
2016 Mitsubishi Mirage-Attrage ประหยัดและปลอดภัย
เรื่อง : สุพรรณี ยังอยู่ • ภาพ : Mitsubishi ประเทศไทย
• มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เริ่มทำตลาดรถยนต์อีโคคาร์ ประมาณต้นปี 2555 โดยเปิดตัวรถ 5 ประตู Mitsubishi Mirage ภายใต้โครงการ Global Small และทิ้งระยะประมาณกลางปี 2556 มีการเปิดตัวรถยนต์ 4 ประตู Mitsubishi Attrage อีกครั้ง ทั้ง 2 รุ่นได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยมียอดขายรวมกว่า 550,000 คัน แบ่งเป็นยอดขายในประเทศประมาณ 126,000 คัน และต่างประเทศประมาณ 424,000 คัน
• คุณอนงค์ ศุภราวงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักสื่อสารการตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
• ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา อีโคคาร์ ทั้ง 2 รุ่นก็มีการปรับโฉมทั้งภายนอกและภายใน พร้อมเพิ่มระบบความปลอดภัยที่มีในรถยนต์ขนาดใหญ่อย่าง Mitsubishi Pajero Sport ถูกนำมาติดตั้งในรถยนต์ขนาดเล็กทั้ง 2 รุ่นอีกด้วย ล่าสุดกลางเดือนมิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ได้เชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบอีโคคาร์ทั้ง 2 รุ่น เส้นทางกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา ระยะทางรวมประมาณ 195 กิโลเมตร ขับแบบท่องเที่ยวสบายๆ สนุกสนาน และได้ความรู้ ภายใต้ชื่อกิจกรรม ‘ Mitsubishi ECO Fun Drive : ขับสนุก สุดประหยัด กับมิตซูบิชิ มิราจ และแอททราจ ใหม่’
• เช้าเริ่มกิจกรรมกันที่ร้านอาหาร The Cavalry Club ร้านอาหารสไตล์ไทย-อเมริกัน ย่านซอยอารีย์ สนามเป้า หลังจากลงทะเบียน ฟังบรรยายผลิตภัณฑ์และเส้นทาง มีการแบ่งกลุ่มสื่อมวลชน โดยรถยนต์ที่นำไปทดสอบครั้งนี้มีทั้งหมด 8 คัน มิตซูบิชิ มิราจ 5 คัน และ แอททราจ 3 คัน มอเตอร์ทริเวียโดยสารมิตซูบิชิ มิราจ รุ่น GLS-LTD เกียร์อัตโนมัติ CVT โดยเพื่อนสื่อมวลชนรับหน้าที่เป็นผู้ขับจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายวัดจีนประชาสโมสร (วัดเล่งฮกยี่) เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และร่วมมอบข้าวสาร เนื่องจากวัดแห่งนี้รับอุปการะผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีญาติพี่น้องดูแล ใช้เส้นทางพิเศษศรีรัชหรือทางด่วนขั้นที่ 2 (ด่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) มุ่งหน้าทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (กรุงเทพ-ชลบุรี สายใหม่) และใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 314 เพื่อไปยังจุดหมาย ถนนเส้นนี้มีจำนวนรถบรรทุกพ่วงค่อนข้างเยอะ การใช้ความเร็วจึงทำได้ค่อนข้างยาก และจำนวนสัญญาณไฟจราจรค่อนข้างมาก เนื่องจากมีจุดตัดแยกบนถนนหลายจุด ทำให้การขับแบบขบวนลำบากเช่นกัน ต้องมีการจอดข้างทางเพื่อรอเพื่อนสื่อมวลชนเป็นระยะ
• วัดจีนประชาสโมสร (วัดเล่งฮกยี่) ตั้งอยู่บนถนนศุภกิจ ตำบลบ้านใหม่ ห่างจากศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา 1 กิโลเมตร เป็นวัดจีนในพุทธศาสนานิกายมหายานที่ขยายมาจากวัดเล่งเน่ยยี่ กรุงเทพมหานคร สร้างประมาณปี พ.ศ.2449 โดยหลวงจีนชกเฮ็ง ซึ่งเป็นศิษย์ของวัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี เพื่อเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา และทรงพระราชทานนามว่า ‘วัดจีนประชาสโมสร’ หมายถึงวัดแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมของคนจีน
• ส่วนชื่อภาษีจีนว่า ‘เล่งฮกยี่’ คำว่า เล้ง หรือ เล่ง หมายถึง มังกร คำว่า ฮก หมายถึง วาสนา โชคลาภ ความมั่งมีศรีสุข ส่วนคำว่า ยี่ หมายถึง อารามหรือวัด จึงมีผู้เรียกวัดแห่งนี้ว่า มังกรวาสนา หรือ มังกรแห่งโชค ตามหลักฮวงจุ้ยจีน
• วัดแห่งนี้มีความโดดเด่นอยู่ที่พระประธานทั้ง 3 องค์ นำเข้ามาจากประเทศจีนและวัสดุที่นำมาสร้างองค์พระนั้นทำจากกระดาษทั้งหมด หรือเรียกว่า ‘เปเปอร์มาเช่’ จึงทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 6 กิโลกรัมต่อองค์ นอกจากนั้นยังมีรูปหล่อ 18 อรหันต์ที่ตั้งอยู่ในตู้กระจก วัสดุที่นำมาใช้จากกระดาษเช่นกัน น้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัมต่อองค์
• วัดแห่งนี้เป็นตำแหน่งท้องมังกร ส่วนตำแหน่งหัวมังกรอยู่ที่วัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ที่คุ้นหูกัน ตั้งอยู่ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร ส่วนหางมังกรนั้นอยู่ที่วัดมังกรบุปผาราม หรือวัดเล่งฮัวยี่ ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท จังหวัดจันทบุรี
• วัดทั้งสามแห่งมีตำแหน่งของมังกรพาดผ่านดินแดนแห่งความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ เยาวราชดินแดนแห่งการค้าขาย เมืองแปดริ้วดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร และจันทบุรีเมืองแห่งอัญมณีพลอย คนจีนสมัยก่อนจึงมีความเชื่อว่า ถ้าได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งจะได้รับชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศ และปราศจากโรคภัย
• เสร็จสิ้นภาระกิจทำบุญไหว้พระในช่วงเช้าก็ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันที่ร้านเรือนร่มไทรใช้เวลาเดินทางเกินเวลาที่กำหนดเล็กน้อย เนื่องจากต้องขับผ่านชุมชนในเมือง จึงมีจำนวนรถยนต์ รถจักรยานยนต์และผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน ถนนจากสองเลนก็เหลือเลนเดียว เนื่องจากมีการจอดรถริมถนนยาวทั้งฝั่งถนน ใช้เวลารับประทานอาหารกลางวันตามเวลาที่กำหนด ออกเดินทางไปทำบุญไหว้พระกันต่อที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือเรียกกันติดปาก คุ้นหูว่า ‘วัดหลวงพ่อโสธร’ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึงจุดหมาย
• วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง ริมแม่น้ำบางปะกง เดิมชื่อว่า ‘วัดหงส์’ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ตามประวัติเดิมนั้นชื่อวัดหงส์ เพราะมี เสาหงส์อยู่ในวัด โดยมีลักษณะเสาสูงมีตัวหงส์ตั้งอยู่บนยอดเสา ต่อมาตัวหงส์หัก จึงมีคนนำธงขึ้นไปแขวนแทน จึงชื่อว่า ‘วัดเสาธง’ และเวลาผ่านไปเสาธงหักเป็นสองท่อน จึงใช้ชื่อใหม่ว่า ‘วัดเสาธงทอน’
• มีประวัติเล่าสืบทอดกันอีกว่า เมื่อเวลาผ่านไปแม่น้ำบางปะกงไหลกัดเซาะตลิ่งพัง จึงสร้างวัดขึ้นมาใหม่ ส่วนชื่อ ‘วัดโสธร’ นั้นมีความหมายว่า บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่ประดิษฐานองค์ ‘หลวงพ่อพุทธโสธร’ จึงเรียกตามพระนามของพระพุทธโสธรหรือหลวงพ่อโสธร องค์หลวงพ่อพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวแปดริ้ว และเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้างตามประวัติเล่าว่าได้ปาฎิหาริย์องค์พระพุทธรูปลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ ซึ่งเดิมเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้างศอกเศษ และมีรูปทรงที่สวยงาม แต่พระสงฆ์ในวัดเกรงมีผู้คนลักขโมยจึงนำปูนมาพอกเสริมหุ้มองค์พระเดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน
• แต่เดิมวัดแห่งนี้เป็นวัดราษฎร์ ภายหลังได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร มีนามว่า ‘วัดโสธรวรารามวรวิหาร’ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2501
• ในปี พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้ ทรงมีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบและสภาพที่ทรุดโทรมของพระอุโบสถเดิม จากนั้นพระจริปุณโญ (หลวงพ่อเจียม) อดีตเจ้าอาวาสจึงรวบรวมเงินบริจาค เพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง
• การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่มีรูปทรงแบบสมัยรัตนโกสินทร์ประยุกต์ โดยใช้เทคนิควิศวกรรมสมัยใหม่สร้างครอบพระอุโบสถหลังเดิม เนื่องจากตำแหน่งที่ประดิษฐานขององค์พระนั้น เป็นตำแหน่งที่มีความเชื่อว่าทำให้บ้านเมืองฉะเชิงเทราเจริญรุ่งเรือง จึงมีข้อจำกัดในการก่อสร้าง ห้ามเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อโสธร และพุทธรูปทั้ง 18 องค์ แม้แต่นิดเดียว ทั้งทางราบ และทางดิ่ง
• การนมัสการหลวงพ่อโสธรนั้น แบ่งพระอุโบสถเป็น 2 หลัง พระอุโบสถหลังใหม่ ประดิษฐานหลวงพ่อโสธรองค์จริง ส่วนพระอุโบสถที่ตั้งด้านข้างนั้น ประดิษฐานหลวงพ่อโสธรองค์จำลอง สำหรับผู้ที่ต้องการแก้บนให้ใช้สถานที่พระอุโบสถด้านข้างแทน เนื่องจากพระอุโบสถหลังใหม่ไม่อนุญาตให้จุดธูปเทียนบูชาองค์พระ เฉพาะกราบไหว้เท่านั้น
• ภาระกิจทำบุญไหว้พระช่วงบ่ายเสร็จสมบูรณ์ เตรียมเดินทางต่อไปยังจุดกิจกรรมสุดท้ายของการเดินทางคือ มินิ มูร่าห์ ฟาร์ม (Mini Murrah Farm) ฟาร์มควายนมเชิงท่องเที่ยวแห่งแรกในประเทศไทย มอเตอร์ทริเวีย รับหน้าที่เป็นผู้ขับ ระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร จากกำหนดการใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที แต่เกินเวลาเล็กน้อย เนื่องจากขับผ่านตัวเมืองที่มีความวุ่นวายเล็กน้อย สภาพการจราจรจึงหนาแน่น
• เส้นทางไปยังจุดหมายนั้น มีการก่อสร้างถนนเป็นระยะ จำนวนรถบรรทุกพ่วงค่อนข้างมาก และบางช่วงเป็นถนน 2 เลนสวน จึงต้องเหยียบคันเร่งแบบคิ๊กดาวน์ เพื่อเร่งแซงบ้าง ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 10.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันไอดี MIVEC (Mitsubishi Innovation Valve Timing Electronic Control) ที่ช่วยให้แรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ พร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ช่วยรักษารอบเครื่องยนต์และช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น มาพร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS-III (Intelligent and Innovative Vehicle Electronic Control System III) เพื่อช่วยวิเคราะห์และจำลักษณะพฤติกรรมการขับของแต่ละบุคคล ก็พามาถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย
• มินิ มูร่าห์ ฟาร์ม (Mini Murrah Farm) ฟาร์มควายนมเชิงท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดในอำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา คงไว้ซึ่งบรรยากาศแบบฟาร์มชนบทแห่งแรกในประเทศไทย ถูกสร้างขึ้นจากความมุ่งมั่นและตั้งใจของคุณรัญจวน เฮงตระกูลสิน ผู้ริเริ่มฟาร์มเลี้ยงควายนม พันธุ์มูร่าห์ ในปี พ.ศ.2546 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ มินิ มูร่าห์ ฟาร์ม เป็นฟาร์มปศุสัตว์อินทรีย์ (Organic Farm) ต้นแบบ ที่สนับสนุนการเลี้ยงควายนมพันธุ์มูร่าห์ให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจของประเทศไทย และสามารถผลิตน้ำนมได้คุณภาพสูง ตามมาตรฐานคุณสมบัติของนมอินทรีย์สากล (Organic Milk) โดยนำต้นแบบการพัฒนาการบริหารจัดการฟาร์มมาจากประเทศอิตาลี นำมาปรับใช้ให้เข้ากับสภาพอากาศและภูมิประเทศไทย
• ควายพันธุ์มูร่าห์ เป็นสายพันธุ์ที่ให้น้ำนมได้ดีที่สุด มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย ลักษณะลำตัวสีดำ หน้าผากนูน เขาสั้นและม้วนงอ เมื่อโตเต็มวัยตัวผู้มีน้ำหนักประมาณ 550 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียน้ำหนักประมาณ 450 กิโลกรัม วัยเจริญพันธุ์อายุสามปีครึ่งถึงสี่ปีครึ่ง โดยแม่พันธุ์ 1 ตัว สามารถผลิตน้ำนมได้ประมาณ 1,300 – 2,300 ลิตรต่อรอบ และยังให้น้ำนมได้นาน 8-10 เดือน
• ก่อนกลับร่วมทำกิจกรรมสนุกๆ พิสูจน์ฝีมือกับเมนูไอศกรีมจากนมควาย และพิซซ่า โดยมีอาจารย์จากทางร้านบรรยายขั้นตอนการผลิต และเจ้าหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ เครื่องปรุงทุกชนิดถูกชั่งตวงตามสูตรมาเรียบร้อย สื่อมวลชนมีหน้าที่ผสมเครื่องปรุงเข้ากันเพื่อผลิตให้เป็นไอศกรีมและพิซซ่าเท่านั้น หลังจากพิสูจน์ฝีมือกันเป็นที่เรียบร้อย ทีมงานจากมิตซูบิชิเผื่อเวลาให้เดินชมทัศนียภาพรอบๆ ฟาร์ม พักผ่อนกันพอสมควรได้เวลาเดินทางกลับไปยังร้านอาหาร The Cavalry Club เพื่อพบปะพูดคุยกับผู้บริหารฯ และร่วมรับประทานอาหารเย็น
• Mirage / Attrage : ประหยัดน้ำมันสูงสุด 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร จากผลการทดสอบในห้องปฎิบัติการตาม Combine Mode ที่ระบุไว้ในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg.101 Rev.02 ในรุ่น GLX CVT ซึ่งถือว่ามีความประหยัด ถ้าใช้ความเร็วช่วง 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รักษารอบและความเร็วคงที่ ตัวเลขการประหยัดน้ำมันน่าจะใกล้เคียงตามที่บริษัทระบุ แต่เนื่องจากการใช้งานทดสอบครั้งนี้จังหวะความเร็วขึ้น-ลง ตามสภาพการจราจร ความเร็วที่ใช้ช่วง 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ประมาณ 15 กิโลเมตรต่อลิตร ไฟแสดงผลการขับแบบประหยัด สัญญาณไฟ ECO สีเขียวก็ยังคงสว่างอยู่
• สำหรับอัตราการปล่อยมลพิษ มิตซูบิชิ มิราจ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 98 กรัมต่อกิโลเมตร ในขณะที่ มิตซูบิชิ แอททราจ อยู่ที่ 99 กรัมต่อกิโลเมตร (จากผลการทดสอบในห้องปฎิบัติการที่วัดตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg.101 Rev.02 ในรุ่น GLX CVT)
• ระบบความปลอดภัยประกอบด้วย ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วในช่วงความเร็วต่ำ FCM-LS (Forward Collision Mitigation System-Low Speed Range) โดยระบบจะประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่าเคลื่อนที่เข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป หรือมีความเสี่ยงที่จะชน ระบบจะแสดงสัญลักษณ์พร้อมเสียงเตือน และช่วยชะลอความเร็ว แต่จะมีผลในช่วงความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะกับการใช้งานในเมือง เช่นสภาพการจราจรหนาแน่น ช่วยลดอุบัติเหตุได้อีกระดับหนึ่ง มอเตอร์ทริเวียคิดว่าการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ก็คงเหยียบเบรกตามสัญชาตญาณ ระบบคงยังไม่ได้ทำงานแน่
• การใช้รถใช้ถนนในชีวิตประจำวัน คงมีบ้างที่ผู้ใช้รถหันไปหยิบของ หรือละสายตาจากเส้นทางชั่วขณะในช่วงการจราจรหนาแน่น ก็คงได้ใช้งานระบบนี้แน่ แต่ใจไม่กล้าพอที่ทดลองระบบนี้กับรถคันหน้าอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ระบบนี้จะมีให้เฉพาะรุ่น GLS-LTD และ GLS
• ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (เฉพาะด้านหน้า) RMS-FORWARD (Rader Sensing Misacceleration Mitigation System-Forward) ระบบตรวจจับวัตถุด้านหน้าระยะห่างไม่เกิน 4 เมตร หากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะแสดงสัญลักษณ์พร้อมเสียงเตือน และตัดกำลังเครื่องยนต์อัตโนมัติชั่วขณะ เพื่อให้ผู้ขับสามารถเหยียบเบรกได้ทัน ช่วยลดอุบัติเหตุจากการชน มีผลที่ความเร็วไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีให้เฉพาะรุ่น GLS-LTD และ GLS เช่นกัน
• สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ นั้น ถุงลมนิรภัยคู่หน้าจะมีให้ทุกรุ่นย่อย, ระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติ Welcome Light System เมื่อปลดล็อครถ ยกเว้นรุ่น GL, ระบบ Coming Home Light System ไฟนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ มีทุกรุ่นย่อย, ระบบ ESS ไฟกระพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal System) สัญญาณไฟกระพริบทำงานต่อเนื่องจนกว่าจะปล่อยเบรก หรือรถยนต์หยุดสนิท เพื่อเป็นการแจ้งเตือนรถยนต์คันหลัง มีทุกรุ่นย่อย
• นอกจากนี้ ระบบเบรค ABS – EBD และ BA, ระบบควบคุมการทรงตัวและลื่นไถล ASC – Active Stability Control, ระบบ HSA ช่วยออกตัวบนถนนลาดชัน มีให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ภายนอกโดดเด่น
• มิตซูบิชิ มิราจ รุ่นปี 2016 มีการการออกแบบกระโปรงหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้า-หลังใหม่ เพิ่มสีแดงมาตรฐาน Wine Red, สีส้ม Sunrise Orange และสีเทา Titanium Gray ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-Xenon HID และไฟหรี่แบบ Spectrum LED มีเฉพาะรุ่น GLS-LTD และ GLS ส่วนสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED มีเฉพาะรุ่น GLS-LTD, GLS และ GLX
• ภายในตกแต่งด้วยวัสดุโทนสีดำแบบ Piano Black เฉพาะรุ่น GLS-LTD, GLS และ GLX เบาะสไตล์สปอร์ตผ้าสีดำเย็บด้ายสีเงิน มีเฉพาะรุ่น GLS-LTD และ GLS ส่วนพวงมาลัยหุ้มหนัง 3 ก้าน ตกแต่งด้วยโครเมี่ยมสลับ Piano Black มีเฉพาะรุ่น GLS-LTD และ GLS
• ปัจจุบัน มิตซูบิชิ มิราจ แบ่งการจำหน่ายเป็น 5 รุ่นย่อย GLS-LTD เกียร์อัตโนมัติ CVT, GLS เกียร์อัตโนมัติ CVT, GLX เกียร์อัตโนมัติ CVT, GLX เกียร์ธรรมดา และ GL เกียร์ธรรมดา ราคาเริ่มที่ 383,000 – 587,000 บาท
• ส่วน มิตซูบิชิ แอททราจ มี 4 รุ่นย่อย GLS-LTD เกียร์อัตโนมัติ CVT, GLS เกียร์อัตโนมัติ CVT, GLX เกียร์อัตโนมัติ CVT และ GLX เกียร์ธรรมดา ราคาเริ่มที่ 456,000 – 594,000 บาท รุ่นที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดคือรุ่น GLS •
ขอบคุณ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง
2016 Mirage-Attrage Trip