July 15, 2022
Motortrivia Team (10203 articles)

Ford Everest Titanium+ 4×4 10AT ลองครบทั้งสมรรถนะและฟังก์ชั่นเด่น

เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ

●   ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชั่นใหม่ ทำตลาดในไทยพร้อมกัน 4 รุ่นย่อย ใช้เครื่องยนต์ดีเซลบล็อกหลักเดียวกัน เทอร์โบเดี่ยวเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ 4×2 เท่านั้น ส่วนรุ่นเทอร์โบคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ มีทั้ง 4×2 เกียร์ SelectShift ละ 4×4 เกียร์ E-Shifter ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุด และเป็นรุ่นที่ฟอร์ดเตรียมไว้ให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับ ราคา 1,854,000 บาท

คงความแกร่งเพิ่มความทันสมัย

●   โครงสร้างตัวรถ GEN 3 ขยายฐานล้อและความกว้าง เลื่อนล้อหน้าไปด้านหน้ามากขึ้น ปรับเรื่องการยืดยุบของช่วงล่าง ขับทางเรียบนุ่มนวลขึ้น มุมต่างๆ ในการขับออฟโรดก็เพิ่มขึ้นด้วย ลุยได้มากขึ้น โดยมีมุมปะทะ 30.4 องศา มุมคร่อม 22.2 องศา และมุมจาก 25.3 องศา

●   ภายนอกสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นรุ่นสูงสุดก็คือ ไฟหน้า Matrix LED พร้อม Adaptive Front Lighting System and Adaptive Glare-Free ระบบปรับมุมอัตโนมัติ ป้องกันไฟแยงตา เลี้ยวตามการหมุนพวงมาลัยได้ 15 องศา ทั้งขณะจอดและขับ มีติดตั้งในรุ่น Titanium+ 4×4 10AT เท่านั้น ส่วนรุ่นอื่นเป็นไฟ LED มัลติรีเฟล็กเตอร์ ส่วนด้านหลังของรุ่นสูงสุดมีคำว่า 4×4 ที่มุมฝาท้ายด้านขวา

●   รูปลักษณ์ภายนอกดูแข็งแกร่งตามสไตล์ฟอร์ด เรียบง่าย เส้นสายไม่รกรุงรัง แต่ก็ดูไม่จืดชืด ชุดไฟหน้าทรงตัว C ขนาดใหญ่ทรงตั้ง ทำให้มุมมองด้านหน้าค่อนข้างตัดตรงไม่แหลมเฉียง ด้านข้างเต็มตาด้วยล้อแม็กลายตัว Y อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของฟอร์ด ขนาดใหญ่ 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/55 R20 ตกแต่งเพิ่มความหรูด้วยสีโครเมียมที่กรอบกระจกมองข้าง ที่เปิดประตู และคิ้วล้อมกรอบกระจก ทรงไฟท้ายไม่หวือหวา แต่มีลูกเล่นรายละเอียดภายในและการติดตั้งที่เหมือนฝังเข้าไปในตัวรถดูมีมิติ ชุดไฟท้ายทั้ง 2 ฝั่งเชื่อมต่อกันด้วยแถบพลาสติกสีเข้มพร้อมชื่อรุ่น ทำให้ตัวรถดูแบนกว้าง

●   มิติตัวรถมีความยาว 4,914 มิลลิเมตร กว้าง 1,923 มิลลิเมตร สูง 1,842 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,900 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,620/1,620 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุด 227 มิลลิเมตร ลุยน้ำได้สูงสุด 800 มิลลิเมตร

ภายในล้ำสมัยแต่เข้าใจง่าย

●   ในขั้นตอนการออกแบบ ฟอร์ดได้สำรวจความคิดเห็นแล้วว่า แม้จะเป็นเอสยูวี แต่ก็อยากได้ห้องโดยสารที่มีสุนทรียภาพ หรูหรา และสะดวกสบาย ฟอร์ดเริ่มจากการลดเสียงรบกวนด้วยการซีลตัวรถ เพื่อลดเสียงจากภายนอก ลดเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ตัดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ ย้ายชุดโมดุล ABS เพื่อลดเสียงขณะเบรก และยังออกแบบให้ทุกตำแหน่งที่นั่งสามารถพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องตะโกน

●   มาตรวัดดิจิตอลเต็มระบบขนาด 12.4 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลายรูปแบบ เพิ่มพื้นที่ในห้องโดยสารด้วยการออกแบบแผงคอนโซลให้ขยับไปด้านหน้ามากขึ้น รวบรวมสวิตช์ควบคุมระบบต่างๆ ไว้ในจอสัมผัสที่คอนโซลกลางขนาด 12 นิ้ว ทำให้ห้องโดยสารดูเรียบโล่ง และมีพื้นที่มากขึ้นสำหรับที่เก็บของและที่วางแก้วน้ำ รวมทั้งมีช่องจ่ายไฟฟ้าทั้งแบบ USB-A, USB-C, Wireless Charger ช่องจ่ายไฟฟ้า 12 โวลต์ และปลั๊กไฟ 400 วัตต์

●   แนวคิดในการใช้จอกลางระบบสัมผัสคือ เพื่อให้สื่อสารหรือสั่งงานรถได้ง่ายๆ เหมือนการใช้สมาร์ทโฟนผ่านแอพลิเคชั่น FordPass สั่งงานรถได้หลายอย่างทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์, เปิดแอร์, ล็อกและปลดล็อกรถ, ค้นหารถ หรือดูสถานะของรถเช่น น้ำมันที่เหลือในถัง จอกลางใช้ระบบปฏิบัติการ Sync 4 เวอร์ชั่นล่าสุด แบบเดียวกับฟอร์ดรุ่น Mach-E และ F-150

●   อีกหนึ่งไฮไลต์ที่มีเฉพาะในรุ่นสูงสุด คือ คันเกียร์ไฟฟ้า E-Shifter ที่มีความปลอดภัยสูง ถ้าอยู่ในเกียร์ขับเคลื่อนแล้วเปิดประตูฝั่งผู้ขับ ระบบจะเข้าเกียร์ P ให้โดยอัตโนมัติ เกียร์รุ่นนี้ทำงานร่วมกับระบบช่วยจอด Park Assist เวอร์ชั่นล่าสุด 2.0 ที่เป็นแบบอัตโนมัติเต็มระบบ ซึ่งมีเฉพาะรุ่นสูงสุด และ e-Brake ขึ้นเบรกและปลดอัตโนมัติ มีปุ่มเลือกโหมดการขับได้ 6 โหมด ซึ่งมีเฉพาะรุ่นสูงสุด รวมอยู่ในชุดเดียวกับสวิตช์เลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และอีก 2 ระบบที่มีเฉพาะรุ่นนี้คือ Diff-Lock เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า สั่งงานที่หน้าจอกลาง และระบบช่วยลงทางลาดชัน Hill Descent Control

●   การพับเบาะแถว 3 ของเอเวอเรสต์รุ่นที่ทดลองขับ สะดวกสบายด้วยระบบไฟฟ้า มีปุ่มอยู่ที่ด้านข้างของห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย สามารถแยกพับพนักพิงได้ และกางกลับได้ด้วยไฟฟ้าเช่นกัน ส่วนประตูท้ายเป็นระบบไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี ส่วนเบาะแถว 2 แยกพับได้ และเลื่อนเดินหน้าถอยหลังได้ และเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง

●   ระบบความปลอดภัยมีให้ครบ ทั้งกล้อง 360 องศา ซูมดูภาพได้ ระบบป้องกันการชน พร้อมควบคุมพวงมาลัยเพื่อหลีกเลี่ยงการชน ระบบหยุดรถอัตโนมัติเมื่อถอยหลังแล้วเจอสิ่งกีดขวาง ที่ความเร็วไม่เกิน 12 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยระบบจะหยุดสนิทให้ 3 วินาที ระบบช่วยจอดทั้งขนานและเข้าซองแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ มีระบบครูสคอนโทรลแบบ Stop-and-Go แอร์แบ็ก 7 ใบ ม่านนิรภัยแถว 3

●   ช่วงขับทางเรียบได้ลองระบบ Intelligent Adaptive Cruise Control ACC ปรับระยะห่างได้ 4 ระดับ ใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน และทำงานได้แม่นยำปลอดภัยดี ถ้าตั้งระยะห่างไว้ไกลจะเบรกค่อนข้างบ่อยและเบรกแรง ควรตั้งระยะห่างให้เหมาะสมกับความเร็วที่ใช้, ระบบ Lane Centering รักษารถให้อยู่กลางเลน ลองเปิดใช้ได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะขับบนทางคดเคี้ยว ระบบจะพยายามรักษารถให้อยู่กลางเลนตลอดเวลาด้วยการแต่งพวงมาลัยให้ ระบบนี้น่าจะเหมาะกับการขับทางตรงยาวๆ มากกว่าทางคดเคี้ยว

●   ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน ทำงานตรงตามน้ำหนักเท้าที่เหยียบแป้นเบรก สร้างแรงเบรกได้เหลือเฟือ พวงมาลัยแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า หนืดมือพอเหมาะ ขับความเร็วต่ำหรือที่แคบได้คล่อง เลาะโค้งที่ความเร็วปานกลางได้อย่างมั่นคงไม่เบาหวิวเกินไป

●   ระบบ Lane Departure Warning เตือนเมื่อรถออกนอกเลน ทำงานนุ่มนวลดี มีทั้งไฟเตือนบนหน้าปัดและการดึงพวงมาลัยจะค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากหยุดพวงมาลัยเมื่อเริ่มออกนอกเลน และดึงกลับอย่างสุภาพนุ่มนวลเมื่อรถยังออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว กล้องจับเส้นแบ่งเลนมีความแม่นยำ เส้นจางๆ ก็ยังพอจะจับได้ แถมด้วยระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support ที่ได้ลองแบบไม่ตั้งใจ ขับไหลตามๆ กันเพื่อเลี้ยวเข้าซอย ก็พยายามขับชิดคันหน้าเผื่อระยะให้คันหลัง ระบบเตือนด้วยสัญญาณไฟบนกระจกหน้าและเสียงเตือน และเบรกให้อย่างนุ่มนวล ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะใช้ความเร็วไม่สูง

●   ภายในห้องโดยสารโดยรวมนับว่าฟอร์ดทำได้ตามความตั้งใจ ทั้งการออกแบบที่ดูเรียบง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้ แต่ก็มีความทันสมัยและแฝงไว้ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานมากมาย อุปกรณ์มาตรฐานทั้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยก็ครบครัน สำหรับความสูง 170 เซนติเมตร นั่งสบายทุกตำแหน่งที่นั่งรวมทั้งเบาะแถวหลังสุด ที่นั่งได้จริงและเข้า-ออกได้สะดวก จากการขับทางเรียบระยะทางสั้นๆ ใช้ความเร็วไม่สูงนัก ห้องโดยสารค่อนข้างเงียบ ลดเสียงลมปะทะและเสียงเครื่องยนต์ได้ดี เบาะทรงกระชับนุ่มนั่งสบาย

210 แรงม้า 500 นิวตัน ทางเรียบสนุก ทางลุยสบาย

●   เครื่องยนต์ของเอเวอเรสต์ผ่านการทดสอบความทนทาน 5.5 ล้านกิโลเมตร และเกียร์ผ่านการทดสอบ 6 ล้านกิโลเมตร และทดสอบในไทย 1 ล้านกิโลเมตร เป็นทดสอบด้วยรถหลายคัน รวมทั้งการทดสอบแบบเร่งเวลาด้วย

●   สมรรถนะของเครื่องยนต์เหลือเฟืออยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อใช้กับเอสยูวี ที่เน้นโดยสารมากกว่าบรรทุกหนัก นั่งเต็มพิกัด 7 คน พร้อมสัมภาระ แรงม้าแรงบิดยังเหลือเฟือสำหรับการใช้งานบนทางเรียบ หรือถ้าจะลุยหนักก็พอไหว เพราะมีการปรับมุมให้ขับแบบออฟโรดได้ดีขึ้น ข้อจำกัดที่ทำให้ลุยได้ไม่เต็มที่จึงน่าจะอยู่ที่ประเภทของยางมากกว่า

●   เท่าที่ทดลองขับบนทางเรียบ เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ มีการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล ลองหาจังหวะลากรอบให้เปลี่ยนเกียร์ขึ้นที่รอบสูงก็ทำได้ดี เช่นเดียวกับการคิ๊กดาวน์โหดๆ เพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำทีละ 2-3 จังหวะ ก็ไม่มีอาการกระชาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเปลี่ยนลงได้อย่างมากก็ 2 จังหวะ เพราะเกียร์จะเปลี่ยนลงให้ตามความเร็วที่เหมาะสมอยู่แล้ว เส้นทางที่ทดลองขับแทบไม่มีจังหวะใช้เกียร์ 10 นอกจากจะทิ้งช่วงจากคันหน้าแล้วเร่งตาม การเร่งเพิ่มความเร็วทำได้ทันใจพอสมควร ส่วนโหมด +/- ที่เป็นปุ่มบนหัวเกียร์ ใช้ในฟอร์ดหลายรุ่น ลองใช้หลายครั้งแล้วก็ยังไม่ถนัดอยู่ดี

●   ทางออฟโรดที่จัดไว้ให้ลองขับไม่โหดมาก เบากว่าตอนขับ เรนเจอร์ เยอะ ซึ่งน่าจะเหมาะกับประเภทรถกึ่งครอบครัว สมรรถนะของรถน่าจะไปได้โหดกว่านี้อีกเยอะ ถือว่าเป็นการลองใช้โหมดต่างๆ มากกว่า โดยรุ่นสูงสุดมีให้เล่น 6 โหมด คือ Normal, Eco, Tow/Haul โหมดลากจูง ให้แรงบิดที่รอบต่ำ, Slippery ลดการหมุนฟรีของล้อ, Mud&Ruts โคลนและร่อง เพิ่มการยึดเกาะ และ Sand ยกระดับการส่งกำลังและแรงบิด ในบางโหมดเมื่อเลือกใช้งานแล้ว ระบบขับเคลื่อนจะเปลี่ยนเป็น 4H ให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อเปลี่ยนกลับสู่โหมดปกติ ก็จะปรับระบบขับเคลื่อนเป็น 2H ให้ด้วย และในทุกโหมดขับเคลื่อน ทั้ง 2H, 4H และ 4L สามารถเปิดใช้ Diff-Lock ล้อหลังได้โดยอิสระด้วย

●   ในช่วงออฟโรดส่วนมากเน้นการปีนไต่ทางวิบากและทางหิน ตัวรถที่สูงและเพิ่มมุมต่างๆ มา ทำให้ลุยได้โดยใต้ท้องรถหรือกันชนหน้าหลังรวมทั้งบันไดข้างไม่ครูดกับพื้น แรงบิดที่เหลือเฟือโดยเฉพาะเมื่อใช้ระบบ 4L (ต้องจอดสนิทปลดเกียร์ว่างก่อน) การไต่ขึ้นเนินชันใช้ความเร็วแบบ Walking Speed ไม่ต้องเร่งส่ง ทำให้รถไม่ช้ำจากการกระแทก นั่งนุ่มนวลขับสบายและช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ด้วย

●   อีกระบบที่ได้ทดลองใช้คือ Hill Descent Control ช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ทำงานได้สอดคล้องกับความเร็วและความชัน พอรถเริ่มปักหัวลงเนินก็ทำงานทันทีอย่างนุ่มนวล ไม่มีจังหวะพุ่งลงไปแล้วค่อยเบรก การเบรกก็ทำได้นุ่มนวลไว้ใจได้ ผู้ขับแค่ควบคุมพวงมาลัยก็พอ ในระบบขับเคลื่อน 4H และ 4L พวงมาลัยก็ไม่ค่อยฝืนเท่าไร วงเลี้ยวกว้างกว่าเดิมแค่เล็กน้อย

●   ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ ปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังวัตต์ลิงก์ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง นุ่มนวลและหนักแน่นบนทางเรียบ ส่วนบนทางออฟโรดก็มีการให้ตัวและคืนตัวที่หนืดพอเหมาะ ไม่ยุบเร็วหรือดีดแรง ระยะยืดยุบค่อนข้างเยอะ ล้อ 20 นิ้วกับยางแก้มเตี้ยซีรีส์ 55 ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการลุย แต่ก็ยอมรับว่ามีเสียวบ้างเวลาปีนหิน พยายามใช้กล้องหน้าพร้อมเส้นกะระยะให้เป็นประโยชน์ในการวางล้อไม่ให้เบียดหินหรือลงร่องลึก โดยกล้องและภาพที่จอกลางจะทำงานที่ความเร็วประมาณไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ลอง Smart Technology ช่วยจอดอัตโนมัติ

●   อีกระบบที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะรุ่นนี้ก็คือ Active Park Assist ทำงานอัตโนมัติเต็มระบบ เริ่มจากการเปิดไฟเลี้ยวเพื่อให้ระบบสแกนหาช่องว่าง จากนั้นก็ทำตามคำแนะนำของระบบ เช่น ปลดเกียร์ว่าง กดปุ่ม P ที่คอนโซลเกียร์ค้างไว้ตลอดขั้นตอน ยกเท้าออกจากคันเร่งและเบรก ปล่อยมือจากพวงมาลัย รถจะเริ่มถอยหลังให้ทั้งที่อยู่ในเกียร์ N เพราะเกียร์เป็นเกียร์ไฟฟ้า รถจะขยับเดินหน้าและถอยหลัง หมุนพวงมาลัย เร่งและเบรกให้เอง จนเสร็จสิ้นขั้นตอน คันเกียร์จะเลื่อนเข้าตำแหน่ง P โดยอัตโนมัติ ระหว่างที่ระบบช่วยจอดกำลังทำงาน จะยกเลิกได้ด้วยการยกมือออกจากปุ่ม P ผู้ขับสามารถแตะเบรกได้โดยระบบไม่ยกเลิก แต่คันเร่งจะถูกตัดการทำงาน กดคันเร่งมิดรถก็ไม่พุ่ง จับพวงมาลัย ระบบก็ไม่ยกเลิกการทำงาน ใช้วิธีเดียวกันทั้งการจอดแบบขนานและเข้าซอง หลังจากจอดแล้วก็สามารถขับออกจากช่องจอดให้โดยอัตโนมัติด้วย แต่เมื่อเสร็จขั้นตอนแล้วจะไม่เข้าเกียร์ P เพราะต้องขับออกจากช่องจอด ระบบจะแค่ตั้งลำให้เดินหน้าออกจากช่องจอดได้

●   อีกระบบที่ได้ลอง คือ ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist ลองถอยหลังด้วยความเร็วไม่เกิน 12 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือแค่ปล่อยเบรกให้รถไหลบนทางเรียบ ไม่ขึ้นเนินหรือลงเนิน เมื่อระบบเจอสิ่งกีดขวางก็จะเบรกให้ ที่น่าชื่นชมคือ การเบรกทำได้นุ่มนวล ไม่ได้ปล่อยให้รถเข้าใกล้สิ่งกีดขวางแล้วเบรกรุนแรง โดยจะเบรกรถให้หยุดนิ่งประมาณ 3 วินาที จากนั้นผู้ขับต้องเหยียบเบรก หรือถ้าถอยหลังด้วยความเร็วเกินกำหนด ระบบก็จะไม่เบรกเช่นกัน

●   ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ทำตลาดพร้อมกัน 4 รุ่นย่อย รุ่น 2.0L TurboTrend 4×2 6AT ราคา 1,334,000 บาท รุ่น 2.0L Turbo Sport 4×2 6AT ราคา 1,464,000 บาท ทั้งคู่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว อินเตอร์คูลเลอร์ 170 แรงม้า 405 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

●   ส่วนรุ่น 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×2 10AT ราคา 1,704,000 บาท รุ่น 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT ราคา 1,854,000 บาท ใช้เครื่องยนต์บล็อกหลักเดียวกับสองรุ่นแรก แต่รีดสมรรรถนะด้วยเทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 210 แรงม้า 500 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ รองรับ B20 ทั้ง 2 รุ่นเครื่องยนต์     ●

ขอบคุณ ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

Group Test : 2022 Ford Everest Titanium+ 4×4 10AT