June 7, 2020
Motortrivia Team (10242 articles)

Mercedes A 200 AMG Dynamic ไซส์เล็ก สเปคไม่ธรรมดา

เรื่อง-ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

●  เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดตัวรถหรูรุ่นเล็ก A-Class เจนเนอเรชั่นที่ 4 รหัสตัวถัง V177 สานต่อความสำเร็จหลังจากเปิดตัว A-Class รุ่นแรกในเจนีวา มอเตอร์โชว์ ปี 1997 หรือกว่า 20 ปีที่แล้ว ทำตลาดในเมืองไทยด้วยรุ่น A 200 AMG Dynamic มาพร้อมชุดแต่ง AMG รอบคันทั้งภายนอกและภายใน เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 1,332 ซีซี 163 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า ราคา 2.49 ล้านบาท

เสริมสวยด้วยชุดแต่ง AMG

●  A 200 AMG Dynamic เป็นซีดานทรงสปอร์ตขนาดกะทัดรัด เน้นทรงแบนลาดต่ำ ทะมัดทะแมงคล่องตัว โอเวอร์แฮงค์หน้าและหลังค่อนข้างสั้นอยู่ในช่วง 900 มิลลิเมตร ตัวรถมีความยาว 4,556 มิลลิเมตร กว้าง 1,796 มิลลิเมตร สูง 1,425 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,729 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1,300 กิโลกรัม

●  รูปลักษณ์ภายนอกเป็นผลงานจากปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity ตัวรถมีความโค้งมน เสริมด้วยเส้นสายที่เฉียบคมให้มุมมองที่โฉบเฉี่ยว ด้านหน้าดุดันเอาเรื่องด้วยไฟหน้าทรงเฉียง ระบบส่องสว่างแบบ LED High Performance เวลาเปิดจะค่อยๆ เพิ่มความสว่าง เปิด-ปิดและปรับระดับอัตโนมัติ ขอบบนของชุดโคมเป็นไฟ Daytime แบบ LED สีขาว ที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อเปิดไฟเลี้ยว ไม่ทิ้งความหรูด้วยกระจังหน้า Diamond Grill แบบ 3 มิติ ตรงกลางเป็นโลโก้ดาวสามแฉกขนาดใหญ่ ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับระบบ ABA หรือ Active Brsake Assist ช่วยเบรกแบบแอคทีฟ เน้นความสปอร์ตให้เด่นชัดยิ่งขึ้นด้วยกันชนหน้า AMG

●  ด้านข้างมีเส้นตัวถังลากยาวจากไฟหน้าจรดไฟท้าย และเส้นด้านล่างที่ลากไปต่อเนื่องกับแนวรอยต่อของกันชนหลังกับตัวถัง เสริมด้วยสเกิร์ตข้างทรงเรียบ ติดตั้งล้อแม็กลาย 5 ก้านคู่จาก AMG สี Tremolite Grey ล้อลายโปร่งโชว์คาลิเปอร์เบรกหน้าประทับตรา Mercedes-Benz ]ยางรันแฟลตขนาด 225/45 R18 เท่ากันทั้งหน้าและหลัง กระจกมองข้างติดตั้งบนตัวถังมาพร้อมปลายที่เป็นกระจกมุมกว้างลดจุดบอด ฝั่งผู้ขับเป็นแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ และพับเก็บเมื่อล็อกรถ

●  ด้านท้ายเรียบๆ ด้วยชุดไฟท้ายทรงมนแบบ LED ฝากระโปรงท้ายยกสันเล็กน้อยคล้ายเป็นสปอยเลอร์ในตัว กันชนท้ายแบบ AMG มีครีบ Diffuser ที่ด้านล่าง ประกบข้างด้วยปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม ส่วนปลายท่อจริงซ่อนอยู่ใต้ท้องรถ ตรงนี้อาจจะดูหลอกไปนิด แต่ก็มีข้อดีคือ ตัวรถจะไม่เปื้อนเขม่าหรือคราบความร้อนเมื่อใช้งานไปนานๆ

โอบล้อมด้วยความสปอร์ตหรู

●  ภายในสไตล์เบนซ์ยุคใหม่ มีหน้าจอขนาดขนาด 10.25 นิ้ว 2 จอ ต่อเนื่องกัน มาตรวัดเป็นแบบ All-digital instrument display ปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลากหลายด้วยปุ่ม Touchpad บนพวงมาลัยฝั่งขวา ส่วนจอฝั่งซ้ายที่อยู่บนคอนโซลกลางเป็นจอสัมผัส ควบคุมได้จากพวงมาลัยฝั่งซ้าย หรือจะให้ผู้โดยสารด้านหน้าช่วยสั่งงานให้ก็ได้ผ่าน Touchpad ระหว่างเบาะคู่หน้า

●  ชุดจอแสดงผลที่นอกจากจะออกแบบต่อเนื่องเป็นชิ้นเดียวกันแล้ว การแสดงผลยังคมชัดสวยงามสบายตา ปรับความสว่างได้ด้วยสวิตช์ที่รวมอยู่กับชุดควบคุมไฟหน้าและเบรกมือไฟฟ้าติดตั้งฝั่งขวาของผู้ขับ ฝั่งที่เป็นระบบสัมผัสก็ตอบสนองการทำงานได้อย่างรวดเร็วไหลลื่น โดยส่วนตัวแล้วใช้ถนัดกว่า Touchpad เพียงแต่ต้องเอื้อมแขนบ้าง จอที่คอนโซลกลางเป็นศูนย์กลางการควบคุมและปรับแต่งระบบต่างๆ ของรถ และเป็นจอแสดงผลจากกล้องมองหลังด้วย ส่วนจอที่ทำหน้าที่เป็นชุดมาตรวัดก็ปรับการแสดงผลได้หลากหลายเช่นกัน แต่ใช้ระบบสัมผัสไม่ได้

●  พวงมาลัยทรงสปอร์ตขอบล่างปาดตรง หุ้มหนังรูบริเวณที่จับบ่อยๆ เพิ่มความกระชับ เป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น มี Paddle Shift ปรับได้ 4 ทิศทางด้วยระบบกลไกไม่ใช่ไฟฟ้า ก้านที่คอพวงมาลัยฝั่งซ้ายใช้ควบคุมไฟเลี้ยว ไฟสูง-ต่ำ และที่ปัดน้ำฝนที่เปิด-ปิดการทำงานด้วยการหมุนและกดที่หัวก้าน อาจไม่สะดวกเท่าการโยกก้านขึ้น-ลง แต่ก็ลดโอกาสการเปิดที่ปัดน้ำฝนโดยไม่ตั้งใจ ส่วนก้านบนคอพวงมาลัยฝั่งขวาเป็นคันเกียร์ โยกขึ้นลงเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งและกดที่หัวก้านเพื่อเข้าเกียร์ P ถ้าเคยชินกับการขับรถยนต์ญี่ปุ่นมาก่อน อาจเผลอโยกคันเกียร์เมื่อต้องการเปิดไฟเลี้ยว แต่ระบบจะเซฟไว้ให้ ไม่ยอมให้เข้าเกียร์ไปตำแหน่งที่สวนทางกับการขับเคลื่อน อย่างมากก็เผลอเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่าง

●  อีกหนึ่งระบบความปลอดภัยที่ดีคือ ถ้าอยู่ในเกียร์ D แล้วเปิดประตูฝั่งผู้ขับ เกียร์จะเปลี่ยนเป็น P และเบรกมือทำงานอัตโนมัติ การปลดเบรกมือจะใช้วิธีเหยียบเบรก เข้าเกียร์ แล้วเหยียบคันเร่งก็ได้ ไม่ต้องปลดที่สวิตช์เบรกมือไฟฟ้า ส่วนระบบเบรก HOLD ไม่ต้องเปิดสวิตช์ แค่เหยียบเบรกให้รถหยุดนิ่ง แล้วกดเบรกให้ลึกอีกนิด สัญลักษณ์ HOLD โชว์บนชุดมาตรวัด ก็ปล่อยเท้าจากแป้นเบรกได้ ถ้าต้องการขยับรถก็แค่แตะคันเร่งเบาๆ ระบบก็จะปลดเบรกให้อย่างนุ่มนวล

●  ด้านล่างของจอที่คอนโซลกลาง เป็นช่องแอร์ทรงกลมออกแบบคล้ายเครื่องยนต์เจ็ต ปิดลมได้ด้วยการหมุน มีปุ่ม Start เครื่องยนต์และปุ่มปิดระบบ Auto Stop สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วก็ปิดระบบ Auto Stop ได้เลย เพราะไม่ค่อยเหมาะกับสภาพการจราจรเมืองไทยเท่าไร ชุดสวิตช์ควบคุมแอร์หน้าตาเรียบง่าย เป็นสวิตช์โยกขึ้น-ลง และแสดงผลบนหน้าจอที่คอนโซลกลาง

●  คอนโซลเกียร์มีที่เก็บของขนาดใหญ่พร้อมฝาปิด และ Touchpad ควบคุมหน้าจอ เป็นแบบมีการสั่นตอบสนองเมื่อแตะสั่งงาน ที่เท้าแขนกลางเบาะคู่หน้าพอใส่ของเล็กๆ น้อยๆ ได้ เพราะต้องแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และช่องจ่ายไฟฟ้าแบบ USB-C ขนาด 5V

●  ภายในตกแต่งด้วยหนังแท้ ARTICO และ DINAMICA microfiber เย็บด้ายแดงดูสปอร์ต เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้าพร้อมดันหลังไฟฟ้า มีหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง และมีที่รองขาแบบปรับมือ หมอนรองศีรษะปรับระยะใกล้-ไกลได้ ส่วนเบาะผู้ขับปรับมือด้วยการหมุนเพื่อปรับเอน แผงประตูให้อารมณ์สปอร์ตดิบๆ ด้วยการใช้หนังกลับ ตัดด้ายแดงและสีเงินของโครเมียม เบาะผู้ขับแม้จะออกแนวสปอร์ต แต่ก็ไม่ถึงกับโอบกระชับจนอึดอัด และสามารถปรับสูง-ต่ำได้มาก เพื่อให้รองรับสรีระได้หลากหลาย เนื่องจากรถออกแบบให้ลาดต่ำแบบสปอร์ตซีดาน การเข้า-ออกจากห้องโดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังจึงต้องมีการก้มและมุดนิดๆ ถ้าเป็นผู้สูงวัยไขข้อไม่ค่อยดี อาจไม่ได้รับความสะดวกนัก

●  ปรับเบาะผู้ขับให้พอดีสำหรับความสูง 169 เซนติเมตรแล้ว ลองย้ายไปนั่งเบาะหลังฝั่งผู้ขับ ยังมีพื้นที่วางขาประมาณ 1 กำปั้น พนักพิงปรับความชันมาพอเหมาะ เมื่อนั่งพิงเต็มหลังพื้นที่เหนือศีรษะจะเหลือประมาณ 3 นิ้ว มีที่เท้าแขนพร้อมที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บ พนักพิงเบาะหลังพับได้ด้วยการดึงคันโยกในห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง แต่เมื่อพับลงมาแนบกับเบาะนั่งแล้วก็ไม่ถึงกับเรียบเสมอกับพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ที่มีความกว้างและความสูงพอตัว แต่ได้เรื่องความลึกที่ถ้าวางของไว้ด้านในสุดชิดเบาะ คงต้องเอื้อมกันสุดแขน การเปิดฝาท้ายทำได้ด้วยการกดสวิตช์ที่แผงประตูฝั่งผู้ขับหรือที่รีโมทคอนโทรล

●  ตอนกลางคืนรถรุ่นนี้จะให้ความแพรวพราวทั้งจากไฟหน้าจอ และไฟส่องสว่างล้อมรอบห้องโดยสาร ที่สามารถปรับเปลี่ยนและผสมสีเองได้ถึง 64 สี เลือกได้ทั้งแบบสีเดียวและทูโทน สามารถปรับความสว่างได้ เป็นลูกเล่นเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นโดยเฉพาะ อุปกรณ์มาตรฐานเดียวที่คิดว่าไม่ควรขาดหายไปคือ ระบบ Keyless Entry ทำให้การล็อกและปลดล็อกรถ ยังต้องสั่งงานผ่านรีโมทคอนโทรลอยู่

เครื่องเล็กแต่สเปคไม่ธรรมดา

●  เครื่องยนต์ใหม่รหัส M 282 พัฒนาโดยร่วมมือกับเรโนลต์ เป็นแบบเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1.33 ลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์เดิมที่มีความจุ 1.6 ลิตร เครื่องยนต์ใหม่ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งบล็อก มีกำลังมากขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ และมีกำลังสูงสุดต่อความจุ 1 ลิตร เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ เครื่องยนต์ใหม่บล็อกนี้มีทั้งขนาดที่กะทัดรัด น้ำหนักเบา และมีความแข็งแรงมากขึ้น ควบคุมแรงดันของเทอร์โบชาร์จด้วยเวสเกตไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่นสูง ปรับแรงดันภายในเทอร์โบได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และเหมาะสมกับลักษณะการขับ และเพื่อให้มีความฝืดน้อยที่สุด ผนังลูกสูบจึงถูกเคลือบด้วยสาร NANOSLIDE ลิขสิทธิ์เฉพาะของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่วนกระโปรงลูกสูบเคลือบด้วยกราไฟท์ Eco-Tough ลดแรงเสียดทานและต้านการสึกหรอ แหวนลูกสูบเคลือบ DLC หรือ diamond-like carbon ป้องกันรอยขีดข่วนและเป็นตัวนำความร้อนที่ดี ส่วนข้อเหวี่ยงและก้านสูบผลิตจากโลหะด้วยวิธีบีบอัดหรือ Forged

●  เสื้อสูบผลิตจากอะลูมิเนียมหล่อ ลดแรงเสียดทานด้วยการเคลือบด้วยไฟฟ้าแบบ TWAS หรือ twin-wire-arc-sprayed พร้อมเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตปลอกสูบทำให้มีน้ำหนักเบาลง ทำให้น้ำหนักรวมของเสื้อสูบเบาลง 5 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์รหัส M 270

●  อีกหนึ่งไฮไลต์ของเครื่องยนต์บล็อกใหม่นี้คือ ฝาสูบแบบ Delta มาจากรูปทรงที่เกือบเป็นสามเหลี่ยม แม้จะมีความสูงกว่าฝาสูบปกติเล็กน้อยเมื่อติดตั้งเข้ากับเครื่องยนต์ แต่ก็มีความกว้างน้อยกว่าและน้ำหนักเบากว่าฝาสูบแบบทั่วไป ซึ่งทำให้สามารถออกแบบท่อร่วมไอเสียหรือเฮดเดอร์เทอร์โบเป็นแบบรวมเป็นชิ้นเดียวกับฝาสูบ ซึ่งทำให้โครงสร้างของเครื่องยนต์ในส่วนนี้มีขนาดเล็กลง ใช้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบไดเร็คอินเจ็คชั่น แรงดันสูงสุด 250 บาร์ หัวฉีดแบบหลายรูติดตั้งกลางห้องเผาไหม้และฉีดโดยตรงไม่ผ่านวาล์วไอดี

●  M282 มีความจุจริง 1,332 ซีซี จากความกว้างกระบอกสูบ 72.2 มิลลิเมตร ช่วงชัก 81.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนการอัด 10.6:1 อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จแบบ Monoscroll พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ มีกำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ หรือ 163 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร หรือ 25.47 กก.-ม. ที่ 1,620-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ดูอัลคลัตช์ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยร่วมมือกับซัพพลายเออร์ GETRAG น้ำหนักเบาลง 67 กิโลกรัม มีการพัฒนาเพิ่มความแม่นยำทั้งในส่วนของกลไกและอิเล็กทรอนิกส์ ชุดคลัตช์เปียกควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอไฮรอกลิก ซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมคลัตช์รองรับโหมดการขับที่ปรับตั้งได้ทั้ง ECO, Comfort, Sport และ Individual และรองรับระบบ ECO start/stop ด้วย

●  รับรถมาแล้วเช็คโหมดการขับเป็นอันดับแรก เลือก Comfort เพื่อให้ขับง่ายนั่งสบาย เหมาะกับขับในเมืองที่ต้องเร่งสลับเบรกบ่อยครั้ง ควบคุมรถให้นุ่มนวลได้ง่าย โดยไม่สูญเสียอัตราเร่งในเวลาที่ต้องการ รอบต่ำเร่งทันใจแทบไม่มีอาการรอรอบ เพียงแต่ต้องจับจังหวะการกดคันเร่งให้ดี การกระทืบคันเร่งแบบพรวดพราดไม่ได้ทำให้รถรุ่นนี้วิ่งดีขึ้น ออกนอกเมืองทางโล่งนึกสนุกก็ปรับไปที่โหมด Sport รถกระฉับกระเฉงขึ้นด้วยรอบเครื่องนต์ที่ขยับสูงขึ้นเล็กน้อย กับเกียร์ที่เปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงช้าลงหน่อย พยายามคาเกียร์เดิมไว้ให้แม้จะผ่อนคันเร่งแล้ว โหมดนี้ได้ใช้ประโยชน์จาก Paddle Shift แบบเต็มๆ การเปลี่ยนเกียร์กระชับฉับไวตามแบบฉบับดูอัลคลัตช์

●  เกียร์เดินหน้า 7 จังหวะ บางคนอาจมองว่าน้อยไปนิด แต่ถ้าได้ลองขับจริงๆ จะรู้ว่าเหมาะสมกับบุคลิกของเครื่องยนต์และตัวรถ ที่เน้นการพุ่งทะยานต่อเนื่องแม้ในความเร็วสูง และที่เกียร์สูงสุดที่ 4,000 รอบต่อนาที ก็ทำความเร็วเกินกฎหมายกำหนดไปไกลแบบไม่รู้ตัวแล้ว อัตราเร่งมาแบบต่อเนื่อง ดึงเบาๆ ไม่หนักหน่วงจึงควบคุมง่าย รถเบนซ์รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้ตั้งชื่อรุ่นตามความจุหรือซีซี แต่ตั้งตามสมรรถนะของเครื่องยนต์ อย่าง A 200 หมายถึงความแรงสูสีกับเครื่องยนต์เบนซินไม่เทอร์โบขนาด 2,000 ซีซี ซึ่งดูจะเป็นการตั้งชื่อรุ่นที่ถ่อมตัวไปหน่อย เพราะขับแล้วรู้สึกว่าขับสนุกตอบสนองดีกว่าเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีแบบชัดเจน

●  ขับไป 77 กิโลเมตร ใช้เวลา 1.05 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ย 71 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 18.8 กิโลเมตรต่อลิตร ก่อนนำรถส่งคืนได้ลองอีกรอบ ระยะทาง 24 กิโลเมตร ใช้เวลา 23 นาที ความเร็วเฉลี่ย 61 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉี่ย 17.5 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าประหยัดพอตัว และเป็นข้อดีของเครื่องยนต์บล็อกเล็กที่เพิ่มกำลังด้วยระบบอัดอากาศ ถ้าขับช้าหรือใช้งานในเมืองก็จะไม่กินน้ำมันมากนัก และเมื่อต้องการความแรงก็แค่กดคันเร่ง

●  โดยรวมเป็นเครื่องยนต์ที่ขับแบบสปอร์ตได้สนุกพอสมควร เหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วไป เร่งแซงได้เฉียบคมปลอดภัย และขับให้ประหยัดได้ง่ายแบบไม่ต้องปั้น รอบต่ำตอบสนองทันใจ รอบสูงควบคุมง่าย เกียร์ฉลาดแม่นยำฉับไว

ช่วงล่างนุ่มแต่กระชับ

●  ระบบกันสะเทือนของ เอ-คลาส ใหม่ พัฒนาขึ้นโดยเน้นเรื่องความคล่องแคล่วฉับไวและความสะดวกสบาย ด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัต คอยล์สปริง พร้อมช็อคฯ แก๊ส ที่ใช้แกนช๊อคฯ แบบกลวงเพื่อลดน้ำหนัก ลูกปืนหัวช๊อคฯ ผลิตจากอะลูมิเนียม และเบ้ารับสปริงแบบเจาะรู เหล็กกันโคลงแบบกลวง ติดตั้งกับเข้ากับสตรัตในตำแหน่งที่มีการปรับปรุงใหม่

●  ในตลาดต่างประเทศ รุ่นเริ่มต้นอย่าง A 200 และ A 180 d ใช้ระบบกันสะเทือนหลังแบบทอร์ชั่นบีมรูปตัว U ที่ทำหน้าที่เป็นเหล็กกันโคลงไปในตัว และมีจุดยึดในตำแหน่งเดียวกับเทรลลิ่งอาร์มของรุ่นที่ช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์ สปริงและช๊อคฯ แบบโมโนทูป ออกแบบให้ติดตั้งแยกกันเช่นเดียวกับรุ่นมัลติลิงก์ ช๊อคฯ เชื่อมต่อกับตัวรถด้วยแบริ่งอะลูมิเนียมเพื่อลดแรงเสียดทาน

●  พวงมาลัยแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า ติดตั้งด้านหลังจุดศูนย์กลางของล้อหน้า มาพร้อมระบบ Steering Assistance ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เพิ่มความมั่นคงเมื่อหมุนพวงมาลัยด้วยอิเล็กทรอนิกส์เซอร์โว ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพของพวงมาลัยในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การเบรกรุนแรงบนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน ลดอาการทอร์คสเตียร์ อาการประจำตัวของรถขับเคลื่อนล้อหน้า ปรับพวงมาลัยให้รถวิ่งตรงเมื่อมีลมปะทะด้านข้าง

●  สำหรับ A 200 AMG Dynamic ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบ Lowered comfort suspension ลดความสูงลงรับกับล้อแม็ก ระยะห่างระหว่างซุ้มล้อกับยางกำลังสวย และยังคงความนุ่มนวล มีระยะยืดยุบที่พอเหมาะ และหนึบหนักแน่นกระชับไม่ยวบย้วย รู้สึกถึงความแข็งนิดๆ น่าจะเป็นที่ยางแบบรันแฟลท ที่ทำแก้มยางไว้ค่อนข้างแข็ง โดยรวมให้ความรู้สึกแน่นหนาแข็งแรงสไตล์รถยุโรปชั้นดี ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีพอสมควร และรองรับการขับแบบสปอร์ตได้อย่างมั่นใจ พวงมาลัยแปรผันน้ำหนักตามความเร็วได้อย่างชัดเจน เบาคล่องตัวที่ความเร็วต่ำ และหนักขึ้นเมื่อความเร็วสูง การหมุนพวงมาลัยราบเรียบต่อเนื่อง ระบบเบรกหายห่วง สร้างแรงเบรกได้หนักหน่วงมั่นคงและควบคุมการเบรกได้ง่าย เหลือเฟือกับแรงม้าที่มี

●  Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic สปอร์ตซีดานไซส์เล็กคล่องตัว เครื่องยนต์ 1.3 ลิตร เทอร์โบ อัดเทคโลโลยีมาให้เพียบ จึงไม่น่าเป็นห่วงเรื่องความทนทาน สมรรถนะเหลือๆ สำหรับใช้งานทั่วไป ขับสนุกทันใจ แถมได้ความประหยัดและมลพิษต่ำ รูปลักษณ์ภายนอกดุดันด้วยชุดแต่ง AMG ห้องโดยสารหรูหราล้ำสมัย และมีชีวิตชีวาเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น บางอุปกรณ์มาตรฐานที่น่าจะมีอาจขาดหายไปบ้าง แต่ที่ยังอยู่ครบถ้วนคือ การใช้วัสดุคุณภาพดี ให้สัมผัสที่หรูหรา ความกว้างขวางคงไม่ใช่ประเด็นสำหรับรถคลาสนี้ แต่ก็รองรับผู้โดยสารความสูงมาตรฐานชายไทยได้ 4 คนสบายๆ น่าสนใจถ้ารับได้กับราคานำเข้า 2.49 ล้านบาท   ●

2020 Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic : Test Drive