June 19, 2023
Motortrivia Team (10236 articles)

Nissan Almera VL ปรับรูปลักษณ์ เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●   ก่อนที่นิสสันจะเปิดตัวพร้อมประกาศราคา อัลเมร่า รุ่นปรับโฉม ได้มีการชวนสื่อมวลชนไปสัมผัสรถคันจริงอย่างใกล้ชิด พร้อมทดลองขับแบบสั้นๆ ไปแล้ว ในสนามปทุมธานี สปีดเวย์ ล่าสุดนิสสันจัดทริปทดลองขับอีกครั้งบนถนนจริง เส้นทางกรุงเทพฯ-สระบุรี ระยะทางรวมไปกลับประมาณ 260 กิโลเมตร ทีมงานมอเตอร์ทริเวียได้ขับ รุ่น VL ราคา 699,000 บาท

ภายนอกโฉบเฉี่ยวทันสมัย

●   โดยส่วนตัวแล้ว ชอบภายนอกของรุ่นก่อนปรับโฉมมากกว่า ดูสปอร์ตพอประมาณ ไม่เยอะเกินไป อาจเพราะด้วยอายุที่เลยวัยของกลุ่มเป้าหมายของรถรุ่นนี้ไปไกลแล้วก็เป็นได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในรุ่นปรับโฉมนี้ก็ดูทันสมัยกว่า ดูหวือหวาสดใหม่กว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะด้านหน้าที่เน้นการออกแบบภายใต้แนวคิด V-Motion ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งนิสสันเรียกว่า Next Generation V-Motion ส่วนด้านข้างและด้านหลังจะดูแตกต่างก็ต่อเมื่อติดตั้งแพกเกจชุดแต่งเพิ่มเติม

●   รูปลักษณ์ของอัลเมร่ารุ่นปรับโฉมในรุ่นมาตรฐาน ยังถือว่าดูโอเคสำหรับผู้ขับวัยครึ่งร้อย ส่วนรุ่นที่ใส่ชุดแต่งแพกเกจต่างๆ น่าจะเหมาะกับผู้ขับในวัยเบญจเพสมากกว่า หรือถ้าเป็นผู้ใหญ่หัวใจวัยรุ่นอยากจะขับก็ไม่ผิด รถรุ่นนี้จึงครอบคลุมกลุ่มอายุที่ค่อนข้างกว้าง ไม่ได้เฉพาะเจาะจงมากนัก มิติตัวรถรุ่น VL มีความยาว 4,495 มิลลิเมตร กว้าง 1,740 มิลลิเมตร สูง 1,460 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,605 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,525/1,535 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุด 135 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,079 กิโลกรัม

เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานหลายรายการ

●   นอกเหนือจากการปรับโฉมให้ดูทันสมัยแล้ว ภายในห้องโดยสารของอัลเมร่าใหม่ ยังได้รับการปรับปรุงในหลายจุด ทั้งการปรับปรุงการจับคู่สีของการตกแต่งภายในใหม่ ทำให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ใช้วัสดุแบบ Soft Touch ในจุดที่ต้องสัมผัสกับร่างกายบ่อยๆ ตรงจุดนี้ทำได้ดีกว่ารถคลาสสูงกว่าบางรุ่นด้วยซ้ำ และไฮไลต์ของการปรับโฉมครั้งนี้ที่นิสสันภูมิใจนำเสนอคือ การเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานหลายรายการ เช่น แอพพลิเคชั่น NissanConnect Services ซึ่งเป็นครั้งแรกของรถคลาสนี้อีกด้วย

●   อุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งเพิ่มเติมในรุ่นปรับโฉมมีหลายรายการ เช่น กุญแจรีโมทแบบใหม่, แท่นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แสดงผลระบบอินโฟเทนเมนต์ NissanConnect รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ผ่านช่อง USB-A และระบบสั่งงานด้วยเสียง

●   เชื่อมต่อกับรถด้วยแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน NissanConnect Services สั่งงานระบบต่างๆ ของรถได้จากระยะไกล เช่น สถานะการล็อคประตู, สั่งล็อค/ปลดล็อก, สั่งสตาร์ทเครื่องยนต์, สั่งกะพริบไฟหน้า, สั่งงานแตรเพื่อช่วยค้นหาตำแหน่งรถ และฟังก์ชั่น My Car Finder หรือระบบค้นหาตำแหน่งรถ ซึ่งจะช่วยค้นหาและนำทางไปยังรถ เท่าที่ทดลองใช้ระบบก็มีการตอบสนองการทำงานที่ดี ใช้งานได้จริง เพียงแต่ต้องเรียนรู้เงื่อนไขในการทำงานบ้าง เช่น ถ้าสั่งงานหลายระบบติดๆ กัน หรือสั่งงานระบบเดิมซ้ำๆ กันหลายครั้ง ระบบจะไม่ตอบสนอง ต้องทิ้งช่วงรอให้รถกลับเข้าสู่โหมดปกติก่อน ซึ่งก็ตรงกับการใช้งานจริงที่คงไม่มีใครกดสั่งงานหลายระบบต่อเนื่องกัน

●   เป็นครั้งแรกของรถในกลุ่มนี้ที่ติดตั้งระบบ SOS ขอความช่วยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเพียงกดปุ่ม SOS บนเพดาน ระบบจะติดต่อกับศูนย์ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินผ่านระบบเครื่องเสียงภายในรถ เพื่อประสานงานและส่งความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ระบบนี้ไม่ได้ลองเพราะไม่อยากก่อความวุ่นวายในหมู่คณะ นอกจากนี้แอพฯ NissanConnect Services ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกมากมายทั้งการตรวจสอบความผิดปกติกับรถ, การแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดการบำรุงรักษาตามระยะ, การเตือนเมื่อใช้ความเร็วเกินกำหนด, ดูระยะทางและระยะเวลาที่ใช้รถทั้งแบบละเอียดระดับรายวัน/เดือน/ปี รวมถึงการดูแลความปลอดภัยของตัวรถ เช่น เมื่อสัญญาณกันขโมยทำงาน หรือเมื่อรถออกนอกพื้นที่ที่กำหนด โดยตัวแอพฯ จะแจ้งให้เจ้าของรถทราบทันที ช่วยให้สามารถติดตามตำแหน่งของรถได้ตลอดเวลาทั้งนี้ บริการ NissanConnect Services จะให้บริการฟรีในช่วง 3 ปีแรก หลังจากนั้นสามารถสมัครและซื้อบริการเพิ่มเติมได้

●   เบาะนั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลังปรับปรุงใหม่หุ้มหนัง คู่หน้าแบบ Zero Gravity ไม่ค่อยเมื่อยแม้จะนั่งขับนานๆ วัสดุหุ้มเบาะคุณภาพดีสมราคา พวงมาลัยทรงเดิมสปอร์ต 3 ก้านขอบล่างปาดตรง ดูเหมือนจะเปลี่ยนวัสดุหุ้มใหม่คุณภาพดีขึ้น ปรับเบาะผู้ขับให้ถูกต้องเหมาะสมสำหรับผู้ขับที่มีความสูง 170 เซนติเมตร แล้วย้ายไปนั่งเบาะหลังฝั่งผู้ขับ พื้นที่วางขาและบริเวณหัวเข่ากว้างเหลือเฟือขนาดนั่งไขว้ห้างได้ มีช่องจ่ายไฟฟ้า USB-A 1 ช่องเหมือนรุ่นเดิม เบาะหลังนั่งสบายพอสมควร แต่ยังคงไม่มีที่เท้าแขนตรงกลาง และพนักพิงเบาะหลังพับไม่ได้ ถ้าไม่ได้ขนของที่มีความยาวมากๆ ก็คงไม่ใช่ปัญหา เพราะที่เก็บสัมภาระด้านหลังกว้างและลึกเหลือเฟือ ที่ไม่ชอบใจอีกอย่างก็คือ ไม่มียางอะไหล่ มีแค่ปั๊มลมกับชุดปะ ถ้ายางรั่วยังพอแก้ไขได้ แต่ถ้าแก้มยางฉีกคงต้องขึ้นยานแม่

●   สรุปในส่วนของภายในห้องโดยสาร ทำได้ค่อนข้างดีทั้งในแง่การออกแบบ คุณภาพวัสดุ และการประกอบที่ทำได้แน่นหนาดี ไม่มีเสียงก๊อกแก๊กรบกวน วัสดุก็มีทั้งแบบอ่อนนุ่มและพลาสติกแข็งผสมกันไป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของรถคลาสนี้ ในส่วนของพลาสติกแข็งมีลวดลายที่ดีทำให้ดูไม่แย่ การตกแต่งด้วยเปียโนแบล็ก สีเมทัลลิก และลายคาร์บอนไฟเบอร์ก็ดูมีราคา แต่ก็ยังมีบางจุดที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์และความไฮเทคของรถ เช่น ปุ่มปรับกระจกไฟฟ้าที่ยังเป็นทรงเดิมๆ ที่ใช้ต่อเนื่องมาหลายรุ่น และโคมไฟอ่านแผนที่ยังเป็นแบบขาวขุ่นกับหลอดไส้สีส้ม

●   การเก็บเสียงทำได้ดี ขับความเร็วเดินทาง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อย่างผ่อนคลาย ไม่มีเสียงลมปะทะรบกวน รวมทั้งเสียงยางบดถนนก็มีให้ได้ยินไม่มากนัก ยกเว้นผิวถนนแย่จริงๆ ขับทางไกลใช้รอบไม่เกิน 2,000 รอบต่อนาทีแทบไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ แต่ถ้าคิ๊กดาวน์ลากรอบสูงเสียงก็จะดังชัดขึ้นเป็นธรรมดา สภาพแวดล้อมโดยรวมในห้องโดยสารทำได้ดี นั่งแล้วรู้สึกดีเกินระดับราคารถ

เครื่องยนต์กับช่วงล่างไม่เปลี่ยนแปลง

●   การปรับโฉมครั้งนี้เน้นไปที่การเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานและเพิ่มความสดใหม่ให้รูปลักษณ์ภายนอกและภายในเป็นหลัก ส่วนเครื่องยนต์ยังคงเป็นบล็อกเดิม HRAO เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว มคลือบกระบอกสูบ Mirror Bore Coating ระบายความร้อนได้ดี เพิ่มความทนทาน ลดการสึกหรอ อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าหรือ DC Motor ช่วยควบคุมกำลังอัดของเทอร์โบ จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบไดเร็คอินเจ็คชั่น ความจุ 999 ซีซี กำลังสูงสุด 74 กิโลวัตต์ หรือ 100 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร หรือ 15.5 กก.-ม. ที่ 2,400-4,000 รอบต่อนาที ถังน้ำมันจุ 35 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT

●   ขับในเมืองเร่งทันใจสบายๆ คันเร่งตอบสนองดี แตะคันเร่งเบาๆ รถพร้อมพุ่งทะยาน ปรับตัวให้ชินกับน้ำหนักคันเร่งไม่นานก็ขับได้นุ่มนวล ช่วงทางโล่งลองกดคันเร่งลึกขึ้นอัตราเร่งก็ต่อเนื่องทันใจ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่ไม่มีช่วงรอบตก จึงเร่งได้ต่อเนื่อง และเกียร์ CVT รุ่นใหม่ ก็ให้ความรู้สึกใกล้เคียงเกียร์อัตโนมัติแบบฟันเฟือง ขับง่าย ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ได้ง่ายด้วยการกดหรือผ่อนคันเร่ง มีการทำงานที่สัมพันธ์กับความเร็ว รอบไม่ค้างที่รอบสูง เสียงเครื่องยนต์ไม่ดังอื้ออึง และยังคงข้อดีของเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT คือ การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล การเร่งแซงถ้าใช้การคิ๊กดาวน์รอบจะตวัดสูงและค้างอยู่แถวๆ 6,000 รอบต่อนาที ช่วงนี้เสียงเครื่องยนต์จะดังมากหน่อย แลกกับอัตราเร่งที่ทันใจก็ถือว่าคุ้ม ถ้าเป็นการเดินทางตามปกติแทบไม่ต้องคิ๊กดาวน์ ใช้การกดคันเร่งค่อยๆ ไล่รอบขึ้นไปก็ได้อัตราเร่งที่ดีพอสมควร ไม่ต้องเค้นให้เครียดทั้งรถและคนขับ

●   อัตราสิ้นเปลืองยังคงเป็นจุดเด่นของรถในกลุ่มนี้ ขับแบบไม่ปั้นตัวเลข มีเร่งรอบสูงหลายครั้งเพื่อตามขบวนหลังจากแยกออกมาเพื่อให้เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันถ่ายคลิป เปิดแอร์เย็นเจี๊ยบสู้แดด 33 องศาเซลเซียสในรถที่ไม่ติดฟิล์มกรองแสง ถึงจุดเปลี่ยนผู้ขับที่ระยะ 119.6 กิโลเมตร ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 21.3 กิโลเมตรต่อลิตร ความเร็วเฉลี่ย 61 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 57 นาที

●   ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง ยางขนาด 195/65 R15 ช่วงล่างออกแนวนุ่มแต่ยังคงมีความมั่นคงเมื่อใช้ความเร็วสูงระดับ 120-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเดินทางไกลได้อย่างผ่อนคลาย พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าไม่วูบวาบหรือไวเกินไป ขับในเมืองก็เบาสบายขับทางไกลก็มั่นคง ระบบเบรกหน้าดิสก์หลังดรัม พร้อมตัวช่วยมาตรฐานทั้ง ABS, EBD และ BA ทำงานได้ตามมาตรฐานไม่เด่นไม่ด้อย แต่อาจไม่หล่อเพราะไม่ใช่ดิสก์ 4 ล้อ

●   นิสสัน อัลเมร่า รุ่นปรับโฉม เด่นที่รูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะด้านหน้า มีชุดแต่งให้เลือกเพิ่มความแตกต่างได้อีกสำหรับคนที่คิดว่ายังเปลี่ยนไม่มากพอ ภายในปรับใหม่ดูลงตัวยิ่งขึ้น และเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานหลายรายการที่เป็น First in Class โดยเฉพาะการรองรับแอพฯ NissanConnect Services ที่ใช้งานได้จริง การใช้งานไม่ซับซ้อน มีแล้วช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและเพิ่มความปลอดภัยได้จริง        ●

ขอบคุณ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

Group Test : 2023 Nissan Almera VL