วันหยุดใช้เป็นรถครอบครัวขับเองก็สนุกด้วยแรงม้าแรงบิดมหาศาล หรืออยากลุยทางออฟโรดไปทำกิจกรรมกลางแจ้งรถรุ่นนี้ก็ลุยได้อย่างจริงจัง ผู้ขับที่ไม่มีประสบการณ์มากนักก็ขับออฟโรดได้อย่างปลอดภัย ด้วยระบบช่วยเหลือที่ชาญฉลาด จ่ายเงิน 8.599 ล้านบาทแล้วต้องใช้ให้คุ้ม เพิ่มความมั่นใจด้วย Range Rover Care 5 ปี ประกอบด้วยการรับประกันคุณภาพ, บริการบำรุงรักษาตามระยะ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง         ●

ขอบคุณ บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับรถทดสอบ

Test Drive : 2023 Range Rover Sport Dynamic SE Plug-In Hybrid 510PS