2024 Honda Ridgeline เพิ่มสมรรถนะในการลุยทางฝุ่น
เรื่อง : AREA 54
● ยังคงยืนหยัดทำตลาดสหรัฐฯ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จแบบหวือหวานัก โดยล่าสุดฮอนด้าได้ทำการปรับโฉม/ปรับรุ่นปีรถปิคอัพขนาดกลาง Honda Ridgeline อีกครั้ง โดยตัวรถยังคงอยู่ในช่วงชีวิตของ Ridgeline เจนเนอรชั่น 2 ซึ่งเริ่มทำตลาดในช่วงปี 2017 ไฮไลท์สำคัญคือการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ TrailSport ซึ่งจะเพิ่มความสามาถในการลุยทางฝุ่นให้สมชื่อรุ่น
● Ridgeline TrailSport ตกแต่งแบบเฉพาะรุ่นด้วยกระจังหน้าสีดำ พร้อมตราสัญลักษณ์ TrailSport สีส้ม, สีตัวถังเฉพาะรุ่น ฟ้า Diffused Sky Blue, ตัวอักษร Ridgeline สีดำบนฝากระโปรงท้าย, ล้อ 5 ก้านขนาด 18 นิ้วจับคู่ยาง General Grabber™ ดอก all-terrain, เพิ่มเพลทปกป้องชิ้นส่วนใต้ท้องรถ ปิดท้ายด้วยการอัพเกรดเพลา, ชุดแดมเปอร์, สปริง และกันโคลงใหม่ให้เหมาะกับการขับออฟ-โรด (แบบเบาะๆ)
● ส่วนรุ่นย่อยอื่นๆ ในไลน์อัพรุ่นปี 2024 จะได้รับการอัพเกรดอุปกรณืมาตรฐานหลายรายการ อาทิ มาตรวัดดิจิทัลรุ่นใหม่ขนาด 7 นิ้ว, จอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์รุ่นใหม่ขนาด 9 นิ้ว, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนด้วย Android Auto หรือ Apple CarPlay, ถาดชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และที่วางแขนตรงกลางแบบใหม่ซึ่งมีขนาดใหญ่และลึกขึ้น สามารถเก็บแท็บเลทได้
● รุ่นเครื่องยนต์ไม่เปลี่ยนแปลง ตัวรถใช้เครื่องยนต์เบนซินตระกูล Earth Dreams แบบ V6 N/A i-VTEC ความจุ 3.5 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะของ ZF ไม่มีออปชั่นเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะอีกต่อไป กำลังสูงสุดผลิตได้ 284 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 36.1 กก.-ม.
● รุ่น All-wheel drive มีตัวช่วยในการจัดสรรแรงบิดด้วยระบบอิเลคทรอนิคส์ i-VTM4 หรือ Intelligent Variable Torque Management ด้านการบรรทุกสัมภาระ Ridgeline รองรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 718 กก. และมีประสิทธิภาพในการลากจูงสูงสุด 2,268 กก. เพียงพอสำหรับพาครอบครัวหรือเพื่อนๆ ไปเที่ยวในวันหยุดแบบเส้นทางไม่ดุเดือดมากนัก
● ชุดระบบความปลอดภัย Honda SENSING มีระบบ Collision Mitigation Braking System เตือนการชนรถและคนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรค, ระบบ Adaptive Cruise Control ควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ, ระบบ Road Departure Mitigation System เตือนและช่วยดึงพวงมาลัยกลับเมื่อออกนอกเลน และระบบ Lane Keeping Assist System ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน
● ฮอนด้าจะเริ่มจำหน่าย Ridgeline รุ่นปี 2024 ในสหรัฐฯ ช่วงเดือนธันวาคม 2023 เป็นต้นไป ราคาจำหน่ายยังไม่ระบุครับ… ส่วนรุ่นปัจจุบันราคาอยู่ในช่วง 38,800 – 46,230 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.4 – 1.7 ล้านบาทครับ ●