May 20, 2018
Motortrivia Team (10022 articles)

BMW คาดว่าอย่างต่ำๆ ราว 10 ปี เราจึงจะสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยได้

Posted by : AREA 54

 

●   บีเอ็มดับเบิลยูจัดทำวีดิโอให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่า เรายังไม่ถึงยุคของ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ตามมาตรฐานของ SAE แต่แน่นอนว่าบีเอ็มดับเบิลยู (และผู้ผลิตแบรนด์อื่นๆ รวมทั้งซัพพลายเออร์ชั้นนำ) กำลังลงทุนลงแรงพัฒนาชุดระบบต่างๆ ให้ใช้งานจริงได้ในอนาคต… ทว่าอย่างที่บอก เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าทุกวันนี้รถยนต์รุ่นต่างๆ นั้นอยู่ในสถานะ หรือคลาสอะไรตามการจัดหมวดหมู่ของ SAE

●   ก่อนอื่น ผู้เขียนอยากให้คุณผู้อ่านลืม “ชื่อทางการค้า” ไปก่อน ไม่ว่ามันจะฟังดูน่าเชื่อถือเพียงใด เช่น Autopilot ของเทสล่า, ProPilot ของนิสสัน หรือแม้แต่ BMW Personal CoPilot ของบีเอ็มดับเบิลยูเองก็ตาม

●   กล่าวได้ว่า เรายังอยู่ในยุคของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 2 เท่านั้น (กึ่งอัตโนมัติ Semi-autonomous) แม้จะมีรถยนต์ของบางบริษัทที่เคลมว่าระบบที่ใช้งานอยู่ใน Level 3 แล้วก็ตามที (เช่น ระบบ Autopilot เทสล่า) แต่ถึงกระนั้น ตามกฏของ SAE การจะละสายตาจากท้องถนน หรือเพิกเฉยต่อการควบคุมรถติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่ดี และในความเป็นจริงผู้ขับจำเป็นจะต้องใส่ใจกับสถานการณ์ข้างหน้าตลอดเวลา รวมทั้ง “ไม่อาจจะกล่าวโทษความบกพร่องของระบบในเชิงกฏหมาย” ได้เลยด้วยซ้ำในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เพราะมันยังไม่ใช่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 5 ตามข้อกำหนดของ SAE ยกตัวเช่น กรณีของหนุ่มอังกฤษกับเทสล่า เมื่อเร็วๆ นี้

●   บีเอ็มดับเบิลยูนั้นเชื่อว่า การที่เราจะสามารถปล่อยมือออกจากพวงมาลัยได้อย่างจริงจังนั้น ต้องรอกันไปอีกอย่างน้อยๆ 7 – 10 ปีกันเลยทีเดียว


●   ในวีดิโอความยาวเพียง 3.09 นาทีข้างบนนี้ บีเอ็มดับเบิลยูได้อธิบายอย่างสมบูรณ์ว่า เราได้เริ่มยุค Level 1 กันไปแล้ว เมื่อมีการใช้งานครูสคอนโทรลแบบแปรผันความเร็ว พ่วงกับระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลนของตัวเอง และมีฟังก์ชั่น Stop and Go ที่สามารถชะลอความเร็วจนกระทั่งหยุดรถ และออกตัวได้เองตามสภาพการจราจรข้างหน้า เราเรียกชุดระบบในลักษณะนี้อย่างเป็นทางการว่า “ระบบช่วยขับในระดับสูง” หรือ ADAS หรือ Advanced driver-assistance systems นั่นเอง (ตรงนี้ชุดระบบช่วยจอดของรถทุกแบรนด์ก็ถูกนับเป็นหนึ่งในกลุ่มระบบ ADAS ครับ)

●   สำหรับ “วันนี้” บีเอ็มดับเบิลยูระบุอย่างชัดเจนว่า เราอยู่ในยุคของชุดระบบ Level 2 เท่านั้น ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูได้เพิ่มตัวช่วยอย่างระบบเปลี่ยนเลนอัตโนมัติให้แล้วใน BMW 5, 7 series และ X3 รุ่นล่าสุดทว่า… ขอร้อง… “ผู้ขับยังคงต้องเอามือประคองเอาไว้ที่บริเวณพวงมาลัยเพื่อความปลอดภัย” เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ไม่คาดคิดได้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งมันมีตัวแปรบนท้องถนนเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหวอย่างที่เรารู้กันอยู่

●   ตรงนี้บีเอ็มดับเบิลยูคาดว่า เจ้าของรถบีเอ็มดับเบิลยูในอนาคตจะสามารถปล่อยมือออกจากพวงมาลัยและละสายตาจากท้องถนนได้ “ในระยะเวลาสั้นๆ” ราวๆ ปี 2021 และมันยังอยู่ใน Level 3 เท่านั้น… ผู้เขียนอยากให้คุณผู้อ่านเข้าใจว่า นี่คือจุดที่ Autopilot ของเทสล่าเป็นอยู่ในปัจจุบัน และหลายคนเข้าใจว่า Autopilot เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 5 ซึ่ง “ไม่ใช่” ครับ… พูดง่ายๆ ว่าเทสล่าปล่อยชุดระบบ Level 3 ออกมาเร็วที่สุดในหมู่ผู้ผลิต และมันถูกวางใจกันมากไปหน่อย

●   หมายเหตุ : ProPilot Assist ของนิสสัน ทำงานในลักษณะครูสคอนโทรลแปรผัน + ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน + Stop and Go และไม่มีฟังก์ชั่นเปลี่ยนเลนด้วยตัวเอง ตัวรถจะวิ่งไปตรงๆ ภายในเลนของตัวเองเท่านั้น

●   หลังปี 2021 ชุดระบบ Level 4 ของบีเอ็มดับเบิลยูน่าจะเริ่มปล่อยออกมาให้ใช้งานกันได้ในรถบางรุ่น ถึงเวลานี้ผู้ขับจะสามารถทำอะไรๆ ได้มากขึ้นในขณะขับรถ “แต่” (สำคัญ) แม้ว่าชุดระบบจะใช้งานได้ดีขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น ก็ใช่ว่าผู้ขับจะเปิดใช้งานระบบ Level 4 แล้วร่อนไปมาบนถนนทุกสายได้ ชุดระบบจะเปิดใช้งานได้ก็เมื่อมีสภาวะที่เหมาะสมเท่านั้น เช่น ฟรีเวย์ ไฮเวย์ หรือถนนที่มีกายภาพในลักษณะเดินทางข้ามเมือง… นั่นหมายถึงการใช้งานเมือง อาจจะต้องถูกควบคุมโดยกฏหมายเพื่อความปลอดภัยของส่วนรวม

●   ส่วน Level 5 ในฐานะของคลาสสูงสุด ซึ่งผู้ขับจะสามารถเปิดระบบใช้งานได้ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นถนนอันจอแจในเมืองที่เต็มไปด้วยทางร่วม/ทางแยก ไปจนถึงนอกเมืองที่ใช้ความเร็วสูง บีเอ็มดับเบิลยูตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ปี 2025 – 2030 เป็นอย่างต่ำครับ… จนกว่าจะถึงวันนั้น เรายังคงต้องควบคุมรถกันอย่างรอบคอบและใส่ใจกับผู้ร่วมทางรอบข้าง และไม่สามารถวางใจในระบบได้ 100% เต็ม

●   แม้ว่ากรอบเวลาของแผนงานข้างต้นจะเป็นของบีเอ็มดับเบิลยูเพียงบริษัทเดียวเท่านั้น แต่โดยรวมแล้ว กรอบเวลาของผู้ผลิตแบรนด์อื่นๆ ก็คงไม่หนีไปจากนี้มากนัก… ยกเว้นเทสล่าบริษัทเดียวที่อาจปล่อยซอฟท์แวร์ควบคุมฮาร์ดแวร์ในระดับ Level 5 ออกมาก่อนตามความไฮเปอร์ของ Elon Musk   ●