September 18, 2018
Motortrivia Team (10203 articles)

Mitsubishi ฉลองความสำเร็จ 40 ปีแห่งการผลิตรถปิคอัพ

Press Release

 

●   ปี 1978 นับเป็นหนึ่งในช่วงยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง เกมอาเขดอย่าง Space Invaders ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับการขยายตัวของอุตสากรรมวีดีโอเกม เครือข่ายโทรศัพท์มือถือก็กำลังถูกพัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่ซูเปอร์แมนได้เริ่มขึ้นบินในโลกภาพยนตร์… ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ รถกระบะของมิตซูบิชิขนาด 1 ตันได้ถูกเผยโฉมขึ้นเป็นครั้งแรก และในอีก 4 ทศวรรษต่อมา มันได้กลายเป็นยานพาหนะสำหรับผู้คนทั่วโลกมากกว่า 4.7 ล้านคน

●   รถกระบะของมิตซูบิชิสามารถขับเคลื่อนไปบนทุกสภาพถนนและภูมิประเทศ การพัฒนาและการออกแบบมุ่งตอบสนองทุกความปรารถนาของลูกค้าผู้ชื่นชอบรถกระบะ ทั้งในด้านความแข็งแกร่ง ทนทาน การบรรทุกสัมภาระ รวมถึงความอเนกประสงค์และความสะดวกสบายในการโดยสารที่ไม่ต่างไปจากรถซีดาน

●   รถกระบะรุ่นแรกของมิตซูบิชิในนาม Mitsubishi Forte (หรือ L200 ในบางประเทศ) ยังถูกใช้งานจนถึงปัจจุบัน มันได้รับการยอมรับในด้านความทนทานต่องานบรรทุก ทั้งผู้โดยสารและสัมภาระ ขับง่าย สมรรถนะดี นั่นทำให้ Forte ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศแบบหนาวจัด หรือทะเลทรายที่ร้อนระอุ

●   มิตซูบิชิได้พัฒนารถกระบะเพื่อให้สามารถฝ่าฟันทุกอุปสรรคและไปได้ไกลกว่าเดิม ด้วยการคิดค้นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเพื่อติดตั้งใน Forte รุ่นปี 1980 ซึ่งต่อมาได้กลายต้นแบบของรถขับเคลื่อน 4 ล้อยุคใหม่ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ไม่ว่าจะเป็น Mitsubishi Pajero, Mitsubishi Montero หรือ Mitsubishi Delica จากนั้นรถกระบะของมิตซูบิชิได้ถูกส่งไปจำหน่ายในอีกหลายประเทศภายใต้ชื่อ Mitsubishi Triton ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนธุรกิจที่สำคัญของ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส

●   แพลทฟอร์มของ Mitsubishi Triton เจอเนอเรชั่นแรก และเจนเนอเรชั่นที่ 2 ได้รับการพัฒนาขึ้นที่ศูนย์การผลิตยานยนต์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่เขตโอเอะ เมืองนาโกย่า โดย Mitsubishi Triton เจอเนอเรชั่น 3 ในปี 1995 ซึ่งถูกผลิตและส่งออกไปยังตลาดทั่วโลกจากศูนย์การผลิตยานยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส แหลมฉบัง ประเทศไทย นั้น ปัจจุบันศูนย์การผลิตยานยนต์แห่งนี้ยังเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ด้วยจำนวนการผลิตประมาณ 400,000 คัน

●   วันนี้เราจะมาย้อนอดีตความสำเร็จของรถกระบะจากมิตซูบิชิ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน:

เจนเนอเรชั่นที่ 1 (1978 – 1986)

●   เดือนกันยายน 1978 รถกระบะขนาด 1 ตัน (ปิคอัพขนาดคอมแพคท์) ในนาม Mitsubishi Forte เผยโฉมในประเทศญี่ปุ่น และเริ่มส่งออกภายใต้ชื่อที่เรียบง่ายว่า Mitsubishi Truck และ Mitsubishi L200 โดยเริ่มส่งออกไปยังอเมริกาเหนือในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน เบื้องต้นในตลาดอเมริกาเหนือ Forte มีจำหน่ายเฉพาะรุ่นซิงเกิ้ลแค็บ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และ 2.6 ลิตร ในขณะที่เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร มีการใช้งานสำหรับตลาดประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคอื่นๆ ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตร ก็มีให้เลือกสำหรับตลาดส่งออกโดยทั่วไป

●   จากนั้นในปี 1980 Forte ก็มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์ (Part-time 4WD System) ให้ใช้งานเป็นครั้งแรก

●   ในทวีปอเมริกาเหนือ Forte นับเป็นกระบะขนาดเล็กที่ผู้คนใช้ในการเดินทางไปโรงเรียน ที่ทำงาน หรือใช้งานในเชิงสันทนาการ ชื่อ Forte มีความหมายในภาษาอิตาลีว่า “แข็งแกร่ง” ตัวรถได้รับการทดสอบอย่างหนักทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ประเทศไทย และซาอุดิอาระเบีย ในขณะนั้น Forte กว่า 657,000 คันได้ผลิตขึ้นที่ศูนย์การผลิตยานยนต์ในเขตโอเอะ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก และมีบางส่วนผลิตขึ้นที่ศูนย์การผลิตแหลมฉบังในประเทศไทย

●   การออกแบบของ Forte เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับรถซีดานขนาดคอมแพคท์อย่าง Mitsubishi Galant Σ (ซิกม่า) นอกจากนี้ Forte ยังยกระดับการผลิตรถเชิงพาณิชย์ด้วยระบบดิสค์เบรกล้อหน้า ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบน คอยล์สปริง และมีแหนบลดการสั่นสะเทือนพร้อมเพลาท้ายรถที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงการลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ลดความกระด้าง และลดอาการสั่นสะเทือน ด้วยการใช้เพลากลางแบบ 2 ชิ้น และใช้วัสดุซีลที่ติดตั้งไว้เป็นจำนวนมาก

●   ระบบเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์ มาพร้อมกับโซ่ราวลิ้นซับเสียง ช่วยลดเสียงดังจากการทำงานของระบบส่งกำลัง ซึ่งนับเป็นการบุกเบิกการพัฒนารถยนต์ในกลุ่มขับเคลื่อน 4 ล้อของมิตซูบิชิในอนาคตด้วย

เจนเนอเรชั่นที่ 2 (1986 – 1996)

●   เดือนมีนาคม 1986 เปิดตัวรุ่นปรับโฉมใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ตัวถังมีทั้งรุ่นซิงเกิ้ลแค็บ, คลับแค็บ และดับเบิ้ลแค็บ ครบทั้งแบบสั้นและแบบยาวในรุ่นซิงเกิ้ลแค็บ ตัวเลือกระบบขับเคลื่อนมีทั้ง 2 ล้อและ 4 ล้อ พละกำลังมาจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 2.6 ลิตร รวมทั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร บล็อคใหม่ซึ่งเพิ่มเติมมาจากเครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตร

●   เดือนพฤษภาคม 1991 Mitsubishi Strada ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น โดยมีเฉพาะรุ่นตัวถังดับเบิ้ลแค็บ

●   มิตซูบิชิยุคนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อมาเป็น Strada โดยหลังจากรุ่นดับเบิ้ลแค็บที่เปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น มิตซูบิชิได้มีการใช้ชื่ออื่นๆ สำหรับทำตลาดในภูมิภาคอื่นๆ ที่แตกต่างกัน เช่น Mighty Max ในอเมริกาเหนือ, Triton ในออสเตรเลีย รวมถึง L200 ในบางภูมิภาค โดยในอเมริกาเหนือยังมีการรีแบดจ์จำหน่ายภายใต้แบรนด์ดอดจ์ โดยใช้ชื่อว่า Dodge RAM 50 ด้วย

●   มิตซูบิชิ เจนเนอเรชั่นที่ 2 นี้ ได้รับการผลิตขึ้นมากกว่า 1,146,000 คัน ที่ศูนย์การผลิตยานยนต์ในเขตโอเอะ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น และที่ศูนย์การผลิตยานยนต์แหลมฉบัง ประเทศไทย

เจนเนอเรชั่นที่ 3 (1996 – 2006)

●   เดือนพฤศจิกายน 1995 (พ.ศ. 2538) Mitsubishi L200 Strada เปิดตัวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยมีการผลิตและส่งออกจากศูนย์การผลิตยานยนต์แหลมฉบัง ประเทศไทย การจำหน่ายมีทั้งรุ่นตัวถังซิงเกิ้ลแค็บ และคลับแค็บ ส่วนรุ่นดับเบิ้ลแค็บ ได้รับการผลิตขึ้นสำหรับการส่งออก

●   Mitsubishi L200 Strada ใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์ดีเซล ความจุ 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร โดยมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเทคโนโลยี Easy Select 4WD

●   Strada เจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ มีการออกแบบใหม่หมดทั้งภายนอกและภายใน เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้งานรถกระบะในชีวิตประจำวันแทนรถซีดาน สามารถรองรับการโดยสารแบบสบายๆ ได้ 5 ที่นั่ง ดังนั้นมันจึงพร้อมสำหรับการใช้งานทั้งในชีวิตประจำวัน และในเชิงพาณิชย์ โดยระบบความปลอดภัยและอุปกรณ์ต่างๆ นั้น มอบความสะดวกสบายในการใช้งานระดับเดียวกับรถซีดาน (บางรุ่นมีระบบเบรค ABS และเฟืองท้ายลิมิเต็ด Hybrid LSD) ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Easy Select 4WD จะช่วยให้ผู้ขับสามารถเลือกตำแหน่งการขับเคลื่อนให้เหมาะสมกับสภาพถนนได้สะดวกและรวดเร็ว

●   นอกจากจะจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว Strada ยังส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั้งในทวีปยุโรป โอเชียเนีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ด้วยยอดผลิตรวมทั้งสิ้นกว่า 1,046,000 คัน

เจนเนอเรชั่นที่ 4 (2005 – 2014)

●   เดือนสิงหาคม 2005 (พ.ศ. 2548) มิตซูบิชิได้ใช้ชื่อ Mitsubishi Triton สำหรับการจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก มันมากับตัวถังซิงเกิ้ลแค็บ, คลับแค็บ และดับเบิ้ลแค็บ พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ความจุกระบอกสูบมี 2.5 ลิตร และ 3.2 ลิตร ระบบขับเคลื่อนมีทั้ง 2 ล้อและ 4 ล้อ แบบ Easy Select 4WD และ Super Select 4WD

●   หลังจากการเปิดตัวในประเทศไทย Triton ได้การส่งออกไปยังกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ซึ่งต่อมา Triton ได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญระดับโลกของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดยมันได้รับการผลิตขึ้นรวมทั้งสิ้นกว่า 1,423,000 คัน

●   Triton พัฒนาขึ้นบน 3 แนวคิดสำคัญเพื่อทำตลาดกระบะโลก ได้แก่ (1) การพัฒนาให้เหนือกว่าระดับมาตรฐานในทุกด้าน (2) คุณภาพต้องอยู่ในระดับมาตรฐานสูงสุด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในระดับโลก และ (3) ต้องตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้าที่ไม่จำกัดเฉพาะการใช้งานในเชิงพาณิชย์

●   อีกหนึ่งจุดเด่นคือการใช้งานเครื่องยนต์ดีเซลบล็อคใหม่ ที่มาพร้อมระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบ ไดเรค อินเจคชั่น ร่วมกับคอมมอนเรล พละกำลังเพิ่มขึ้น อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลง อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียลดลง และยังมีเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ที่เงียบกว่าเดิม

เจนเนอเรชั่นที่ 5 (2015 – ปัจจุบัน)

●   เดือนพฤศจิกายน 2014 (พ.ศ. 2557) Triton เจนเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวเป็นทางการในประเทศไทยเป็นแห่งแรกแบบเวิลด์พรีเมียร์ ก่อนจะตามมาด้วยการเปิดตัวในประเทศอื่นๆ ตามลำดับ ตัวรถยังคงมีทางเลือกตัวถังครบ ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิ้ลแค็บ, คลับแค็บ หรือดับเบิ้ลแค็บ เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบชาร์จ ความจุ 2.4 และ 2.5 ลิตร มาพร้อมเทคโนโลยี MIVEC โดยฝั่งเบนซินมีเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรให้

●   ระบบขับเคลื่อนยังคงมีทั้งแบบ 2 ล้อและ 4 ล้อพร้อมเทคโนโลยี Super Select 4WD-II ควบคุมการเปลี่ยนโหมดขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ส่วนระบบส่งกำลังนั้นมีทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมโหมดการขับสไตล์สปอร์ต

●   ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อรุ่นปรับปรุงประสิทธิภาพ ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยระบบ Easy Select 4WD มากับ 3 โหมดการขับ ประกอบด้วยโหมดขับเคลื่อนสองล้อหลัง 2H, โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วสูง 4H และโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ 4L ในขณะที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Super Select 4WD-II นั้นจะควบคุมการเปลี่ยนโหมดการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า

●   และล่าสุด… มิตซูบิชิกำลังเตรียมการเผยโฉมปิคอัพรุ่นใหม่ในประเทศไทยเร็วๆ นี้   ●