August 23, 2016
Motortrivia Team (10022 articles)

2017 Dodge Charger/Challenger ยืดอายุด้วย 5 รุ่นใหม่


Posted by : AREA 54

 

  ไครสเลอร์ต่ออายุให้กับมัสเซิลคาร์ตัวถังซีดานขับหลังพลังแรง Dodge Charger และโพนีคาร์ตัวถังคูเป้ Dodge Challenger ด้วยการปรับรุ่นปี และเติมความน่าสนใจด้วยการอัพเกรดอุปกรณ์พื้นฐานให้เพิ่มมากขึ้น เช่น ชุดลดความสูงช่วงล่าง เพิ่มประสิทธิภาพชุดเบรค ตกแต่งภายนอก-ภายในใหม่ โดยมีการนำชื่อ Daytona และ T/A กลับมาเสริมความขลัง (และราคา) อีกครั้ง

  Dodge Charger Daytona สีเหลืองสด ใช้พื้นฐานรุ่นปัจจุบันซึ่งนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 7 ในอนุกรม Charger แต่หากนับเฉพาะ Charger ยุคใหม่ที่พัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์ม LX และขยับคลาสขึ้นมาจากซับ-คอมแพคท์เป็นรถฟูลไซส์ในช่วงปี 2005 Charger รุ่นนี้จะนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 โดยรุ่นใหม่ปี 2017 จะแยกการจำหน่ายเป็น 2 รุ่น ประกอบด้วย Dodge Charger Daytona ซึ่งเป็นการกลับมาอีกครั้งของชื่อ Daytona กับเครื่องยนต์ V8 HEMI ความจุ 5.7 ลิตร ปรับปรุงชุดระบายไอเสียใหม่ เปลี่ยน Air intake เป็นของ MOPAR ช่วงล่างจูนใหม่ด้วยการติดตั้งแพคเกจ Super Track Pak ประกอบด้วยเบรค, ชุดกันสะเทือน, ซอฟท์แวร์ ESC ปรับปรุงใหม่ เพิ่มโหมดใหม่, ดิฟฯ หลัง อัตราทดใหม่ และยาง Goodyear Eagle F1


Dodge Charger Daytona 392


  ต่างกับการ ปรับรุ่นย่อยครั้งใหญ่ในปี 2015 Charger ใหม่ที่พ่วงชื่อ Daytona จะมีทางเลือกให้เฉพาะรุ่นฮาร์ดคอร์เท่านั้น โดยอีก 1 รุ่นคือ Dodge Charger Daytona 392 สีแดงสด เครื่องยนต์ V8 HEMI ความจุ 6.4 ลิตร 485 แรงม้า เพิ่มชุดเบรค Brembo คาลิเปอร์หน้า 6 สูบ หลัง 4 สูบ ล้ออลูมิเนียมขนาด 20 x 9.5 นิ้วของ MOPAR จับคู่ยาง Pirelli

  อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ยังคงใช้พื้นฐานจากรุ่นย่อย Charger R/T ในการพัฒนา จะเรียกว่ารุ่นพิเศษก็ไม่เต็มที่นัก เนื่องจากชุดอัพเกรดส่วนใหญ่มีแยกจำหน่ายอยู่แล้วในสหรัฐฯ และการนำชื่อ Daytona มาใช้ในระยะหลังของดอดจ์ ก็เป็นเพียงการรำลึกถึงตัวแรงในปี 1969 ที่โมดิฟายขึ้นมาสำหรับวิ่งใน NASCAR ดังนั้นความพิเศษจริงๆ น่าจะอยู่ที่การกลับมาอีกครั้งของชื่อ Daytona ใน Charger ยุคใหม่เจนฯ 2 รุ่นปรับโฉมครับ (รุ่นสุดท้ายที่ใช้ชื่อ Daytona คือรุ่นปี 2013) ซึ่งผู้แปลคิดว่ามันดูไม่ค่อยขลังมาตั้งแต่รุ่นปี 2006 แล้ว โดยเฉพาะการตกแต่งด้วยแถบสีดำบริเวณสปอยเลอร์เพื่อสื่อถึงรุ่นคลาสสิค

  Dodge Charger Daytona ราคาเริ่มต้นที่ 39,890 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.38 ล้านบาท แพงกว่ารุ่นย่อย R/T ที่ใช้เป็นพื้นฐาน 2 แสนกว่าบาท ส่วน Dodge Charger Daytona 392 เริ่มต้นที่ 44,995 ดอลลาร์ หรือราว 1.55 ล้านบาท


Dodge Challenger T/A 392


  Challenger นั้นต่างกับ Charger ตรงที่ตัวรถยังคงมีความขลังอยู่เต็มเปี่ยม จากการถ่ายทอดความเป็นโพนี่คาร์ตัวถังคูเป้มาได้อย่างครบถ้วนแบบรุ่นสู่รุ่น ทั้งนี้รุ่นใหม่จะมีให้ 3 ทางเลือก คือ Challenger T/A, Challenger T/A Plus และ Challenger T/A 392 โดยรหัส T/A นั้นหมายถึงการแข่งขันซีรี่ส์ Trans-Am ซึ่งจัดขึ้นโดย SCCA – Sports Car Club of America

  Dodge Challenger T/A ใช้รุ่นย่อยพื้นฐานเกรด R/T เช่นเดียวกับ Charger โคมไฟหน้าดวงในเจาะรูรับอากาศ (Air Catcher headlamps) ล้อมกรอบด้วยวงแหวน LED ปรับปรุงชุดระบายไอเสียใหม่ ล้ออลูมิเนียมขนาด 20 x 9.5 นิ้วของ MOPAR ช่วงล่างแพคเกจ Super Track Pak ประกอบด้วย ชุดลดความสูง 0.5 นิ้ว, ช๊อคฯ Bilstein, ชุดเบรคใหม่, ESC จูนใหม่ และยาง Goodyear Eagle F1 ผู้ขับสามารถเลือกได้ว่าต้องการเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ (Tremec) หรืออัตโนมัติ 8 จังหวะ (TorqueFlite) พร้อมแพดเดิลชิฟท์

  จุดเด่นของเครื่องยนต์ V8 HEMI ความจุ 5.7 ลิตร 375 แรงม้าบล็อคนี้คือ ระบบช่วยประหยัดเชื้อเพลิง iDFSO : interactive Decel Fuel Shut Off หยุดการจ่ายเชื้อเพลิงในบางจังหวะ (เช่นจังหวะยกคันเร่ง) และปล่อยให้เพลาข้อเหวี่ยงซึ่งรับพลังงานโดยตรงจากห้องเผาไหม้ยังคงทำงานต่อไปด้วยแรงเฉื่อย ระบบนี้ไครสเลอร์ใช้กับรถในเครืออยู่ก่อนหน้ามาพักใหญ่ๆ โดยเป็นระบบย่อยที่ช่วยเสริมความประหยัดให้กับระบบหยุดการทำงานของลูกสูบให้เหลือ 4 สูบที่ไครสเลอร์เรียกว่า MDS : Multi-Displacement System (หรือที่เราคุ้นกันด้วยชื่อ Cylinder Deactivation System ในแบรนด์อื่นๆ)

  Dodge Challenger T/A Plus เพิ่มการตกแต่งและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเป็นหลัก อาทิ ชุดระบบอุ่นเบาะ, เบาะหุ้มหนัง Nappa, พวงมาลัยหุ้มหนัง, ระบบอินโฟเทนเมนท์ Uconnect รุ่นใหม่ 8.4 system (จอ 8.4 นิ้ว) เพิ่มฟังก์ชั่น Android Auto และ Apple CarPlay, ชุดลำโพงพรีเมี่ยม 6 ตัว และมีระบบแสดงผลในการขับแข่ง เช่น ไฟบอกจังหวะในการเปลี่ยนเกียร์, แรง G หรือเวลาต่อรอบเป็นต้น

  Dodge Challenger T/A 392 แน่นอนว่ารหัส 392 ก็คือเครื่องยนต์ V8 HEMI ความจุ 6.4 ลิตร กำลังสูงสุด 485 แรงม้า หรือบวกเพิ่ม 113 แรงม้าเมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ 5.7 ลิตร และมีชุดเบรค Brembo ล้ออลูมิเนียม และยาง Pirelli สเปคเดียวกับ Charger ให้เพิ่มเติม

  Dodge Challenger T/A ราคาเริ่มต้นที่ 37,390 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.29 ล้านบาท Dodge Challenger T/A Plus ราคาเริ่มต้นที่ 40,140 ดอลลาร์ หรือราว 1.39 ล้านบาท ส่วน Dodge Challenger T/A 392 ราคาเริ่มต้นที่ 43,995 ดอลลาร์ หรือราว 1.52 ล้านบาทครับ   


2017 Dodge Charger Daytona and Challenger T/A