June 12, 2019
Motortrivia Team (10203 articles)

2020 Ferrari SF90 Stradale สปอร์ต V8 plug-in hybird 1,000 แรงม้า

เรื่อง : AREA 54

●   เฟอร์รารี่เปิดตัวสปอร์ตตัวถังแบบ Berlinetta (คูเป้) ยุคใหม่ Ferrari SF90 Stradale เปิดทางสู่ทศวรรษต่อไปด้วยการนำเครื่องยนต์ V8 มาใช้งานร่วมกับชุดระบบ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ซึ่งนับเป็นการยกระดับเทคโนโลยีการผลิตสปอร์ตกึ่งไฟฟ้าของแบรนด์เฟอร์รารี่ขึ้นไปอีกขั้น นับจากการเปิดตัวเทคโนโลยีไฮบริดที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า HY-KERS system ใช้เครื่องยนต์ V12 ความจุ 6.2 ลิตร พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้าใน Ferrari LaFerrari รุ่นปี 2014 นั่นทำให้ SF90 Stradale กลายเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ของเฟอร์รารี่ที่มีการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า

●   ชื่อรุ่นรถเป็นการควบรวมความหมายระหว่าง “SF” อ้างอิงถึงตัวแข่ง Formula 1 เวอร์ชั่นฤดูกาลล่าสุด Ferrari SF90 ของทีม Scuderia Ferrari ต่อด้วย “90” ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีการก่อตั้งทีมแข่ง Scuderia Ferrari โดย Enzo Ferrari ในช่วงปี 1929 ปิดท้ายด้วย “Stradale” หรือ Road ในภาษาอังกฤษ สื่อถึงสมรรถนะในระดับรถแข่งที่สามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องตามกฏหมายบนถนนหลวงนั่นเอง

●   ตัวรถมากับความยาว 4,710 มม. กว้าง 1,972 มม. สูง 1,186 มม. ความยาวฐานล้อ 2,650 มม. ใกล้เคียงกับ Ferrari LaFerrari ทว่า SF90 Stradale จะนับเป็นรถรุ่นแรกที่มากับชุดระบบขับเคลื่อน ปลั๊ก-อิน ไฮบริด น้ำหนักเบาของเฟอร์รารี่ รุ่นพื้นฐานน้ำหนักตัวเปล่าแบบไม่รวมของเหลวอยู่ที่ 1,600 กก. ทว่าเวอร์ชั่นสมรรถนะสูงที่ติดตั้งแพคเกจ Assetto Fiorano จะมีน้ำหนักตัวลดลงเหลือเพียง 1,570 กก. เบากว่าสปอร์ตไฮบริดอย่าง LaFerrari ราว -15 กก. ในขนาดมิติตัวรถที่ใกล้เคียงกัน การกระจายน้ำหนักเฉลี่ยด้านหน้า 45% ด้านหลัง 55%

หมายเหตุ : แพคเกจ Assetto Fiorano เบื้องต้นประกอบด้วย ช๊อคฯ แบบ Multimatic แบบเดียวกับรถแข่งคลาส GT, ประตูและแผงประตูผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์, แผ่นปิดใต้ท้องรถคาร์บอนไฟเบอร์, สปริงและชุดระบายไอเสียทั้งหมดใช้วัสดุไทเทเนียม และยางไฮเพอร์ฟอร์มานซ์ MICHELIN Pilot Sport Cup 2 รุ่นพิเศษที่มิชลินผลิตให้เฉพาะตัว เนื้อยางนิ่มกว่าเวอร์ชั่นโรงงาน สามารถใช้วิ่งแทร็คเดย์ได้

●   นอกจากนี้เฟอร์รารี่ยังระบุว่า มันจะเป็นสปอร์ตที่มีการทำลายสถิติตัวเลขอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนัก (Power-to-weight ratio) ที่ดีที่สุดในโลก โดยม้า 1 ตัวจะรับหน้าที่แบกน้ำหนักเพียง 1.57 กก. เท่านั้น… และที่ความเร็ว 250 กม./ชม. แพคเกจแอร์โรไดนามิครอบคันโดยเฉพาะสปอยเลอร์หลัง จะสร้างแรง ดาวน์ฟอร์ซ ช่วยกดให้ตัวรถแนบกับพื้นถนนถึง 390 กก.

ครั้งแรกกับ PHEV

●   ชุดระบบขับเคลื่อนประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุ 4.0 ลิตร รหัส F154CD อัดอากาศด้วยทวิน-เทอร์โบชาร์จ (บล็อคเดียวกับ Ferrari F8 Tributo) เครื่องยนต์จะหมุนล้อคู่หลังด้วยกำลังสูงสุด 780 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 81.5 กก.-ม. ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว… ตัวแรกติดตั้งตรงกลางระหว่างเครื่องยนต์และชุดระบบส่งกำลัง อีก 2 ตัวติดตั้งที่เพลาหน้า ทำหน้าที่หมุนล้อคู่หน้า กำลังสูงสุดรวม 220 แรงม้า เก็บประจุไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุหรือความสามารถในการจ่ายไฟภายใน 1 ชม. เท่ากับ 7.9 กิโลวัทท์-ชม. มีระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรค

●   ระบบส่งกำลังใหม่เป็นแบบ ดูอัล-คลัทช์ 8 จังหวะ กำลังรวมทั้งระบบผลิตได้ 1,000 แรงม้า (PS หรือ 986 HP) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.5 วินาที 0-200 กม./ชม. ภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 340 กม./ชม. โหมดไฟฟ้าล้วนวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 25 กม. (ขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น) โหมดในการขับเลือกได้ 4 แบบ ผู้ขับสะดวกด้วยฟังก์ชั่นใหม่ “eManettino” สามารถเลือกโหมดต่างๆ ระหว่าง eDrive, Hybrid, Performance หรือ Qualify ได้ง่ายบนพวงมาลัย

●   ทั้งนี้ ตัวรถจะถูกเซ็ทอัพให้โหมด Hybrid เป็นค่าเริ่มต้นในการขับทุกครั้งที่สตาร์ท โหมดนี้ชุดระบบควบคุมจะเน้นความประหยัดเป็นหลัก เครื่องยนต์ V8 จะทำงานหรือหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ ทว่าในขณะทำงาน ระบบจะไม่จำกัดการทำงานใดๆ ของเครื่องยนต์ เพื่อให้ผู้ขับสามารถเรียกกำลังได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ส่วนโหมด Performance ระบบจะเรียกการทำงานของเครื่องยนต์ตลอดเวลา โดยชุดควบคุมอิเลคทรอนิคจะจัดลำดับความสำคัญใหม่ให้มีการชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่มีความสำคัญที่สุด เพื่อให้ผู้ขับมีกำลังสำรองให้ใช้งานตลอดเวลา

●   โหมด Qualify ก็ตามชื่อครับ เหมือนวิ่งควอลิฟายเพื่อจับเวลาในการแข่งขัน เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานอย่างเต็มที่ในช่วงระยะเวลาที่ผู้ขับเปิดโหมดนี้ การชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่จะถูกลดความสำคัญลง ทรัพยากรทั้งหมดในระบบขับเคลื่อนจะถูกเทไปให้ความสำคัญเรื่องพละกำลังเท่านั้น ส่วนโหมดปิดท้ายอย่าง eDrive จะเป็นโหมดที่เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองด้วยไฟฟ้าล้วน

MGUK จาก F1 ย่อส่วนลงมาแล้ว

●   เช่นเดียวกับตัวแข่ง F1 ของทีมเฟอร์รารี่ SF90 Stradale จะมากับ MGUK (หรือ MGU-K) และมีหลักการทำงานโดยพื้นฐานเช่นเดียวกัน โดยระบบ MGUK หรือ Motor Generator Unit, Kinetic ในที่นี้ก็คือมอเตอร์ไฟฟ้าตัวแรกที่ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง หน้าที่ของมันก็คือการเปลี่ยนพลังงานที่สูญเปล่าจากการเบรคไปเป็นพลังงานไฟฟ้า พร้อมกับสำรองพลังงานไปเก็บเอาไว้ในแบตเตอรี่แพค และจะถูกเรียกออกมาใช้งานในยามที่ต้องการพละกำลังเสริม

●   สำหรับชุดระบบควบคุมเสถียรภาพของตัวรถ ชุดระบบ Side Slip Control ยังคงมีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกับรถรุ่นใหม่ๆ ของเฟอร์รารี่ โดยใน SF90 Stradale จะถูกอัพเกรดเป็น eSSC หรือ electronic Side Slip Control แยกการทำงานเป็น 3 ส่วนเพื่อควบคุมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา

●   ส่วนแรกคือ eTC หรือ Electric Traction Control ควบคุมแรงบิดระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อเรียกการยึดเกาะให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต่างกัน ส่วนที่ 2 คือระบบ Brake-by-wire control with ABS/EBD แยกการควบคุมแรงบิดเบรค (Brake torque ที่เกิดจากการหยุดการเคลื่อนที่ของวัตถุ) ระหว่างชุดระบบไฮดรอลิค และมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อสั่งการให้ระบบเก็บเกี่ยวพลังงานที่สูญเปล่าจากการเบรค

●   ปิดท้ายด้วยระบบ Torque Vectoring สำหรับเพลาหน้า ซึ่งจะควบคุมการกระจายแรงบิดเฉพาะล้อคู่หน้าในขณะใช้งานโหมดไฟฟ้าล้วนโดยตรง เพื่อให้การเข้าโค้งมีความเสถียรมากที่สุด เช่น ล้อด้านในโค้งจะหมุนด้วยรอบที่น้อยกว่าล้อที่อยู่ด้านนอกโค้ง เป็นต้น

Hands-on-the-wheel ห้องโดยสารแบบใหม่สไตล์ค็อคพิท

●   SF90 Stradale จะมากับห้องโดยสารแนวคิดใหม่เป็นรุ่นแรกของเฟอร์รารี่ ก่อนจะกระจายใช้ในรถรุ่นต่อๆ ไปในอนาคต ชุดระบบ HMI (Human Machine Interface) จะวางตำแหน่งล้อมรอบผู้ขับเป็นวงโค้งเพื่อเชื่อมต่อรถและผู้ขับให้เป็นหนึ่งเดียวในแบบค๊อคพิทรถ F1 การแสดงผลทั้งหมดทุกประการจะมีขึ้นผ่านจอเดี่ยวแบบฟูลดิจิทัลขนาด 16 นิ้วหลังวงพวงมาลัยเพียงจอเดียว

●   วัดรอบทรงกลมยังแสดงผลบนจอเพื่อรักษาเอกลักษณ์แบบดั้งเดิม เสริมด้วยการแสดงผลสถานะแบตเตอรี่, ขนาบข้างด้วยการแสดงผลชุดระบบอินโฟเทนเมนท์ทางด้านขวา และระบบนำทางทางด้านซ้าย ในขณะที่ข้อมูลสำคัญบางส่วนจะแยกออกไปแสดงผลบนจอ Head Up Display ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ขับละสายตาจากท้องถนนเพื่อกวาดตาอ่านข้อมูลสำคัญได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องหันศีรษะไปทางด้านขวาหรือซ้ายแม้แต่น้อย

●   การควบคุมระบบทั้งหมดจะอยู่บนพวงมาลัยทั้งหมด เพื่อให้ผู้ขับสามารถเพ่งสมาธิไปที่ท้องถนนในขณะใช้ความเร็วสูง นั่นเป็นเหตุผลที่เฟอร์รารี่เลือกติดตั้งฟังก์ชั่นเลือกโหมดในการขับ (eManettino) เอาไว้บนพวงพวงลัย… และนั่นเป็นที่มาของปรัชญาใหม่ Hands-on-the-wheel ของเฟอร์รารี่นั่นเอง

●   เฟอร์รารี่จะเริ่มจำหน่าย SF90 Stradale ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 430,000 ยูโร หรือประมาณ 15.1 ล้านบาทครับ (อัพเดท 28 พฤษภาคม 2563)… บ้านเราถ้าเข้ามาราคาคงจะดุเดือดน่าดู  ●

หมายเหตุ : ราคาเปิดตัวในไทย (วันที่ 28 พฤษภาคม 2563) เริ่มต้นที่ 40.9 ล้านบาทครับ

2020 Ferrari SF90 Stradale